เมนู

และข้าพระพุทธเจ้าก็ได้อายุอีกทีเดียว ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ชีวิต
ด้วยผลกรรมอย่างอื่นอีก. ด้วยคำนี้ ท้าวสักกะทรงเปิดเผยถึงความจุติและ
ความเกิดของพระองค์.
คำว่า กายทิพย์ คือ อัตภาพเป็นทิพย์. คำว่า ละอายุที่ไม่ใช่เป็น
ของมนุษย์
คือ ทิ้งอายุทิพย์. คำว่า จะไม่หลงเข้าครรภ์ คือ เป็นผู้ไม่
หลง เพราะมีคติเที่ยงแท้ จะเข้าถึงครรภ์ในตระกูลกษัตริย์เป็นต้นที่ใจของ
ข้าพระพุทธเจ้าจะรื่นรมย์นั้นเท่านั้น. ท้าวสักกะทรงแสดงความข้อนี้ว่า ใน
เทวดาและในมนุษย์เจ็ดครั้ง.
คำว่า จะอยู่อย่างถูกต้อง ความว่า แม้ข้าพระพุทธเจ้าเกิดในหมู่
มนุษย์จะอยู่อย่างถูกต้องคือตามเหตุผล โดยสม่ำเสมอ เพราะความเป็นผู้ไม่
ควรแก่การปลงแม่จากชีวิตเป็นต้น (ฆ่าแม่).
ท้าวสักกะตรัสหมายเอาสกทาคามิมรรคนี้ว่า หากความตรัสรู้จะมี.
ทรงแสดงว่า หากข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นสกทาคามี. คำว่า เป็นผู้รู้ทั่วถึงจะ
อยู่
คือ ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้รู้ทั่วถึง คือจะเป็นผู้ใครรู้ทั่วถึงอยู่. คำว่า ที่
สุดนั้นแลจะมี
คือที่สุดในมนุษยโลกนั้นแลจะมี.
ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นสักกะผู้จอมทวยเทพที่สูงสุด
ในเทวโลกอีก ด้วยคำนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นเทพผู้สูงสุดในเทวโลกอีก.
คำว่า อันมีในที่สุด ที่กำลังเป็นไปอยู่ คือ ในภพอันมีในที่สุดที่
กำลังเป็นไปอยู่. คำว่า นั้นจะเป็นที่อยู่ คือ พวกเทวดาเหล่านั้นใด ที่ไม่น้อย
กว่าใคร ทั้งด้วยอายุ ทั้งด้วยปัญญา เป็นผู้เจริญที่สุดประณีตกว่าพวกเทพ
ทั้งหมด ในที่สุด ภพนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัยของข้าพระพุทธเจ้า.

เล่ากันมาว่า ท้าวสักกะนี้ จุติจากอัตภาพแห่งท้าวสักกะนั้นแล้ว จะ
เป็นผู้มีกระแสสูงไปจนถึงชั้นอกนิฏฐ์ เพราะความที่ทรงได้อนาคามิมรรคใน
อัตภาพนั้น เมื่อทรงเกิดในชั้นอวิหาเป็นต้นอยู่ สุดท้ายจะเป็นอกนิฏฐคามี
พรหม. ท้าวเธอทรงหมายถึงข้อนั้นจึงตรัสอย่างนั้น.
ได้ยินว่า ท้าวสักกะนี้ จะทรงอยู่ในชั้นอวิหาพันกัป แม้ในชั้นอตัปปา
ก็พันกัป ในชั้นสุทัสสาสี่พันกัป ในชั้นสุทัสสีแปดพันกัป ในชั้นอกนิฏฐ์สิบ-
หกกัป ดังว่ามานี้ ท้าวเธอจึงจะเสวยอายุพรหมสามหมื่นหนึ่งพันกัป. จริงอยู่
ชื่อว่าสัตว์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการเวียนว่ายตายเกิดมีประมาณอายุอย่างเดียวกัน
แท้ เหล่านี้สามท่าน ได้แก่ ท้าวสักกะผู้เป็นราชาของเทพ อนาถปิณฑิก-
คฤหบดี นางวิสาขามหาอุบาสิกา. ธรรมดาผู้มีส่วนความสุขเท่ากับท่านเหล่านี้
ไม่มี.
คำว่า ผู้มีความดำริยังไม่ถึงที่สุด คือมีมโนรถที่ยังไม่จบลง. คำว่า
ข้าพระพุทธเจ้าสำคัญสมณะเหล่าใดสิ คือข้าพระพุทธเจ้าย่อมสำคัญว่า
สมณะเหล่าใดเป็นผู้มีปกติเงียบสงบอยู่. คำว่า อาราธนา แปลว่า ความสำเร็จ.
คำว่า วิราธนา แปลว่า ความล้มเหลว. คำว่า ไม่เป็นพร้อม คือ ไม่อาจ
พูดให้สำเร็จได้. คำว่า เป็นญาติของพระอาทิตย์ คือ พระอาทิตย์ก็เป็น
โคตมโคตรด้วย. พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเป็นโคตมโคตรด้วย ฉะนั้น ท้าว
สักกะจึงตรัสอย่างนั้น. คำว่า ย่อมกระทำสิ่งใดกันล่ะ คือ แต่ก่อนมาพวกเรา
ย่อมกระทำความนอบน้อมใดแก่พรหม. คำว่า เสมอกับพวกเทพ คือ พร้อม
กับพวกเทพ. ท้าวสักกะทรงแสดงว่า บัดนี้ ตั้งแต่นี้ไป พวกเราไม่มีการกระ
ทำความนอบน้อมแก่พรหม พวกเราเลิกไหว้พรหม. คำว่า ย่อมกระทำ
ความสมควร
คือ พวกเราย่อมกระทำความนอบน้อม.

คำว่า ทรงลูบคลำ ความว่า ท้าวสักกะมีพระทัยปลาบปลื้ม ทรงตบ
แผ่นดิน หรือทรงตบเพื่อพระประสงค์ให้เป็นพยาน เหมือนคนเอามือลูบมือ
เพื่อนตรัสว่า เราก็เหมือนท่านที่ไม่หวั่นไหว. คำว่า ปัญหาที่ทรงเชื้อเชิญ
แล้ว
คือ ปัญหาที่ได้รับอาราธนา หมายความว่าปัญหาที่ถูกทูลถาม. คำที่เหลือ
ในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสักกปัญหสูตรที่ 8

9. มหาสติปัฏฐานสูตร

1

กถาว่าด้วยอุทเทสวาร



[273] ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ นิคม
ของหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อกัมมาสทัมมะ ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดังนี้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูล
รับพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ดังนี้. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษ
ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่ออัสดงค์
ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) 4 อย่าง. สติปัฏฐาน 4 อย่าง
เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายใน
กายเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา
และโทมนัส (ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต
1. พระศาสนโศภน (แจ่มจตฺตสลฺโล) วัดมกุฏกษัตริยาราม แปล.

เนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ
อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสียให้พินาศ.
จบกถาว่าด้วยอุทเทสวาร

กายานุปัสสนา อานาปานบรรพ



[274] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย
เนือง ๆ อยู่ อย่างไรเล่า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ดี ไปแล้วสู่
โคนไม้ก็ดี ไปแล้วสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ (ขัดสมาธิ) ตั้งกายให้ตรง
ดำรงสติเฉพาะหน้า. เธอย่อมหายใจเข้า ย่อมมีสติหายใจออก เมื่อหายใจ
เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เรา
หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจ
ออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น ยอมสำเหนียกว่า เ ราจักเป็นผู้กำหนด
รู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนด
รู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกาย
สังขาร (คือลมอัสสาสะ ปัสสาสะ) หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับ
กายสังสาร หายใจออก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่าง
กลึงผู้ฉลาด เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงยาว หรือเมื่อชัก
เชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉัน

นั้นนั่นแหละ เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจ
ออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจ
เข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้นย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร
หายใจออก ดังนี้. ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้ง
ภายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอ
ที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
จบข้อกำหนดว่าด้วยลมหายใจเข้าออก

อิริยาบถบรรพ



[275] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเมื่อเดินอยู่
ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า
เรานั่ง หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน. อนึ่งเมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้

แล้วอย่างใด ๆ ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้น ๆ ดังนี้. ภิกษุย่อมพิจารณา
เห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปใน
กายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปใน
กายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่
เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อม
ไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
จบข้อกำหนดว่าด้วยอิริยาบถ

สัมปชัญญบรรพ



[276] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำ
สัมปชัญญะ (ความเป็นผู้รู้พร้อม) ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้าง
หลัง ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการแลไปข้างหน้า แลเหลียวไปข้างซ้าย
ข้างขวา ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก
ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ย่อมเป็นผู้
ทำสัมปชัญญะ ในการกิน ดม เคี้ยว และลิ้ม ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ
ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการเดิน ยืน นั่ง
หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่ ดังนี้.

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอก
บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความคิดเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอตั้งมั่นอยู่
ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็น
ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
จบข้อกำหนดว่าด้วยสัมปชัญญะ

ปฏิกูลมนสิการบรรพ



[277] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณา
กายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไปเบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่
โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม
หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว
น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไถ้มีปาก 2 ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติ มีประการ
ต่าง ๆ คือ.
ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร บุรุษมีจักษุ
แก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า เหล่านี้ ข้าวสาลี เหล่านี้ ข้าวเปลือก เหล่านี้

ถั่วเขียว เหล่านี้ ถั่วเหลือง เหล่านี้ งา เหล่านี้ ข้าวสาร ฉันใด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป
เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการ
ต่าง ๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม
หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว
น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายใน ทั้งภาย
นอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า
กายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้
อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
จบข้อกำหนดว่าด้วยของปฏิกูล.

ธาตุมนสิการบรรพ



[278] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณา
กายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาด ฆ่าแม่โค
แล้ว พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ 4 แพร่ง แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากาย อันตั้งอยู่
ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดังนี้. ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายใน
บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกาย
ในกาย ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิด
ขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือ
สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ
ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
จบข้อกำหนดว่าด้วยธาตุ

นวสีวถิกาบรรพ



[279] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า ตายแล้ววันหนึ่ง หรือตาย
แล้ว 2 วัน หรือตายแล้ว 3 วัน อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียดเป็นสรีระมีน้ำ
เหลืองไหลน่าเกลียด. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มี
อย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภาย
นอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า
กายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อัน
ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
[280] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้ง
จิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตระกรุมจิกกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัข
จิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง หมู่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ต่าง ๆ กัดกินอยู่บ้าง เธอก็น้อมเข้ามา
สู่กายนี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้
ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายใน ทั้ง
ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่
ว่ากายมีอยู่. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้
อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่
อย่างนี้.
[281] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและ
เลือด อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า
ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายใน ทั้ง
ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอตั้งมั่นอยู่
ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อม
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่อย่างนี้.
[282] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า เป็นร่างกระดูก เปื้อนด้วย
เลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่
แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วง
ความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภาย-
นอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นทั้งความเกิดขึ้น

ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง ก็หรือสติของเธอที่คงมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิ
ไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้
[283] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจาก
เนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า ถึง
ร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่าง
นี้ไปได้ ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้ง
ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็
หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่า
เป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่
ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
[284] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกับว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า คือเป็น (ท่อน) กระดูก
ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว กระจายไปแล้วในทิศน้อยและทิศใหญ่ คือ
กระดูกมือ (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกเท้า (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกแข้ง (ไป
อยู่) ทางอื่น กระดูกขา (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกสะเอว (ไปอยู่ ) ทางอื่น
กระดูกหลัง (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกสันหลัง (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกซี่โครง
(ไปอยู่)ทางอื่น กระดูกหน้าอก (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกไหล่ (ไปอยู่) ทางอื่น

กระดูกแขน (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกคอ (ไปอยู่) ทางอื่น กระดูกคาง (ไปอยู่)
ทางอื่น กระดูกฟัน (ไปอยู่) ทางอื่น กระโหลกศีรษะ (ไปอยู่) ทางอื่น. เธอ
ก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็น
อย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอก
บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้ง
ความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือว่าสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า
กายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อม
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
[285] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า คือเป็น (ท่อน) กระดูก มี
สีขาวเปรียบด้วยสีสังข์ เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็
มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้ง
ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่
ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก. เธอย่อม
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่าง
นี้.
[286] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า คือเป็น (ท่อน) กระดูก เป็น
กองเรี่ยรายแล้ว มีในภายนอก (เกิน) ปีหนึ่ง ไปแล้ว เธอก็น้อมเข้ามาสู่กาย
นี้นี่แลว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วง
ความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอก
บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้ง
ความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากาย
มีอยู่. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย
อยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่อย่าง
นี้.
[287] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเหมือนกะว่าจะ
พึงเห็นสรีระ (ซากศพ) ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า คือเป็น (ท่อน) กระดูก
ผุละเอียดแล้ว. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่เล่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้
เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกาย เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้ง
ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อม

พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง. ก็หรือว่าสติของเธอที่ตั้งมั่น
อยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก. เธอย่อม
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
จบข้อกำหนดด้วยป่าช้า 9 ข้อ
จบกายานุปัสสนา

เวทนานุปัสสนา



[288] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนา
(ความเสวยอารมณ์) ในเวทนาเนือง ๆ อยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัด
ว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวย
ทุกขเวทนา เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา (ไม่ทุกข์ ไม่สุข) ก็รู้ชัดว่า บัดนี้
เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส (คือเจือกามคุณ )
ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
(คือไม่เจือกามคุณ) ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส หรือเมื่อเสวย
ทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส หรือเมื่อ
เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
มีอามิส หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวย
อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ดังนี้ .

ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้ง
ภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในเวทนา
บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง. ก็หรือสติ
ของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าเวทนามีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถือ
อะไร ๆ ในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ
อยู่อย่างนี้แล.
จบเวทนานุปัสสนา

จิตตานุปัสสนา



[289] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิต
ในจิตเนือง ๆ อยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อนึ่ง จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า
จิตมีราคะ หรือจิตไม่มีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีราคะ หรือจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า
จิตมีโทสะ หรือจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโทสะ หรือจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า
จิตมีโมหะ หรือจิตไม่มีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ หรือจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า
จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน หรือจิตเป็นมหรคต (คือถึงความ
เป็นใหญ่ หมายเอาจิตที่เป็นฌาน หรือเป็นอัปปมัญญา พรหมวิหาร) ก็รู้ชัดว่า
จิตเป็นมหรคต จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต หรือจิตเป็น
สอุตตระ (คือกามาวจรจิต ซึ่งมีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่ถึงอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่า จิต

เป็นสอุตตระ หรือจิตเป็นอนุตตระ (คือกามาวจรจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า หมาย
เอาอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่าจิตเป็นอนุตตระ หรือจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น
หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตไม่ตั้งมั่น หรือจิตวิมุตติ (คือหลุดพ้นด้วยตทังค-
วิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ) ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุตติ หรือจิตยังไม่วิมุตติ ก็รู้ชัด
ว่าจิตยังไม่วิมุตติ ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นจิต
ในจิตเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง. ก็หรือสติของเธอ
ที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก.
เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก
ด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่อย่าง
นี้แล.
จบจิตตานุปัสสนา

ธัมมานุปัสสนา
นีวรณบรรพ



[290] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรม
ในธรรมเนือง ๆ อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ 5.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ นิวรณ์ 5 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกามฉันท์
(ความพอใจในกามารมณ์) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ มีอยู่ ณ
ภายในจิตของเรา หรือเมื่อกามฉันท์ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันท์

ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้ว
เสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละ
เสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย
อนึ่ง เมื่อพยาบาท มี ณ ภายในจิตย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท มีอยู่ ณ
ภายในจิตของเรา หรือเมื่อพยาบาทไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท
ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา ความที่พยาบาทอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วย
ประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วย
ประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความที่พยาบาทอันตนละเสียแล้วไม่เกิดขึ้น
ต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย.
อนึ่ง ถิ่นมิทธะ มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ถิ่นมิทธะมีอยู่ ณ ภายใน
จิตของเรา หรือเมื่อถิ่นมิทธะไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ถิ่นมิทธะไม่มี
ณ ภายในจิตของเรา ความที่ถิ่นมิทธะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วย
ประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละถิ่นมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วย
ประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละถิ่นมิทธะอันตนละเสียแล้ว ไม่
เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใดย่อมรู้ประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ) มี ณ ภายใน
จิต ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกจจะ มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อ
อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ
ภายในจิตของเรา ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว

เสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันตน
ละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่อวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) มี ณ ภายในจิต ย่อม
รู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ เมื่อวิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิตของเรา ความที่วิจิกิจฉาอันยัง
ไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความละ
วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการนั้นด้วย ความ
ที่วิจิกิจฉาอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ประการ
นั้นด้วย ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย
ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง. ก็หรือสติของเธอที่
ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก.
เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือนิวรณ์ 5
อย่างนี้แล.
จบ ข้อกำหนดนิวรณ์

ขันธบรรพ



[291] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมคือ อุปาทานขันธ์ 5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออุปาทานขันธ์ 5.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (ย่อมพิจารณาดังนี้ ว่า)
อย่างนี้ รูป (สิ่งที่ทรุดโทรม) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของรูป อย่างนี้
ความดับไปของรูป อย่างนี้เวทนา (ความเสวยอารมณ์) อย่างนี้ความเกิดขึ้นของ
เวทนา อย่างนี้ความดับไปของเวทนา อย่างนี้สัญญา (ความจำ) อย่างนี้ความ
เกิดขึ้นของสัญญา อย่างนี้ความดับไปของสัญญา อย่างนี้ สังขาร (สภาพปรุงแต่ง)
อย่างนี้ ความเกิดของสังขาร อย่างนี้ ความดับของสังขาร อย่างนี้ วิญญาณ
(ความรู้) อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ
ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภาย
ใน ทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง. ก็หรือสติของเธอ
ที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก.
เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปา-
ทานขันธ์ 5 อย่างนี้แล.
จบข้อกำหนดว่าด้วยขันธ์.

อายตนบรรพ



[292] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณา
ธรรมในธรรม คือ อายตนะภายใน และอายตนะภายนอก 6 (อย่างละ 6)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร อายตนบรรพภิกษุย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและอายตนะภายนอก 6.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักตาด้วย ย่อมรู้จัก
รูปด้วย อนึ่ง สังโยชน์ (เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูปทั้ง 2 นั้น
อันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อม
เกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์
ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความ
ที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้
จักประการนั้นด้วย.
ย่อมรู้จักหูด้วย ย่อมรู้จักเสียงด้วย อนึ่ง สังโยชน์ย่อมเกิดขึ้นอาศัยหู
และเสียงทั้ง 2 นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยัง
ไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความ
ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการ
ใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย.
ย่อมรู้จักจมูกด้วย ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น
อาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง 2 นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์
อันยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความ
ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการ
ใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย.
ย่อมรู้จักลิ้นด้วย ย่อมรู้จักรสด้วย อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัย
ลิ้นและรสทั้ง 2 นั้นอันใด ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยัง

ไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความ
ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย
อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการ
ใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย.
ย่อมรู้จักกายด้วย ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย) ด้วย
อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง 2 นั้นอันใด ย่อมรู้จัก
อันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการ
ใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความละสังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วย
ประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสีย
แล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย.
ย่อมรู้จักใจด้วย ย่อมรู้จักธรรมารมณ์ (สิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย
อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง 2 นั้นอันใด ย่อมรู้จัก
อันนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการ
ใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วย
ประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว
ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย ดังนี้ .
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายใน
ทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง. ก็หรือสติ
ของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่
อาศัยระลึก. เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถือ
อะไร ๆ ในโลกด้วย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อาย-
ตนะภายในและอายตนะภายนอก 6 อย่างนี้แล.
จบข้อกำหนดว่าด้วยอายตนะ.

