เมนู

อรรถกถาปาสาทิกสูตร



ปาสาทิกสูตรมีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
จะอธิบายถึงบทที่ยากในปาสาทิกสูตรนั้น. บทว่า พวกศากยะมี
นามว่า เวธัญญา นั้นหมายความถึงพวกศากยะพวกหนึ่ง ชื่อเวธัญญา
ศึกษาการทำธนู. บทว่า ณ ปราสาท ในสวนอัมพวันของพวกศากยะ
เหล่านั้น
อธิบายว่ามีปราสาทยาวซึ่งสร้างไว้เพื่อเรียนศิลป์ ในสวนอัมพวัน
ของพวกศากยะเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สวนอัมพวัน
นั้น.
บทว่า อธุนา กาลกโตได้แก่นิคัณฐนาฏบุตร ถึงแก่กรรมทันที
ทันใด. บทว่า เกิดแยกกันเป็นสองพวก คือ แยกกันเป็นสองฝ่าย. ใน
บรรดาความบาดหมางเป็นต้น การทะเลาะกันในตอนแรก เป็นความบาด
หมาง ความบาดหมางนั้นได้เจริญขึ้นด้วยสามารถการถือท่อนไม้เป็นต้น
สละด้วยสามารถการล่วงบัญญัติ เป็นการทะเลาะ ถ้อยคำทำลายกันโดย
นับเป็นต้นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เป็นวิวาท. บทว่า วิตุทนฺตา คือ
ทิ่มเทง. บทว่า ถ้อยคำของข้าพเจ้ามีประโยชน์ คือ คำของข้าพเจ้า
ประกอบด้วยอรรถ. บทว่า สิ่งที่ท่านเคยช่ำชองได้ผันแปรไปแล้ว
อธิบายว่า อันใดที่ท่านช่ำชองมาแล้วคือ คล่องแคล่ว ด้วยสามารถเสวนะ
มาช้านาน อันนั้น ได้ผันแปรไปแล้ว เพราะอาศัยวาทะของข้าพเจ้า. บท
ว่า ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว คือ ข้าพเจ้าได้ยกความผิดไว้
เบื้องบนของท่าน. บทว่า ท่านจงเที่ยวไปเพื่อปลดเปลื้องวาทะอธิบาย
ว่าท่านจงถือห่อข้าวเข้าไปยังชุมชนนั้น ๆ แล้วเที่ยวแสวงหาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นเพื่อ

ปลดเปลื้องวาทะ. บทว่า หรือท่านจงแก้ไขเสีย อธิบายว่า อีกอย่างหนึ่ง
ท่านจงปลดเปลื้องตนจากโทษที่เรายกขึ้น. บทว่า สเจ ปโหสิ แปลว่า
หากท่านสามารถ. บทว่า วโธเยว คือตายนั่นเอง. บทว่า ในพวกนาฏบุตร
คือ อันเตวาสิกของนาฏบุตร. บทว่า มีอาการเบื่อหน่าย คือ สาวกของ
นิคัณฐนาฎบุตรมีความกระสันเป็นสภาวะย่อมไม่ทำแม้การอภิวาทเป็นต้น.
บทว่า คลายความรัก คือ ปราศจากความรัก. บทว่า รู้สึกท้อถอย
คือมีความท้อถอยจากการทำความเคารพของพวกสาวกของนิคัณฐนาฏบุตร
บทว่า โดยเหตุที่ธรรมวินัยอันนิคัณฐนาฏบุตร กล่าวไว้ไม่ดี อธิบาย
ว่าได้เกิดขึ้นโดยเหตุที่สาวกเหล่านั้น พึงเป็นผู้เบื่อหน่าย คลายรัก ท้อถอย
ในธรรมวินัยอันนิคัณฐนาฏบุตรกล่าวไว้ไม่ดีเป็นต้น. บทว่า ทุรากฺขาเต
คือกล่าวไว้ไม่ดี. บทว่าทุปฺปเวทิเต คือสอนไม่ดี. บทว่า อนุปสมสํวตฺตนิเก
คือไม่สามารถจะทำราคะเป็นต้นให้ สงบได้. บทว่า ภินฺนถูเป คือมีที่พำนัก
อันทำลายแล้ว. ก็ในบทนี้ นิคัณฐนาฎบุตรชื่อว่าเป็นที่พำนักเพราะอรรถ
ว่าเป็นที่พึ่งของสาวกเหล่านั้น. แต่เขาได้แตกดับคือตายเสียแล้ว. เพราะ
ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นธรรมวินัยมีที่พำนักอันทำลายเสียแล้ว บทว่า
เป็นธรรมวินัย ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย คือขาดที่พึ่งอาศัยเพราะไม่มี
นิคัณฐนาฏบุตรนั้นนั่นเอง.
ก็นาฏบุตรนี้อาศัยอยู่ในเมืองนาลันทามิใช่หรือ เหตุไรเขาจึง
ถึงแก่กรรมที่เมืองปาวา. ได้ยินว่านาฏบุตรนั้นสดับพุทธคุณที่อุบาลีคฤหบดี
ผู้รู้แจ้งแทงตลอดสัจจธรรม กล่าวด้วยคาถา 10 คาถา จึงสำรอกโล-
หิตออกมาร้อน ๆ ครั้งนั้นสาวกทั้งหลายจึงได้พานาฏบุตรผู้ ไม่มีความ
สบายไปเมืองปาวา เขาจึงได้ถึงแก่กรรมในที่นั้น อนึ่งเมื่อนาฎบุตร
จะถึงแก่กรรม คิดว่าลัทธิของเราเป็นลัทธิที่ไม่นำออกไปได้ เป็น

ลัทธิที่ขาดสาระ เราฉิบหายไปช่างเถิด อย่าให้ชนที่เหลือได้ไปเต็มใน
อบายด้วยเลย ก็หากเราจักกล่าวว่า คำสอนของเรา เป็นคำสอนที่ไม่นำ
ออกไปได้ ชนทั้งหลายจักไม่เชื่อ ถ้ากระไรเราไม่ควรให้ชนแม้สอง ถือ
แบบเดียวกันเมื่อเราล่วงลับไป ชนเหล่านั้นจักวิวาทกันและกัน พระศาสดา
จักตรัสธรรมกถาบทหนึ่งอาศัยข้อวิวาทนั้น จากนั้นชนทั้งหลายจักรู้ความ
ที่พระศาสนาเป็นศาสนาที่มีคุณใหญ่ดังนี้. ครั้งนั้นอันเตวาสิกคนหนึ่งเข้า
ไปหานาฏบุตรนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านทุพพลภาพ ขอจงบอกสา
ระอันเป็นอาจริยประมาณในธรรมนี้แก่กระผมบ้างเถิดดังนี้. นาฏบุตร
กล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุ เมื่อเราล่วงลับไปเธอพึงถือว่า "เที่ยง" ดังนี้. อัน-
เตวาสิกอีกคนหนึ่งเข้าไปหา. นาฏบุตรให้อันเตวาสิกนั้นถือว่า "สูญ".
นาฏบุตรไม่ทำให้ชนแม้ทั้งสองมีลัทธิอย่างเดียวกัน อย่างนี้แล้ว
ให้ชนเป็นอันมากถือแบบต่าง ๆ กัน ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว ชนทั้งหลาย
กระทำฌาปนกิจนาฏบุตรนั้นเสร็จแล้ว จึงประชุมถามกันและกันขึ้นว่า
ดูก่อนผู้มีอายุ อาจารย์บอกสิ่งที่เป็นสาระให้แก่ใคร. คนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า
แก่เรา ดังนี้. บอกไว้อย่างไร. บอกว่า "เที่ยง" อีกคนหนึ่ง คัดค้าน
แล้วกล่าวว่า อาจารย์ได้บอกสิ่งที่เป็นสาระแก่เรา ด้วยอาการอย่างนี้ ชน
ทั้งหมดต่างก็วิวาทกันรุนแรงขึ้นว่า อาจารย์บอกสิ่งที่เป็นสาระแก่เรา เรา
เป็นใหญ่ ถึงขั้น ด่ากัน บริภาษกัน และทำร้ายกันด้วยมือและเท้าเป็นต้น
ไม่ร่วมทางเดียวกัน เลี่ยงกันไปคนละทิศละทาง.
บทว่า ครั้งนั้นแล พระจุนทสมณุเทส มีอธิบายว่า พระเถระ
รูปนี้เป็นน้องของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ภิกษุทั้งหลายเรียกท่านว่า
พระจุนทสมณุเทส ในขณะเป็นอนุปสัมบัน แม้ขณะเป็นขณะก็ยังเรียก

อย่างนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า จุนทสมณุเทสดังนี้. ในบท
ทั้งหลายว่า พระจุนทสมณุเทสอยู่จำพรรษาในเมืองปาวา ได้เข้าไปหา
พระอานนท์ซึ่งอยู่ในสามคามดังนี้ เพราะเหตุไรจึงเข้าไปหา. ได้ยินว่า
เมื่อนาฏบุตรถึงแก่กรรมแล้ว พวกมนุษย์ในชมพูทวีปต่างพูดกันอย่าง
อื้อฉาวในที่นั้น ๆ ว่า นิคัณฐนาฏบุตรประกาศเป็นศาสดาผู้เดียว เมื่อเขา
ถึงแก่กรรม พวกสาวกเกิดวิวาทกันถึงปานนี้ ก็พระสมณโดดมปรากฏแล้ว
ในชมพูทวีป ดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้พระสาวกของพระองค์ก็
ปรากฏแล้วเหมือนกัน เมื่อพระสมณโคดมปรินิพพานแล้ว พวกสาวกจัก
วิวาทกันเช่นไรหนอ ดังนี้. พระเถระสดับถ้อยคำนั้นแล้วคิดว่าเราจักนำ
ถ้อยคำนี้ไปทูลแด่พระทศพล พระศาสดาจักทำคำพูดนั้นให้เป็นเหตุเกิด
เรื่องราว แล้วจักทรงกล่าวเทศนา 1 กัณฑ์ พระเถระนั้นจึงออกไปหา
พระอานนท์ ณ สามคาม. บทว่า สามคาม เป็นชื่อของบ้านนั้นเพราะ
ข้าวฟ่างหรือลูกเดือยหนาแน่น. บทว่า เข้าไปหาท่านพระอานนท์
อธิบายว่า พระจุนทเถระไม่ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรงทีเดียว เข้าไป
หาท่านพระอานนท์ผู้เป็นอุปัชฌาย์.
ได้ยินว่าในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตรเถระและพระอานนท์ต่าง
นับถือซึ่งกันและกัน พระสารีบุตรเถระนับถือพระอานนท์ว่าพระอานนท์
กระทำอุปัฏฐากพระศาสดาซึ่งเราควรทำ พระอานนท์นับถือพระสารีบุตร
ว่า พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระ-
อานนท์ ให้ทารกในตระกูลบรรพชา แล้วให้รับการดูแลในสำนักของ
พระสารีบุตร แม้พระสารีบุตรก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ได้มีภิกษุ
ประมาณ 1,000 รูป แต่ละรูป ๆได้ให้บาตรและจีวรของตน ๆ แล้วให้

บรรพชาให้รู้การดูแล. ท่านพระอานนท์ได้แม้จีวรเป็นต้นอันประณีตก็
ถวายพระเถระ.
ได้ยินว่าพราหมณ์คนหนึ่งคิดว่า การบูชาพระพุทธรัตนะ และ
พระสังฆรัตนะย่อมปรากฏชัด อย่างไรหนอจึงชื่อว่าเป็นอันบูชาพระธรรม-
รัตนะ พราหมณ์นั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามความนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้หากว่าเธอใคร่จะบูชา
พระธรรมรัตนะ ก็จงบูชาภิกษุผู้เป็นพหูสูตรรูปหนึ่งดังนี้. ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงบอกถึงภิกษุผู้เป็นพหูสูตรเถิด พระพุทธเจ้าข้า. เธอ
จงถามภิกษุสงฆ์เถิด. พราหมณ์นั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้ว กล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าได้บอกถึงภิกษุผู้เป็นพหูสูตรเถิด. ดูก่อน
พราหมณ์ พระอานนท์เป็นพหูสูต พราหมณ์จึงบูชาพระเถระด้วยไตรจีวร
มีค่าหนึ่งพัน พระเถระได้พาพราหมณ์นั้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระ
ผู้พระภาคเจ้าตรัสถามว่า อานนท์เธอได้ไตรจีวรมาจากไหน. ข้าแต่พระ
องค์ผู้เจริญ พราหมณ์ผู้หนึ่งถวาย แต่ข้าพระองค์ประสงค์จะถวายไตรจีวรนี้
แก่ท่านพระสารีบุตรเถระ พระพุทธเจ้าข้า. จงให้เถิดอานนท์. พระสารี-
บุตรเถระออกจาริกพระเจ้าข้า. เธอจงให้ ในเวลาที่สารีบุตรกลับมาเถิด.
พระองค์ได้บัญญัติสิกขาบทไว้แล้วพระเจ้าข้า. ก็สารีบุตรจักมาเมื่อไรเล่า.
ประมาณ 10 วันพระเจ้าข้า. อานนท์เราอนุญาตเพื่อเก็บอติเรกจีวรได้
10 วันเป็นอย่างยิ่ง ด้วยประการฉะนี้. เราบัญญัติสิกขาบทแล้ว แม้พระ-
สารีบุตรเถระได้สิ่งที่ชอบใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ถวายสิ่งนั้นแก่พระอานนท์
อย่างนั้นเหมือนกัน. พระสารีบุตรเถระนั้นได้ให้พระจุนทสมณุเทสแม้นี้
ผู้เป็นน้องของตนเป็นลัทธิวิหาริกของพระเถระ เพราะฉะนั้นท่านจึง
กล่าวว่า พระจุนทสมณุเทสเข้าไปหาพระอานนทเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์