โพชฌงคบรรพ



[293] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ 7 อย่าง).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คือ โพชฌงค์ 7.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อสติสัมโพชฌงค์ (องค์
แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือสติ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า สติสัม-
โพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อสติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายใน
จิต ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่สติ-
สัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น
ด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพซฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วย
ประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้
คือ ความเลือกเฟ้นธรรม) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อม
รู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่ธัมม-
วิจยสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัด
ประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่เกิด
ขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย.

อนึ่ง เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์. (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ
ความเพียร) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิต
ของเรา หรือเมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิริย
สัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่วิริยสัมโพชฌงค์ อันยัง
ไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความ
เจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อม
รู้ชัดประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่อปิติสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ปิติ
ความปลื้มใจ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายใน
จิตของเรา หรือเมื่อปิติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า
ปิติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่ปิติสัมโพชฌงค์
อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง
ความเจริญบริบูรณ์ของปิติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ( องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือ
ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบจิต ) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิ
สัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ
ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง
ความที่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อม
รู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิด
ขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ
สมาธิ มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์มี ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์

ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ความที่สมาธิสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญ
บริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อม
รู้ชัดประการนั้นด้วย.
อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ
อุเบกขา ความที่จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง) มี ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขา
สัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ
ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง
ความที่อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อม
รู้ชัดประการนั้นด้วย อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่เกิด
ขึ้นแล้ว ย่อมเป็นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้ง
ภายใน ทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง. ก็หรือสติของเธอ
ที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก.
เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก
ด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพช-
ฌงค์ 7 อย่างนี้แล.
จบข้อกำหนดว่าด้วยโพชฌงค์.
จบภาณวารที่หนึ่ง.

สัจจบรรพ - ทุกขอริยสัจ



[294] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรม คืออริยสัจ 4 (ของจริงแห่งพระอริยเจ้า).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
คืออริยสัจ 4.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง
ว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ ทุกขสมุทัย (เหตุที่เกิดทุกข์)
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ ทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์) ย่อมรู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับ
ทุกข์).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ของจริงแห่งพระอริยเจ้า คือทุกข์ เป็นอย่างไร
เล่า.
แม้ชาติ ก็เป็นทุกข์ แม้ชรา ก็เป็นทุกข์ แม้มรณะ ก็เป็นทุกข์
แม้โสกะ ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน ) ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) โทมนัส
(ความเสียใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) ก็เป็นทุกข์ ความประสบ
สัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์ และ
สังขาร ซึ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่
สมประสงค์นั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ (ขันธ์ประกอบด้วยอุปาทาน
ความถือมั่น) 5 เป็นทุกข์.
[295] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติ เป็นอย่างไร ความเกิด เกิดพร้อม
ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ

ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่
กล่าวว่าชาติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชรา เป็นอย่างไร ความแก่ ความคร่ำคร่า
ความที่ฟันหลุด ความที่ผมหงอก ความที่หนังหดเหี่ยว เป็นเกลียวความ
เสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์นั้น ๆ
อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ชรา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณะ เป็นอย่างไร ความจุติ ความเคลื่อนไป
ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความแตก
แห่งขันธ์ ความทิ้งซากศพไว้ ความขาดไปแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ
ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า มรณะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โสกะ (ความแห้งใจ) เป็นอย่างไรเล่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ความโสก ความเศร้าใจ ความแห้งใจ ความผาก ณ ภายใน
ความโศก ณ ภายในของสัตว์ ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และ
ผู้มีความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อันนี้กล่าวว่า โสกะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน ) เป็นอย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ
ความที่ร่ำไรรำพัน ความที่สัตว์คร่ำครวญ ความที่สัตว์ร่ำไรรำพัน ของสัตว์
ผู้ประกอบด้วยความฉิบหาย อันใดอันหนึ่ง และผู้ที่มีความทุกข์อันใดอันหนึ่ง
มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ปริเทวะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) เป็นอย่างไรเล่า ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในกาย ความไม่ดีเกิดในกาย เวทนาไม่ดีเป็น
ทุกข์ เกิดแต่สัมผัส ทางกายอันใดเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ทุกข์.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทมนัส ( ความเสียใจ ) เป็นอย่างไร ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในใจ ความไม่ดีเกิดในใจ เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์
เกิดแต่สัมผัสทางใจ อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า โทมนัส.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นอย่างไร ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ความแค้น ความคับแค้น ความที่สัตว์แค้น ความที่สัตว์คับแค้น
ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใด
อันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันนี้กล่าวว่า อุปายาส.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก
เป็นทุกข์อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งไม่เป็นที่
ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ปลื้มใจ คือรูป เสียง กลิ่น รส และ
โผฏฐัพพะ ย่อมมีแก่ผู้นั้น อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความฉิบหาย
ใคร่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ใคร่ความไม่สำราญ และใคร่ความไม่เกษม จากเครื่อง
ประกอบแก่ผู้นั้น ความไปร่วม ความมาร่วม ความประชุมร่วม ความระคน
กับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
ความประสบกับสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก
เป็นทุกข์ อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่
ปรารถนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
ย่อมมีแก่ผู้นั้น อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความเจริญ ใคร่ประโยชน์
เกื้อกูลใคร่ความสำราญ และใคร่ความเกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น คือ
มารดา หรือบิดา พี่ชายน้องชาย หรือพี่หญิง น้องหญิง มิตร หรืออำมาตย์

หรือญาติสาโลหิต ความไม่ไปร่วม ความไม่มาร่วม ความไม่ประชุมร่วม
ความไม่ระคน กับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้นอันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อันนี้กล่าวว่า ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ของที่ไม่สม-
ประสงค์นั้น เป็นทุกข์อย่างไรเล่า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนา ย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ ที่มี
ความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
โอหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเกิดเป็นธรรมดาเถิด อนึ่ง ขอความ
เกิดอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนอ ดังนี้ ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนา
โดยแท้ แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ที่มีความ
แก่ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความแก่เป็นธรรมดา
เถิด อนึ่ง ขอความแก่อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้ ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้
ตามความปรารถนาโดยแท้ แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ที่มี
ความเจ็บ ๆ ไข้ ๆ เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
โอหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาเถิด ข้อนั้น
สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้ แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า การไม่ได้สิ่งที่
ปรารถนา ก็เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ ที่มีความ
ตายเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า

โอหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความตายเป็นธรรมดาเถิด อนึ่ง ขอ
ความตายอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนอ ดังนี้ สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนา
โดยแท้ แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีโสกะ
ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
โอหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มี โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
เป็นธรรมดาเถิด อนึ่ง ขอ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อย่ามีมา
ถึงแก่เราเลย ดังนี้ ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้ แม้ข้อนี้
ก็ชื่อว่า การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ก็เป็นทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์อย่างไร นี้คือ
อุปาทานขันธ์ คือ รูป อุปาทานขันธ์ คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือ สัญญา
อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร อุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยย่อเหล่านี้ กล่าวว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง 5
เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า อริยสัจ คือ ทุกข์.