ดังนี้. นัยว่าพระจุนทสมณุเทสได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระอุปัชฌาย์ของเรา
มีปัญญามาก ท่านจักกราบทูลถ้อยคำนี้แต่พระศาสดา ที่นั้นพระศาสดาจัก
ทรงแสดงธรรมอนุรูปแก่กถานั้น ดังนี้ บทว่า กถาปภฏํ แปลว่ามูลแห่ง
ถ้อยคำ. จริงอยู่ คำว่าท่านว่าปาภฏํ (ต้นเหตุ) สมดังที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
อปฺปเกนาปิ เมธาวี ปาภเฏน วิจกฺขโณ
สมุฏฺฐเปติ อตฺตานํ อณุํ อคฺคึว สนฺธมํ
ผู้มีปัญญามีความเห็นแจ้งชัด ยังตนให้ดำรงอยู่ได้สม่ำเสมอ ด้วย
ทุนทรัพย์แม้มีประมาณน้อยเหมือนก่อไฟน้อยฉะนั้น. บทว่า ภควนฺตํ
ทสฺสนาย
แปลว่า เพื่อเห็นพระพุทธเจ้า. มีคำถามว่า ก็พระ
อานนท์เถระนั้นไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าตอกหรือ. ไม่เคยเห็น
หามิได้. เพราะท่านพระอานนทเถระนี้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าวัน
ละ 18 ครั้ง คือ กลางวัน 9 ครั้ง กลางคืน 9 ครั้ง แม้ประสงค์
จะไป 100 ครั้ง 1000 ครั้ง ต่อวันก็ไม่ไป เพราะไม่มีเหตุ ท่านหยิบยก
ปัญหาข้อหนึ่งขึ้น แล้วจึงไปเฝ้า ในวันนั้นพระอานนทเถระนั้นประสงค์
จะไปด้วยมูลเหตุแห่งกถานั้นจึงกล่าวแล้วอย่างนี้.
บทว่า ดูก่อนจุนทะข้อนี้ย่อมมีอย่างนั้น ความว่า แม้พระ-
อานนทเถระกราบทูลเนื้อความแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระอานนท
เถระไม่ใช่เจ้าของกถานี้ แต่พระจุนทเถระเป็นเจ้าของกถา อนึ่งพระจุนท-
เถระนั้นย่อมรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดของกถานั้น ฉะนั้นพระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสกับพระจุนทเถระนั้น จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า
เอวญฺเหตํ จุนฺท โหติ ดังนี้. อธิบายความต่อไปว่า ดูก่อนจุนทะข้อนี้
ย่อมมีอย่างนี้ สาวกในธรรมวินัยอันมีสภาวะเป็นต้นว่ากล่าวไว้ไม่ดี เกิด
แยกกันเป็นสองพวก ทำการบาดหมางกันเป็นต้น ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือ

ปาก เพราะคำสอนอันจะนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ เป็นอันปรากฏ
โดยคำสอนอันไม่นำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ในบัดนี้ ฉะนั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงคำสอนอันจะไม่นำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์
ได้ แต่ต้น จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดูก่อนจุนทะ ศาสดาให้โลกนี้ไม่เป็น
สัมมาสัมพุทธะดังนี้. ในบทว่า ประพฤติหลีกเลี่ยงจากธรรมนั้น คือ
ไม่บำเพ็ญติดต่อกัน. อธิบายว่า ประพฤติหลีกเลี่ยง คือทำมีช่วงว่าง. บทว่า
ดูก่อนผู้มีอายุเป็นลาภของท่านนั้น คือ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เป็นต้น เหล่านี้เป็นลาภของท่านนั้น. บทว่า อันท่านได้ดีแล้ว คือ
ท่านได้ความเป็นมนุษย์ดีแล้ว. ในบทว่า ธรรมอันศาสดาของท่าน
แสดงแล้วอย่างใด
คือศาสดาของท่านแสดงธรรมไว้ด้วยอาการใด. บท
ว่า ผู้ใดชักชวน คืออาจารย์ใดชักชวน. บทว่า ชักชวนผู้ใด คือชัก
ชวนอันเตวาสิกใด. บทว่า ผู้ใดถูกชักชวน คือ อันเตวาสิกถูกชักชวน
โดยที่ปฏิบัติข้อที่อาจารย์ชักชวนเพื่อความเป็นอย่างนั้น. บทว่า คนทั้ง
หมดเหล่านั้น
คือคนทั้งสามเหล่านั้น อธิบายว่า ในบุคคลทั้ง 3 นี้อาจารย์
ย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเพราะเป็นผู้ชักชวน อันเตวาสิกผู้ถูกชักชวน
ย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญ เพราะเป็นผู้ถูกชักชวน ผู้ปฏิบัติย่อมประสบ
สิ่งที่ไม่ใช่บุญ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า คนทั้ง
หมดเหล่านั้นย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก. พึงทราบเนื้อความ
ในวาระทั้งหมดโดยทำนองนี้. อนึ่งในบทนี้ว่าปฏิบัติเพื่อธรรมอันควรรู้
คือปฏิบัติตามเหตุ บทว่า จักยังธรรมอันควรรู้ให้สำเร็จ คือจักยังเหตุ
ให้สำเร็จ. บทว่า ปรารภความเพียร คำทำความเพียรอันจะเกิดทุกข์แก่
ตน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดปรารภ


ความเพียรในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวไว้ไม่ดี ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้ใด
เกียจคร้าน ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุขดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
คำสอนอันไม่นำผู้ปฏิบัติให้ออกทุกข์ได้อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงคำ
สอนอันจะนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ในบัดนี้จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดู
ก่อนจุนทะ อนึ่งศาสดาในโลกนี้ ย่อมเป็นพระสัมมาสัมพุทธะดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เป็นธรรมที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ออกไปได้
คือ นำไปเพื่อประโยชน์แห่งมรรค และเพื่อประโยชน์แห่งผล บทว่า
ปรารภความเพียร คือ ปรารภความเพียรอันจะให้สำเร็จสุขแก่ตน ดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเกียจคร้านในธรรม
วินัย อันตถาคตกล่าวไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้ใดมีความเพียรอัน
ปรารภแล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุขดังนี้. ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงแสดงอานิสงส์แห่งกุลบุตรผู้ปฏิบัติชอบในคำสอนอันจะทำผู้ปฏิบัติ
ให้ออกไปจากทุกข์ได้แล้ว เมื่อจะทรงขยายพระธรรมเทศนาอีกจึงตรัสคำ
เป็นอาทิว่า ดูก่อนจุนทะ ก็พระศาสดาอุบัติแล้วในโลกนี้ดังนี้. ในบทเหล่า
นั้น บทว่า สาวกทั้งหลาย เป็นผู้ไม่รู้แจ้งอรรถ คือไม่มีปัญญาที่จะ
ตรัสรู้ได้. บทว่า ทำให้มีบทอันรวบรวมไว้พร้อมแล้ว คือกระทำด้วย
บทอันรวบรวมไว้ทั้งหมด. อธิบายว่าไม่ใช่รวบรวมไว้อย่างเดียว. ปาฐะว่า
สพฺพสงฺคาหปทคตํ ดังนี้บ้าง คือไม่อยู่ในบทที่รวบรวมไว้ทั้งหมดอธิบาย
ว่าไม่สงเคราะห์เข้าเป็นอันเดียวกัน. บทว่า ทำให้มีปาฏิหาริย์ คือ เป็น
ธรรมที่นำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้. บทว่า ตลอดถึงเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย
คือ ประกาศไว้ด้วยดีแล้วตั้งแต่มนุษยโลกจนถึงเทวโลก.
บทว่าย่อมเป็นเหตุให้เดือดร้อน คือเป็นผู้ทำความเดือดร้อนในภายหลัง.

บทว่า ศาสดาของเราทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสเพื่อแสดงถึงอาการอันทำให้เดือดร้อนของสาวกเหล่านั้น. บทว่า
ย่อมไม่เป็นเหตุเดือดร้อนในภายหลัง อธิบายว่า ชื่อว่าย่อมไม่ทำความ
เดือดร้อนในภายหลัง เพราะข้อที่สาวกทั้งหลาย อาศัยพระศาสดาพึงบรรลุ
ได้บรรลุแล้ว.
บทว่า เถโร ได้แก่ผู้มั่นคง คือประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็น
ผู้มั่นคง. คำว่า รตฺตญฺญู เป็นต้น มีเนื้อความกล่าวไว้แล้ว. บทว่า เอเตหิ
เจปิ
คือด้วยคำเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ตอนต้น บทว่า เป็นผู้บรรลุธรรมอัน
เกษมจากโยคะ
ความว่า พระอรหัต ชื่อว่า เป็นแดนเกษมจากโยคะใน
ธรรมวินัยนี้ เพราะพระอรหัตเป็นแดนเกษมมาจากโยคะ 4 สาวกทั้งหลาย
บรรลุพระอรหัตนั้น. บทว่า ควรที่จะกล่าวพระสัทธรรมได้โดยชอบ อธิ-
บายว่า พึงเป็นผู้สามารถจะกล่าวพระสัทธรรมได้โดยชอบ เพราะเล่าเรียน
มาเฉพาะหน้า. บทว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ คือ พระอริยสาวกทั้ง
หลาย เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่. บทว่า เป็นผู้บริโภคกาม คือ
คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบัน. บททั้งหลายเป็นต้นว่า พรหมจรรย์สำเร็จ
ผลนั้น พิสดารแล้วในมหาปรินิพพานสูตรนั่นแล.
บทว่า ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตํ แปลว่าถึงความเลิศด้วยลาภและ
ด้วยยศ. บททั้งหลาย ดูก่อนจุนทะ ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระเป็น
สาวกของเราในบัดนี้มีอยู่แล
ดังนี้ผู้เป็นเถระในบทนี้ ได้แก่พระ
เถระมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น. บทว่า ภิกษุณีทั้งหลาย
ได้แก่เขมาเถรีและอุบลวัณณาเถรีเป็นต้น. บททั้งหลายว่า อุบาสกทั้งหลาย
ผู้เป็นสาวก เป็นคฤหัสถ์นุ่งขาวห่มขาว ประพฤติพรหมจรรย์
ดังนี้

อุบาสกในที่นี้ได้แก่จิตตคหบดีและหัตถกอาฬวกเป็นต้น. บทว่า ผู้บริโภค
กาม
ได้แก่จุลอนาถบิณฑิกะและมหาอนาถบิณฑิกะเป็นต้น. บทว่า หญิง
ผู้เป็นพรหมจารินี
ได้แก่หญิงทั้งหลายมีนันทมารดาเป็นต้น. บทว่า หญิง
ผู้บริโภคกาม
ได้แก่หญิงทั้งหลายมีนางขุชชุตรา เป็นต้น บทว่า สพฺพา-
การสมฺปนฺนํ
ได้แก่ผู้ถึงพร้อมด้วยการณ์ทั้งปวง บทว่า อิทเมว ตํ ความว่า
บุคคลเมื่อจะกล่าวถึงพรหมจรรย์นี้ คือธรรมนี้ พึงกล่าวโดยเหตุ โดย
นัยอันชอบ. บทว่า อุทฺทกสฺสุทํ ตัดบทเป็น อุทฺทโก สุทํ.
บทว่า ปสฺสํ น ปสฺสติ คือ บุคคลเห็นอยู่ชื่อว่าย่อมไม่เห็น. ได้
ยินว่า อุททกรามบุตรนั้นถามปัญหานี้กะมหาชน. มหาชนกล่าวว่า ท่าน
อาจารย์ พวกเราไม่รู้ ขอท่านอาจารย์โปรดบอกแก่พวกเราเถิด อุททกราม-
บุตรจึงกล่าวว่า ปัญหานี้ลึกซึ้ง เมื่อมีอาหารสัปปายะ อาจคิดได้ประเดี๋ยว
เดียวก็ตอบได้ แต่นั้นมหาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันทำสักการะใหญ่
ตลอด 4 เดือน อุททกรามบุตร เมื่อจะกล่าวปัญหานั้นได้กล่าวคำเป็น
อาทิว่าบุคคลเห็นอยู่ซึ่งอะไรจึงชื่อว่าย่อมไม่เห็น ดังนี้. ในบทเหล่านั้น
บทว่า มีดโกนลับดีแล้ว คือลับเสียคมกริบ ในข้อนี้มี อธิบายว่า ใบมีด
โกนลับดีแล้วย่อมปรากฏ แต่คมมีดโกนไม่ปรากฏ.
บทว่า สงฺคมฺม สมาคมฺม คือรวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ
พยัญชนะด้วยพยัญชนะนั้น อธิบายว่า นำมาเปรียบกันอรรถกับอรรถพยัญ-
ชนะกับแม้พยัญชนะ บทว่า พึงรวบรวม คือ พึงบอกได้ พึงสอดได้ บทว่า
ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ ความว่า ศาสนาพรหมจรรย์ทั้งสิ้นนี้. บทว่า ตตฺร เจ
คือ ในท่ามกลางสงฆ์นั้นหรือในภาษิตของสพรหมจารีนั้น. ในบททั้ง
หลายว่าท่านผู้มีอายุถือเอาอรรถนั่นแลผิดและยกพยัญชนะทั้งหลาย

ผิดดังนี้ อธิบายว่า ในบทนี้ว่า สติปัฏฐาน 4 ย่อมถือเอาอรรถว่า อารมณ์
คือสติปัฏฐาน ยกพยัญชนะขึ้นว่า สติปฏฺฐานานิ. บทว่า อิมสฺส กึ นุ
โข อาวุโส อตฺถสฺส
ความว่า พยัญชนะทั้งหลายเหล่านี้คือ จตฺตาโร
สติปฏฺฐานา
หรือ หรือว่าพยัญชนะทั้งหลายเหล่านั้น คือ จตฺตาริ สติ-
ปฏฺฐานานิ
ของอรรถว่าสตินั่นแหละคือสติปัฏฐาน. บทว่า อย่างไหน
จะสมควรกว่ากัน
คือพยัญชนะทั้งหลายของอรรถนี้อย่างไหน บทว่า
เข้าถึงกว่า คือแน่นกว่า บทว่า แห่งพยัญชนะทั้งหลายเหล่านี้ คือ
อรรถนี้ว่าสตินั่นแหละคือสติปัฏฐานหรือ หรือว่า อรรถนั้นว่า อารมณ์
คือสติปัฏฐานแห่งพยัญชนะทั้งหลายว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา. บทว่า ดู
ก่อนผู้มีอายุ ของอรรถนี้ คือ ของอรรถนี้ว่า อารมณ์เป็นสติปัฏฐาน
บทว่า ยานิ เจว เอตานิ ความว่าพยัญชนะเหล่านี้ ใดอันข้าพเจ้ากล่าว
แล้ว. บทว่า โย เจว เอโส ความว่า ใดอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว. บทว่า
โส เนว อุสฺสาเทตพฺโพ ความว่าพวกเธอควรตั้งอยู่ในอรรถและในพยัญ-
ชนะโดยชอบก่อน แต่สพรหมจารีนั้นพวกเธอไม่ควรยินดี ไม่ควรรุกราน
บทว่า สญฺญาเปตพฺโพ แปลว่า ควรให้รู้. บทว่า ตสฺส จ อตฺถสฺส คือ แห่ง
อรรถ ว่าสตินั่นแหละคือสติปัฏฐาน. บทว่า เตสญฺจ พฺยญฺชนานํ คือแห่ง
พยัญชนะว่า สติปฏฺฐานา. บทว่า นิสนฺติยา คือ เพื่อพิจารณา เพื่อทรงไว้.
พึงทราบเนื้อความในวาระทั้งหมด โดยนัยนี้. บทว่า ตาทิสํ แปลว่าเช่น กับ
ท่าน บทว่า อตฺถูเปตํ ได้แก่ถึงโดยอรรถ คือรู้ซึ่งอรรถ บทว่า พฺยญฺช-
ปูเปตํ
ได้แก่เข้าถึงโดยพยัญชนะ คือรู้ซึ่งพยัญชนะ พวกท่านสรรเสริญภิก-
ษุนั้นอย่างนี้ จริงอยู่ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสาวกของพวกท่าน ดูก่อนจุนทะ
ภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นพระพุทธะ ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้ง
ภิกษุพหูสูตในตำแหน่ง ของตน บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงขยาย
พระธรรมเทศนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นกว่านั้นจึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดูก่อนจุนทะเรา

ไม่แสดงธรรมแก่พวกเธอ เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายที่เป็นไปในปัจจุบัน
เท่านั้นดังนี้.
ในบทนั้นอาสวะทั้งหลายอันเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยเป็นเหตุในโลก
นี้ ชื่ออาสวะเป็นไปในปัจจุบัน อาสวะทั้งหลายอันเกิดขึ้นเพราะมีการบาด
หมางกันเป็นเหตุในปรโลก ชื่อว่าอาสวะเป็นไปในภพหน้า. บทว่า
สำรวม คือ เพื่อปิดโดยที่อาสวะเหล่านั้นเข้าไปไม่ได้ บทว่า ปฏิฆาตาย
คือ เพื่อกำจัดด้วยการทำลายราก. ในบททั้งหลายว่าเราอนุญาตจีวรแก่
พวกเธอก็เพียงเป็นเครื่องกำจัดหนาว
ดังนี้อธิบายว่า จีวรนั้นสามารถ
เพื่อกำจัดหนาวแก่พวกเธอ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า จีวรใดอัน
เราอนุญาตแก่พวกเธอ พวกเธอจักห่มจีวรนั้นแล้ว ทำความสนุกก็ดี ถือตัว
ก็ดีดังนี้เราไม่อนุญาต แต่พวกเธอห่มจีวรนั้นแล้วทำการกำจัดหนาวเป็นต้น
แล้วจัดกระทำโยนิโสมนสิการสมณธรรมสะดวก ดังนี้เราอนุญาต แม้
บิณฑบาตเป็นต้นก็อย่างเดียวกับจีวร ก็การพรรณนาอนุบทในที่นี้พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล.
บทว่า สุขลฺลิกานุโยคํ แปลว่าประกอบความเพียรเฉื่อยแฉะใน
ความสุข อธิบายว่า ความเป็นผู้พอใจในการเสพสุข. บทว่า สุเข คือ
กระทำให้ตั้งอยู่ในความสุข. บทว่า ปีเนติ คือทำให้เอิบอิ่ม คือ อ้วน.
บทว่า อฏฺฐิตธมฺมา คือ เป็นสภาพไม่ยั่งยืน. บทว่า ชิวฺหา โน อตฺถิ
อธิบายว่าปรารถนาเรื่องใด ๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องนั้น ๆ บางครั้งกล่าวถึงมรรค
บางครั้งกล่าวถึงผล บางครั้งกล่าวถึงนิพพาน. บทว่า ชานตา คือรู้โดย
สัพพัญญุตญาณ. บทว่า ปสฺสตา คือเห็นด้วยจักษุ 5. บทว่า คมฺภีรเนโม
คือฝังเข้าไปในดินลึก. บทว่า สุนิขาโต คือฝั่งแน่น. บทว่า เอวเมว