ทุกขสมุทัยอริยสัจ



[296] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
เป็นอย่างไร. ตัณหา (ความทะยานอยาก) นี้อันใด มีความเกิดขึ้นอีกเป็นปกติ
ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลิน มักเพลินยิ่งใน
อารมณ์นั้น ๆ นี้คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
[297] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลตัณหานั้นนั่นเอง เมื่อจะเกิดขึ้น
ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน. ที่ใด เป็นที่รักใคร่ เป็นที่

พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น. ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตาเป็นที่
รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ตานั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ตานั้น. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่หูนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่หู
นั้น. จมูกเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อม
เกิดขึ้นที่จมูกนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่จมูกนั้น. ลิ้น เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ลิ้นนั้น เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ลิ้นนั้น. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายนั้น.
ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้น
ที่ใจนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ
ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปนั้น เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปนั้น. เสียงเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
จะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เสียงนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เสียงนั้น. กลิ่น
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้น
ที่กลิ่นนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กลิ่นนั้น. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ
ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อม
ตั้งอยู่ที่รสนั้น. โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่
โผฏฐัพพะนั้น. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น

เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ธัมมารมณ์ เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ธัมมารมณ์
นั้น.
จักขุวิญญาณ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะ
เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่จักขุวิญญาณนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ จักขุ
วิญญาณนั้น โสตวิญญาณ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
จะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โสตวิญญาณนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โสต
วิญญาณนั้น ฆาณวิญญาณนั้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ฆานวิญญาณนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่
ที่ฆานวิญญาณนั้น ชิวหาวิญญาณ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ชิวหาวิญญาณนั้น เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ชิวหาวิญญาณนั้น กายวิญญาณ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ
ในโ ลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายวิญญาณนั้น เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายวิญญาณนั้น มโนวิญญาณ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่
พอใจในโ ลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่มโนวิญญาณนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่มโนวิญญาณนั้น.
จักขุสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะ
เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่จักขุสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัส
นั้น โสตสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะ
เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โสตสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โสตสัมผัสนั้น.
ฆานสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ฆานสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ฆานสัมผัสนั้น
ชิวหาสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น

ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ชิวหาสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ชิวหาสัมผัสนั้น
กายสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายสัมผัสนั้น มโน
สัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อม
เกิดขึ้นที่มโนสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่มโนสัมผัสนั้น.
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่จักขุสัมผัสนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนาซึ่งเกิดแต่จักขุสัมผัสนั้น เวทนาซึ่งเกิดแต่
โสตสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่โสตสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่
เวทนาซึ่งเกิดแต่โสตสัมผัสนั้น เวทนาซึ่งเกิดแต่ฆานสัมผัส เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้น ที่เวทนาซึ่งเกิด
แต่ฆานสัมผัส เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ฆานสัมผัสนั้น.
เวทนา ซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น เวทนา ซึ่งเกิด
แต่กายสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด
ขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อม
ตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัสนั้น เวทนา ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัส
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้น

ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่ง
เกิดแต่มโนสัมผัสนั้น.
รูปสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น. เมื่อจะ
เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปสัญญา
นั้น สัททสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด
ขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่สัททสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่สัททสัญญา
นั้น คันธสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด
ขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่คันธสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่คันธสัญญา
นั้น รสสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด
ขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รสสัญญานั้น
โผฏฐัพพสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โผฏฐัพพสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โผฏฐัพพ
สัญญานั้น ธัมมสัญญา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
จะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ธัมมสัญญานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ธัมม
สัญญานั้น.
รูปสัญเจตนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะ
เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปสัญเจตนานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปสัญ-
เจตนานั้น สัททสัญเจตนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่สัททสัญเจตนานั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่
ที่สัททสัญเจตนานั้น คันธสัญเจตนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่คันธสัญเจตนานั้น เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ที่คันธสัญเจตนานั้น รสสัญเจตนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ
ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสสัญเจตนานั้น เมื่อจะ

ตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรสนั้น. ความคิดถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่
เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึง
โผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอูยู่ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น. ความคิด
ถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิด
ถึงธัมมารมณ์นั้น.
ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรูปนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่
ที่ความอยากในรูปนั้น. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในเสียงนั้น เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในเสียงนั้น. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่
พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในกลิ่นนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในกลิ่นนั้น. ความอยากในรส เป็นที่รัก
ใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยาก
ในรสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรสนั้น. ความอยากใน
โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความ
อยากในโผฏฐัพพะนั้น . ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ
ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น.
ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรูปนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่
ที่ความตรึกถึงรูปนั้น. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงเสียงนั้น. เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมจะตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่
พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น. ความตรึกถึงรส เป็นที่รัก
ใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึก
ถึงรสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรสนั้น. ความตรึกถึงโผฏ-
ฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อม
เกิดขึ้นที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึง
โผฏฐัพพะนั้น. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น.
ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรูปนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่
ที่ความตรองถึงรูปนั้น. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงเสียง เมื่อจะตั้งอยู่
ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงเสียงนั้น. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่
พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น. ความตรองถึงรส เป็นที่
รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความ
ตรองถึงรสนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรสนั้น. ความตรอง
โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น
ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความ
ตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจ

ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น
เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่าอริยสัจ คือทุกขสมุทัย (เหตุให้
ทุกข์เกิด).

ทุกขนิโรธอริยสัจ



[298] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่
ดับทุกข์) เป็นอย่างไร. คือ ความสำรอกและความดับโดยไม่มีเหลือ ความสละ
ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัย ในตัณหานั้น นั่นแล อันใด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้นนั่นแล เมื่อบุคคลจะละเสีย ย่อมละเสียได้ใน
ที่ไหน เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน. ที่ใดเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ในที่นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
ในที่นั้น. ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก.
ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย
ก็ย่อมละเสียได้ที่ตานั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ตานั้น.
หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ
เสีย ก็ย่อมละเสียได้ทีหูนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่หูนั้น.
จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่จมูกนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่จมูกนั้น.
ลิ้น เป็นที่รัก ใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ลิ้นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ลิ้นนั้น.
กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กายนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กายนั้น .

ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ใจนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ใจนั้น.
รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รูปนั้น.
เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจโนโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เสียงนั้น.
กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะ
ละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กลิ่นนั้น.
รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ
เสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รสนั้น
โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่โผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่โผฏฐัพพะนั้น.
ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ธัมมารมณ์นั้น.
ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางตานั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้
ทางตานั้น.
ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางหูนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้
ทางหูนั้น.
ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางจมูกนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความรู้ทางจมูกนั้น.

ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้
ทางลิ้นนั้น.
ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางกายนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความรู้ทางกายนั้น.
ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางใจนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความรู้ทางใจนั้น.
ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางตานั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความกระทบทางตานั้น.
ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางหูนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความกระทบทางหูนั้น.
ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางจมูกนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางจมูกนั้น.
ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความกระทบทางลิ้นนั้น.
ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางกายนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางกายนั้น.

ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางใจนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความกระทบทางใจนั้น.
เวทนาที่เกิดแต่จักษุสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่จักษุสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่จักษุสัมผัสนั้น.
เวทนาซึ่งเกิดแต่โสตสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่โสตสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่โสตสัมผัสนั้น.
เวทนาซึ่งเกิดแต่ฆานสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ฆานสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ฆานสัมผัสนั้น.
เวทนาซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่ชิวหาสัมผัสนั้น.
เวทนาซึ่งเกิดแต่กายสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัสนั้น.
เวทนาซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัสนั้น
เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัสนั้น.
ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรูปนั้น.

ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำ
เสียงนั้น.
ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำ
กลิ่นนั้น.
ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรสนั้น
ความจำโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำโผฏฐัพพะ เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
ที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น.
ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับ ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น.
ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
ความคิดถึงรูปนั้น.
ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับ ที่ความคิดถึงเสียงนั้น.
ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั่น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
ความคิดถึงกลิ่นนั้น.

ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความคิดถึงรสนั้น.
ความคิดถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ
ย่อมดับเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น.
ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น.
ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
เสียได้ที่ความอยากในรูปนั้น.
ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับเสียได้ที่ความอยากในเสียงนั้น.
ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความอยากในกลิ่นนั้น.
ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความอยากในรสนั้น.
ความอยากในโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ
ก็ดับได้ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น.

ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมจะละเสียได้ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น.
ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับได้
ที่ความตรึกถึงรูปนั้น.
ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความตรึกถึงเสียงนั้น.
ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น.
ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่
ความตรึกถึงรสนั้น.
ความตรึกถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น.
ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ ก็
ย่อมดับเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น.
ความตรองถึงรูป เป็นที่รัก ใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
เสียได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น.

ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงเสียงนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความตรองถึงเสียงนั้น.
ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อม
ดับที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น.
ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อ
บุคคลจะละเสีย ก็ย่อมจะละเสียได้ที่ความตรองถึงรสนั้น เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับ
ที่ความตรองถึงรสนั้น.
ความตรองถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับเลียได้ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น.
ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น เมื่อจะดับ
ก็ย่อมดับเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธ (ธรรม
เป็นที่ดับทุกข์).

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ



[299] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
(ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร. ทางอันประเสริฐ ประกอบ
ด้วยองค์ 8 ทางเดียวนี้แล ทางนี้เป็นอย่างไร คือ ความเห็นชอบ ความดำริ
ชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ
ความระลึกชอบ ความตั้งจิตมั่นชอบ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้
ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ อันใดแล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไร
ความดำริในการออกบวช (คือออกจากกามารมณ์) ความดำริในความไม่พยาบาท
ความดำริในการไม่เบียดเบียน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสัง-
กัปปะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) เป็นอย่างไร
การเว้นจากการกล่าวเท็จ การเว้นจากวาจาส่อเสียด การเว้นจากวาจาหยาบคาย
การเว้นจากเจรจาเพ้อเจ้อ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาวาจา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ) เป็นอย่างไร
การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การ
เว้นจากความประพฤติผิดในกาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมา-
กัมมันตะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) เป็นอย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวก ในธรรมวินัยนี้ ละความเลี้ยงชีพผิดเสีย
แล้ว ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้
กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) เป็นอย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป
ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม ย่อม

ปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาป
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความ
เพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น
ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคอง
ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่ ไม่ใช่สาบศูนย์ เจริญยิ่ง ไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยม
แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ย่อม
ปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
สัมมาวายามะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นอย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย
เนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา
และโทมนัส (ความยินดีและความยินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ ย่อมเป็น
ผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มี
สัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ ย่อมเป็นผู้พิจารณา
เห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) เป็นอย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้ว
จากธรรมที่เป็นอกุศล เข้าถึงปฐมฌาน (ความเพ่งที่ 1) ประกอบด้วยวิตก
และวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก เพราะความที่วิตกและวิจาร (ทั้ง 2)

ระงับลง เข้าถึงทุติฌาน (ความเพ่งที่ 2) เป็นเครื่องผ่องใสใจ ณ ภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขที่
เกิดจากสมาธิ อนึ่ง เพราะความที่ปีติ ปราศไป ย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่
และมีสติสัมปชัญญะ และเสวยความสุขด้วยกาย อาศัยคุณคือ อุเบกขา สติ
สัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่า เป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าว
สรรเสริญผู้นั้น ว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เข้าถึงตติยฌาน (ความเพ่ง
ที่ 3) เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความที่โสมนัสและ
โทมนัส (ทั้ง 2) ในกาลก่อนอัสดงดับไป เข้าถึงจตุตถฌาน (ความเพ่งที่ 4)
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขมีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า
อริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดังนี้.
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายใน
ทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง. ก็หรือสติของ
เธอที่ตั้งอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก.
เธอย่อมเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก
ด้วย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ
4 อย่างนี้แล.
จบ สัจจบรรพ
จบ ธัมมานุปัสสนา

อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐาน 4.



[300] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้
ว่าอย่างนั้นตลอด 7 ปี ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง 2 ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระ-
อรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 7 ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญสติ
ปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 6 ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผลอันใดอันหนึ่ง
คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน ชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระ-
อนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 6 เปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึง
เจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 5 ปี ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง 2 ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 5 ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 4 ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 4 ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึง
เจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 3 ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 3 ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึง
เจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 2 ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผล

อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 2 ปียกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึง
เจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 1 ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปีหนึ่งยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 7 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 7 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 6 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 6 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 5 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 5 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้นตลอด 4 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 4 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 3 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 3 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 2 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลใน2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 2 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 1 เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลใน 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 1 เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอดกึ่งเดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้อย่างนั้น ตลอด 7 วัน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง 2 ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ 1 หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษ
ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่งความโสกและความร่ำไร เพื่ออัสดงดับไป

แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือสติปัฏฐาน 4 อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
คำอัน ใด ที่กล่าวแล้วอย่างนี้ คำอันนั้น เราอาศัยเอกายนมรรค
(คือสติปัฏฐาน 4) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้น มีใจยินดี
เพลิดเพลินนักซึ่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มหาสติปัฏฐานสูตรที่ 9

อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร



มหาสติปัฏฐานสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้. ใน
มหาสติปัฏฐานสูตรนั้น มีพรรณนาตามลำดับบทดังต่อไปนี้.