โข อาวุโส ความว่า พระขีณาสพเป็นผู้ไม่ควรประพฤติล่วงฐานะ 9 เป็น
ผู้ไม่หวั่นไหวไม่สะเทือนในการประพฤติล่วงนั้น. ในการประพฤติล่วงนั้น
แม้พระอริยะทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ก็ไม่ควรในการแกล้งปลง
สัตว์จากชีวิตเป็นต้น. บทว่า สนฺนิธิการกํ กาเม ปริภุญฺชิตุํ ความว่า
เพื่อทำการสั่งสมวัตถุกามและกิเลสกามแล้วบริโภค. บทว่า เหมือนอย่าง
ที่ตนเป็นผู้ครองเรือนในกาลก่อน
ความว่า ไม่ควรบริโภคเหมือน
อย่างที่ตนเป็นคฤหัสถ์บริโภคในกาลก่อน จริงอยู่พระอริยะมีพระโสดาบัน
เป็นต้นอยู่ ณ ท่ามกลางเรือน ย่อมตั้งอยู่ด้วยนิมิตของคฤหัสถ์ตลอดชีวิต.
แต่พระขีณาสพบรรลุพระอรหัตแล้วเป็นมนุษย์ย่อมปรินิพพาน หรือบวช
พระขีณาสพไม่ตั้งอยู่ในกามาวจรเทวโลกทั้งหลายมีจาตุมมหาราชิกาเป็น
ต้นแม้ครู่เดียว เพราะเหตุไร เพราะไม่มีที่วิเวก ก็แต่ว่าพระขีณาสพดำรง
อยู่ในอัตภาพแห่งภุมมเทวดา แม้บรรลุพระอรหัตแล้วก็ยังดำรงอยู่
ก็ปัญหานี้มาถึงด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพนั้น พึงทราบภิกขุภาวะของ
พระขีณาสพนั้นเพราะทำลายโทสะได้แล้ว.
บทว่า หาฝั่งมิได้ คือ ไม่มีฝั่ง ไม่มีกำหนด ใหญ่ บทว่า
พระสมณโคดมหาได้ปรารภกาลนานที่เป็นอนาคตไม่ อธิบายว่า ก็พระ
สมณโคดมหาได้ทรงบัญญัติอย่างนี้เพราะปรารภกาลนานอันเป็นอนาคตไม่
พระสมณโคดมเห็นจะทรงทราบอดีตเท่านั้น ไม่ทรงทราบอนาคต เป็นจริง
อย่างนั้นการระลึกถึงกำเนิดห้าร้อยห้าสิบชาติ ในอดีตย่อมปรากฏแก่พระ-
สมณโคดมนั้น การระลึกถึงมากอย่างนี้ย่อมไม่ปรากฏในอนาคต พวก
ปริพาชกอัญญเดียรถีย์เห็นจะสำคัญความนี้ดังนี้พึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า
ตยิทํ กึสุ คือไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร บทว่า กถํสุ คือด้วยเหตุไรหนอ.

อธิบายว่า พระสมณโคดมไม่ทรงรู้ทีเดียวหรือหนอ จึงไม่ทรงระลึกถึง
อนาคต คือว่า เพราะทรงใคร่จะไม่ระลึกถึง จึงไม่ระลึกถึง. บทว่า
อญฺญาวิหิตเกน ญาณเทสฺสเนน ความว่าพวกปริพาชกอัญญเดียรดีย์ย่อม
สำคัญสิ่งที่พึงถือเอา สิ่งที่พึงบัญญัติ อันเป็นญาณทัสสนะซึ่งเป็นไปเพราะปรา
รภญาณทัสสนะอื่นซึ่งเป็นอย่างอื่น ด้วยญาณอันเป็นทัสสนะเพราะความเป็น
ผู้สามารถเห็นเหมือนทำให้ประจักษ์ ซึงเป็นโดยประการอื่น คือ ปรารภ-
ญาณทัสสนะอื่นเป็นไป จริงอยู่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมสำคัญ
ญาณทัสสนะอันสงบตั้งขึ้นแล้วเฉพาะหน้าเนือง ๆ แก่ผู้เดินไป ยืนอยู่หลับ
และตื่น. ก็ชื่อว่าญาณเช่นนั้นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น พึงทราบปริพาชก
อัญญเดียรถีย์ว่า พวกเขาย่อมสำคัญเหมือนอย่างคนโง่ไม่ฉลาด ฉะนั้น.
บทว่า สตานุสารี ได้แก่ญาณอันสัมปยุตด้วยปุพเพนิวาสานุสสติ บทว่า
ยาวตกํ อากงฺขติ ความว่า พระตถาคตย่อมส่งพระญาณว่า เราจักรู้เท่า
ที่ปรารถนาจะรู้ ญาณของพระตถาคตนั้นไม่ถูกปิด ไม่ถูกกั้น ย่อมไปเหมือน
ลูกศรที่เขายิงไปในพวงใบไม้ผุฉะนั้น เพราะฉะนั้นพระตถาคตย่อมทรง
ระลึกได้เท่าที่ทรงหวัง บทว่าโพธิชํ แปลว่า เกิดที่โคนโพธิ์ บทว่า ญาณํ
อุปฺปชฺชติได้แก่ จตุมรรคญาณย่อมเกิด. บทว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย อธิ-
บายว่าชาตินี้มีในที่สุด เพราะละเหตุที่จะทำให้มีชาติได้ด้วยญาณนั้น. บท
ว่าบัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี อธิบายว่า แม้ญาณอื่นอีกก็ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ความว่า ไม่อาศัยประโยชน์ในโลกนี้หรือ
ประโยชน์ในโลกหน้า. บทว่า พระตถาคตย่อมได้ทรงพยากรณ์สิ่งนั้น
อธิบายว่า พระตถาคตย่อมไม่ทรงกล่าวถึงกถาอันไม่นำผู้ปฏิบัติให้ออกจาก
ทุกข์ได้เช่นภารตยุทธ และการลักพาสีดา. บทว่า สิ่งเป็นของจริงเป็น

ของแท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ หมายถึงติรัจฉานกถามี ราชกถา
เป็นต้น. บทว่า พระตถาคตทรงเป็นผู้รู้จักกาล อธิบายว่าพระตถาคต
ย่อมทรงรู้กาล คือทำให้มีเหตุการณ์แล้วจึงทรงกล่าวในกาลอันถึงความ
สมควร เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ตถาคต. อธิบายว่า กระทำ ท อักษร
ให้เป็น ต อักษร เพราะตรัสโดยประการที่ควรตรัส ท่านจึงกล่าวว่าตถาคต.
บทว่าทิฏฺฐํ ได้แก่รูปายตนะ. บทว่า สุตํ ได้แก่สัททายตนะ.
บทว่า มุตํ ได้แก่คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะของสิ่งที่ตนรู้แล้ว
คือถึงแล้วพึงถือเอา. บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ธรรมายตนะมีสุขและทุกข์
เป็นต้น บทว่า ปตฺตํ ได้แก่แสวงหาก็ดี ไม่แสวงก็ดีบรรลุแล้ว. บทว่า
ปริเยสิตํ ได้แก่แสวงหาสิ่งที่บรรลุแล้วก็ดี สิ่งที่ยังไม่บรรลุแล้ว. บทว่า
อนุวิจริตํ มนสา คือท่องเที่ยวไปด้วยจิต. ทรงแสดงบทนี้ด้วยคำนี้ว่า
ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํ ดังนี้ ที่โคนโพธิ์ บทว่า ตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้ว
อธิบายว่า ก็รูปารมณ์มีสีเขียวสีเหลืองเป็นต้นของโลกพร้อมด้วยเทวโลกนี้
ในโลกธาตุทั้งหลายหาประมาณมิได้อันใดย่อมมาสู่คลองในจักขุทวาร สัตว์
นี้เห็นรูปารมณ์นี้ในขณะนี้เป็นผู้ดีใจเสียใจ หรือมีคนเป็นกลางดังนี้
รูปารมณ์นั้นทั้งหมดอันพระตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้วด้วยอาการอย่างนี้. เช่น
เดียวกัน สัททารมณ์ใดมีเสียงกลอนเสียงตะโพนเป็นต้น ของโลกพร้อม
ด้วยเทวโลกในโลกธาตุทั้งหลายอันหาประมาณมิได้ ย่อมมาสู่คลองในโสต-
ทวาร คันธารมฌ์ใดมีกลิ่นที่ราก มีกลิ่นที่เปลือกเป็นต้น ย่อมมาสู่คลอง
ในฆานทวาร รสารมณ์ใดมีรสที่รากรสที่ลำต้นเป็นต้นย่อมมาสู่คลองใน
ชิวหาทวาร โผฏฐัพพารมณ์ใดอันต่างด้วยปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
มีแข็งมีอ่อนเป็นต้นย่อมมาสู่คลองในกายทวาร สัตว์นี้ถูกต้องโผฏฐัพพา-

รมณ์นี้ในขณะนี้ เป็นผู้ดีใจ เป็นผู้เสียใจ หรือมีตนเป็นกลาง อารมณ์ทั้ง
หมดนั้นพระตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้วด้วยประการฉะนี้. เช่นเดียวกัน ธรรมา
รมณ์ใดอันต่างด้วยสุขและทุกข์เป็นต้น ของโลกพร้อมด้วยเทวโลกนี้ในโลก
ธาตุทั้งหลายอันหาประมาณมิได้ ย่อมมาสู่คลองแห่งมโนทวาร สัตว์นี้รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์นี้ในขณะนี้ เป็นผู้ดีใจ เป็นผู้เสียใจ หรือเป็นผู้มีตนเป็นกลาง
ธรรมารมณ์ทั้งหมดนั้น อันพระตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ดูก่อนจุนทะ ตถาคตไม่เห็นไม่ฟังไม่รู้หรือไม่รู้แจ้งในสิ่งที่มนุษย์
ทั้งหลายเหล่านี้เห็นแล้วฟังแล้วรู้แล้ว หรือรู้แจ้งแล้วย่อมไม่มี สิ่งที่มหาชน
นี้แสวงหาแล้วบรรลุก็มี สิ่งที่มหาชนนี้แสวงหาแล้วไม่บรรลุก็มี สิ่งที่
มหาชนไม่แสวงหาแล้วบรรลุก็มี สิ่งที่มหาชนไม่แสวงหาแล้วไม่บรรลุก็มี
แม้ทั้งหมดนั้นชื่อว่าพระตถาคตไม่บรรลุแล้ว ไม่ทรงทำให้แจ้งด้วยญาณ
ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าตถาคตดังนี้ ที่เรียกว่าตถาคต เพราะ
ที่ที่ไม่เสด็จไปในโลกเสด็จไปแล้ว. แต่ในบาลีกล่าวว่า อภิสัมพุทธะ
คำนั้นมีความเดียวกับคตศัพท์ พึงทราบความแห่งบทสรุปว่า ตถาคโต
ในวาระทั้งหมดโดยนัยนี้ ความถูกต้องของอรรถนั้นท่านกล่าวความพิสดาร
ของตถาคตศัพท์ไว้ในพรหมชาลสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง
บันลือพระสีหนาทว่าเรากล่าวถึงความเป็นผู้หาผู้เสมอมิได้ ความเป็นผู้หา
ผู้ยิ่งกว่ามิได้ ความเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง ความเป็นธรรมราชาของตนอย่างนี้
แล้วชื่อว่าไม่รู้ไม่เห็นในลัทธิทั้งหลายของพวกสมณพราหมณ์เป็นอันมาก
ในบัดนี้ย่อมไม่มี ทั้งหมดย่อมเป็นไปในภายในญาณของเราทีเดียวดังนี้
จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดูก่อนจุนทะข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ดังนี้. ในบท
เหล่านั้น บทว่า ตถาคโต หมายถึงสัตว์. บทว่า ดูก่อนผู้มีอายุ เพราะ

ว่าข้อนี้ไม่ประกอบด้วยอรรถ คือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในโลกนี้
และประโยชน์ในโลกหน้า. บทว่า ไม่ประกอบด้วยธรรม คือไม่อาศัย
นวโลกุตตรธรรม. บทว่า ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ คือ ไม่เป็น
เบื้องต้นแห่งศาสนพรหมจรรย์ทั้งสิ้น อันสงเคราะห์ด้วยไตรสิกขา ในบท
ทั้งหลายว่านี้เป็นทุกข์แลเป็นต้นมีอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายเป็นไปในภูมิ
สามที่เหลือเว้นตัณหา พระผู้พระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า นี้เป็นทุกข์
ตัณหาเป็นเหตุเจริญเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พยากรณ์ว่า เป็นทุกขสมุทัย ความไม่เป็นไปของทั้งสองนั้นคือทุกข์ และ
ทุกขสมุทัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่าเป็นทุกขนิโรธ อริยมรรค
คือ การรู้รอบทุกข์ การละสมุทัย การทำให้แจ้งนิโรธ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพยากรณ์ว่า เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาในบททั้งหลายว่า ดูก่อน
ผู้มีอายุข้อนี้ประกอบด้วยประโยชน์
เป็นต้น มีอธิบายว่า ข้อนี้อาศัย
ประโยชน์ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า อาศัยนวโลกุตตรธรรมเป็น
เบื้องต้น คือ เป็นประธาน คือเป็นเบื้องหน้าของศาสนาพรหมจรรย์ทั้งสิ้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงบันลือพระสีหนาทว่า บัดนี้พวกปริพาชก
อัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย อย่าได้เข้าใจกันอย่างนี้ว่า ข้อใดที่เราไม่พยากรณ์
ไว้ ข้อนั้นเราไม่รู้จึงไม่พยากรณ์ไว้ดังนี้ เรารู้อยู่ดี ไม่พยากรณ์ เพราะแม้
เมื่อเราพยากรณ์ข้อนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็ข้อใดที่เราควรพยากรณ์
อย่างไร ข้อนั้นเราก็ได้พยากรณ์ไว้แล้วนั่นแลดังนี้ จึงตรัสอีกว่า ดูก่อน
จุนทะ ทิฏฐินิสัยแม้เหล่าใด เป็นอาทิ.
ทิฏฐิทั้งหลายในบทนั้น อธิบายว่าได้แก่ ทิฏฐินิสัย ทิฏฐินิสิต ทิฏฐิคติ
บทว่า สิ่งนี้แหละจริง คือ สิ่งนี้แหละเป็นทัสสนะที่จริง บทว่า คำอื่นเป็น

โมฆะ ได้แก่คำของคนอื่นเป็นโมฆะ บทว่า อสยํกาโร แปลว่าไม่ได้ ทำ
ด้วยตนเอง. บทว่า ตตฺร ได้แก่สมณะแลพราหมณ์เหล่านั้น บทว่า ดูก่อน
ผู้มีอายุมีอยู่หรือหนอที่ท่านทั้งหลายกล่าวคำนี้
ดังนี้ อธิบายว่าเราถาม
พวกท่านอย่างนี้ว่าดูก่อนผู้มีอายุ คำใดที่พวกท่านกล่าวว่า ตนและโลกเที่ยง
ดังนี้ คำนี้มีอยู่หรือไม่มี. บทว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวคำใด
อย่างนี้
ความว่า ก็สมณพรหมณ์เหล่านั้นกล่าวคำใดว่า สิ่งนี้แหละจริง สิ่ง
อื่นเปล่า เราไม่อนุญาตคำนั้นแก่สมณพรหมณ์เหล่านั้น. บทว่าโดยบัญญัติ
คือโดยทิฏฐิบัญญัติ. บทว่า เหมาะสม คือสมด้วยญาณอันเสมอ. บทว่า
อทิทํ อธิปญฺญตฺติคือ นี้ชื่ออธิบัญญัติ. ในอธิบัญญัตินี้เรานั่นแหละยิ่งกว่า
ไม่มีผู้เสมอด้วยเรา คำที่ท่านกล่าวโดยบัญญัติ และอธิบัญญัติ ทั้งสองคำนี้
เป็นอันเดียวกันโดยอรรถ โดยประเภทเป็นสอง คือ เป็นบัญญัติ อธิบัญญัติ
ในบัญญัติทั้งสองนั้น ทิฏฐิบัญญัติ เรียกบัญญัติ บัญญัติ 6 ที่ท่านกล่าว
ไว้อย่างนี้คือ ขันธบัญญัติ ธาตุบัญญัติ อายตนบัญญัติ อินทริยบัญญัติ
สัจจบัญญัติ บุคคลบัญญัติ ชื่ออธิบัญญัติ แต่ในที่นี้คำว่า โดยบัญญัติ ท่าน
หมาย ทั้งบัญญัติและอธิบัญญัติ จริงอยู่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ยอด
เยี่ยมหาผู้อื่นยิ่งกว่ามิได้ ทั้งโดยบัญญัติ ทั้งโดยอธิบัญญัติ ในบทว่า
อธิบัญญัติแม้นี้. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เราผู้เดียว
เป็นผู้ยิ่งในบัญญัติที่เป็นอธิบัญญัติดังนี้. บทว่า ปหานาย คือ เพื่อละ.
บทว่า สมติกฺกมาย เป็นไวพจน์ของบทนั้น. บทว่า เทสิตา แปลว่ากล่าวแล้ว.
บทว่า ปญฺญตฺตา แปลว่า ตั้งไว้แล้ว อธิบายว่า เมื่อทำการแยกสิ่งที่
เป็นก้อนออก เพื่อเจริญสติปัฏฐานได้เห็นสิ่งทั้งปวง โดยความแน่นอน

เป็นอันละทิฏฐินิสัยทั้งหมดโดยลงความเห็นว่าย่อมไม่เข้าไปรับรู้ความเป็น
สัตว์ ในกองสังขารล้วน ดังนี้ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
ว่า สติปัฏฐาน 4 อันเราแสดงแล้วบัญญัติแล้วเพื่อละ เพื่อก้าวล่วงซึ่ง
ทิฏฐินิสัยดังนี้ ส่วนที่เหลือมีเนื้อความง่ายในที่ทั้งปวงอยู่แล้ว
จบอรรถกถาปาสาทิกสูตรที่ 6.