มูลกำเนิดมหาสติปัฏฐานสูตร



เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว ก็เพราะชนชาวแคว้นกุรุสามารถรับเทศนาที่
ลึกซึ้งได้.
เล่ากันว่า ชาวแคว้นกุรุ ไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา
มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ ด้วยเสพปัจจัย คือฤดูเป็นที่สบาย เพราะ
แคว้นนั้น สมบูรณ์ด้วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะเป็นต้น. ชาวกุรุนั้น มีกำลัง
ปัญญาอันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อุดหนุนแล้ว จึงสามารถรับเทศนาที่ลึก
ซึ้งนี้ได้. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเห็นความเป็นผู้สามารถรับ
เทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกัมมัฏฐาน 21 ฐานะ ใส่ลงในพระอรหัตตรัส
มหาสติปัฏฐานสูตรที่มีอรรถอันลึกซึ้งนี้ แก่ชาวกุรุเหล่านั้น. เปรียบเสมือน
บุรุษได้ผอบทองแล้ว พึงบรรจงใส่ดอกไม้นานาชนิดลงในผอบทองนั้นหรือว่า
บุรุษได้หีบทองแล้ว พึงใส่รตนะ 7 ลงฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันนั้น
ทรงได้บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง. ด้วยเหตุนั้นแล ในข้อนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรอื่น ๆ อีก มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์
ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตร ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ก็คือ สติปัฏฐานสูตร
สาโรปมสูตร รุกโขปมสูตร รัฏฐปาลสูตร มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร.

อนึ่ง บริษัท 4 ในแคว้นกุรุนั้น ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญสติ
ปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้ และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่อง
ที่เกี่ยวด้วย สติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่มี
การพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย. ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า คุณแม่จ๊ะ คุณ
แม่ใสใจสติปัฎฐานข้อไหน นางจะไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่าน่า
ตำหนิชีวิตของเจ้าจริงๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว ต่อนั้นก็จะสอนเขาว่า
อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้เขาเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง. แต่สตรี
ผู้ใดพูดว่า ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรองว่า สาธุ
สาธุ แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคำต่าง ๆเป็นต้นว่า ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตดีสม
กับ ที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้า
แท้ๆ. ในข้อนี้ มิใช่ชาวกุรุที่เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยการใส่ใจสติปัฏฐาน
แต่พวกเดียวเท่านั้น แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน ที่อาศัยชาวกุรุอยู่ก็ใส่ใจ เจริญสติ
ปัฏฐานด้วยเหมือนกัน. ในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้.

เรื่องลูกนกแขกเต้า



เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่ง จับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอน
มันพูดภาษาคน ( ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่น ๆ). นักฟ้อนรำ ผู้นั้น
อาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่น ๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิท
แล้วไป. เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต. วันหนึ่ง พระมหา
เถรี. เห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า พุทธรักขิต. ลูกนกแขกเต้าจึงขาน
ถามว่า อะไรจ๊ะ แม่เจ้า. พระมหาเถรีจึงถามว่า การใส่ใจภาวนาอะไร ๆ ของเจ้า
มีบ้างไหม. มันตอบว่า ไม่มีจ๊ะแม่เจ้า. พระมหาเถรีจึงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ใน
สำนักของพวกนักบวช จะปล่อยตัวอยู่ไม่สมควร ควรปรารถนาการใส่ใจบาง

อย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสำเหนียกอย่างอื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิก็พอ. ลูกนก
แขกเต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่างเดียวแล้วเที่ยว
ไป. วันหนึ่ง ตอนเช้ามันจับอยู่ที่ยอดประตู ผึ่งแดดอ่อนอยู่ แม่เหยี่ยวตัวหนึ่งก็
เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ. มันส่งเสียงร้อง กิริ ๆ. เหล่าสามเณรี ก็ร้องว่าแม่เจ้า
พุทธรักขิตถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างคว้าก้อนดินเป็นต้น ไล่ตาม
จนเหยี่ยวปล่อย. เหล่าสามเณรีนำมันมาวางไว้ตรงหน้าพระมหาเถรี ๆ ถามว่า
พุทธรักขิตขณะถูกเหยี่ยวจับไปเจ้าคิดอย่างไร. ลูกนกแขกเต้าตอบว่า แม่เจ้า ไม่
คิดอะไรๆ ดอก คิดแต่เรื่องกองกระดูกเท่านั้นจะแม่เจ้า ว่ากองกระดูกพากอง
กระดูกไป จักเรี่ยราดอยู่ในที่ไหนหนอ. พระมหาเถรี จึงให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ
พุทธรักขิตนั้นจักเป็นปัจจัย แห่งความสิ้นภพของเจ้า ในกาลภายภาคหน้าแล.
แม้สัตว์ดิรัจฉานในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนืองๆ ซึ่งสติปัฏฐาน ด้วยประการ
ฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความเจริญแพร่หลายแห่ง
สติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.

อธิบายความตามลำดับบท



ในพระสูตรนั้น ข้อว่า เป็นทางเดียว คือ เป็นทางเอก. แท้จริง
ทางมีมากชื่อ คือ
มัคคะ ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ
วฏุมะ อยนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ

ทางนี้นั้น ในที่นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อว่า อยนะ เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวนี้ จึงควรเห็นความย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเอกมิใช่ทางสองแพร่ง.

อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นทางที่บุคคล
พึงไปผู้เดียว. คำว่า ผู้เดียว คือคนที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวไปสงบสงัด.
ข้อว่า พึงไป คือ พึงดำเนินไป. อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า อยนะ เพราะอรรถ
วิเคราะว่าเป็นเครื่องไป อธิบายว่า ไปจากสังสารวัฏสู่พระนิพพาน. หนทาง
ไปของบุคคลผู้เป็นเอก ชื่อว่า เอกายนะ. บทว่า เอกสฺส คือ ของบุคคล
ผู้ประเสริฐสุดแห่งสรรพสัตว์. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงประเสริฐกว่าสรรพ-
สัตว์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายว่า หนทางของพระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้สัตว์
เหล่าอื่น ถึงจะเดินไปด้วยหนทางนั้นก็จริง แม้เช่นนั้น หนทางนั้นก็เป็นทาง
เดินของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นทางที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้น.
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในโคปกโมคคัลลานสูตร) ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มี
พระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นดังนี้เป็นต้น . อีกนัยหนึ่ง
ทางย่อมไป เหตุนั้น จึงชื่อว่า อยนะ อธิบายว่า ไป คือเป็นไป. หนทางไป
ในธรรมวินัยอันเดียว ชื่อว่า เอกายนะ ท่านอธิบายว่า หนทางเป็นไปในธรรม
วินัยนี้เท่านั้น ไม่เป็นไปในธรรมวินัย (ศาสนา) อื่น. เหมือนอย่างที่ตรัสไว้
(ในมหาปรินิพพานสูตร) ว่าดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์ 8 ที่เป็นอริยะ บุคคล
จะได้ก็แต่ในธรรมวินัยนี้แล ดังนี้. ก็มรรคนั้นต่างกันโดยเทศนา แต่โดย
อรรถก็อันเดียวกันนั้นเอง.
อีกนัยหนึ่ง หนทางย่อมไปครั้งเดียว เหตุนั้น หนทางนั้นจึงชื่อ
เอกายนะ (ทางไปครั้งเดียว). ท่านอธิบายว่า หนทางแม้เป็นไปโดย มุข คือ
ภาวนามีนัยต่างๆ กัน เบื้องต้น ในเบื้องปลายก็ไปสู่พระนิพพานอันเดียวกัน
นั่นเอง. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่าท้าว
สหัมบดีพรหมกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี
มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี
เอเตน มคฺเคน ตรึสุ ปุพฺเพ
ตริสฺสเร เจว ตรนฺติ ใจฆํ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นธรรม
เป็นที่สิ้นชาติ ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์
ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ทรงทราบชัด
เอกายนมรรค พระพุทธะทั้งหลายในอดีต
พากันข้าม โอฆะ(โอฆะ 4) ด้วยมรรคนั้น
มาแล้ว พระพุทธะทั้งหลาย ในอนาคตก็
จัก ข้ามโอฆะด้วยมรรคนั้น และพระพุทธะ
ทั้งในปัจจุบัน ก็ข้ามโอฆะด้วยมรรคอย่าง
เดียวกันนั้นแล.

แต่เกจิอาจารย์กล่าวตามนัยแห่งคาถาที่ว่า ชนทั้งหลาย ไม่ไปสู่ฝั่ง
(พระนิพพาน) สองครั้งดังนี้ ว่า เพราะเหตุบุคคลไปพระนิพพานได้คราวเดียว
ฉะนั้น หนทางนั้น จึงชื่อว่า เอกายนะไปคราวเดียว. คำนั้นไม่ถูก. เพราะอรรถนี้
จะพึงมีพยัญชนะอย่างนี้ว่า สกึ อยโน ไปคราวเดียว. ก็ถ้าหากว่า จะพึงประกอบ
อรรถะ กล่าวอย่างนี้ว่า การไปครั้งเดียว คือการดำเนินครั้งเดียวของมรรคนั้น
เป็นไปอยู่ดังนี้ พยัญชนะก็น่าจะถูก. แต่อรรถะ ไม่ถูกทั้งสองประการ. เพราะ
เหตุไร. ก็เพราะในที่นี้ ท่านประสงค์แต่มรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้น. เป็นความจริง
ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาแต่มรรคที่มีสติปัฏฐานเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นไป
โดยอารมณ์ 4 มีกายเป็นต้น. มิได้ประสงค์เอามรรคที่เป็น โลกุตตระ. ด้วยว่า
มรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้นนั้นย่อมดำเนินไปแม้มากครั้ง ทั้งการดำเนินไปของ
มรรคนั้น ก็มิใช่มีครั้งเดียว.

ธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระ



ในข้อนี้ แต่ก่อนพระมหาเถระทั้งหลาย ก็ได้เคยสนทนากันมาแล้ว.
ท่านพระจุลลนาคเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวว่า สติปัฏฐาน เป็นมรรค
เบื้องต้น (บุพภาค). ส่วนท่านจุลลสุมนเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎก อาจารย์
ของท่านพระจุลลนาคเถระ กล่าวว่า เป็นมรรคผสม (มิสสกะ). ศิษย์ว่า เป็น
ส่วนเบื้องต้นขอรับ. อาจารย์ว่าเป็นมรรคผสมนะเธอ. แต่เมื่ออาจารย์พูดบ่อยๆ
เข้า ศิษย์ก็ไม่ค้าน กลับนิ่งเสีย. ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ตกลงปัญหากันไม่ได้
ต่างก็ลุกไป. ภายหลังพระเถระผู้เป็นอาจารย์ เดินไปโรงสรงน้ำ คิดใคร่ครวญว่า
เรากล่าวว่า เป็นมรรคผสม ส่วนท่านจุลลนาคยึดหลักกล่าวว่า เป็นส่วนเบื้องต้น
ข้อวินิจฉัยในข้อนี้เป็นอย่างไรกันหนอ เมื่อทบทวนสวดพระสูตร (มหาสติ
ปัฏฐานสูตร) ตั้งแต่ต้น ก็กำหนดได้ตรงนี้ที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้ ถึง 7 ปี ก็รู้ว่าโลกุตตมรรคเกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า
ตั้งอยู่ถึง 7 ปี ไม่มี ที่เรากล่าวว่าเป็นมรรคผสม ย่อมไม่ได้ (ไม่ถูก) ส่วน
ที่ท่านจุลลนาคเห็นว่า เป็นมรรคส่วนเบื้องต้น ย่อมได้ (ถก) เมื่อเขาประกาศ
การฟังธรรมวัน 8 ค่ำ ท่านก็ไป.
เล่ากันว่า พระเถระเก่า ๆ เป็นผู้รักการฟังธรรม ครั้นได้ยินเสียง
ประกาศ ก็เปล่งเสียงเป็นอันเดียวกัน ว่า ผมก่อน ผมก่อน. วันนั้น เป็นวาระ
ของท่านพระจุลลนาคเถระ. ท่านนั่งบนธรรมาสน์ จับพัด กล่าวคาถาเบื้องต้น
พระเถระผู้อาจารย์อยู่หลังอาสนะก็คิดว่า จะนั่งลับ ๆ ไม่พูดจาละ. แท้จริง
พระเถระเก่า ๆ ไม่ริษยากัน ไม่หยิบยกเอาความชอบใจของตนขึ้นเป็นภาระ
อย่างแบกท่อนอ้อย ถือเอาแต่เหตุ (ที่ควร) เท่านั้น ที่มิใช่ ก็สละไป เพราะ
ฉะนั้น ท่านพระจุลลสุมนเถระจึงเรียกท่านจุลลนาคเบา ๆ ท่านจุลลนาคเถระ
ได้ยินเหมือนเสียงอาจารย์เรียก จึงหยุดธรรมกถาถามว่า อะไรขอรับ .

อาจารย์กล่าวว่าท่านจุลลนาค ที่เรากล่าวว่าเป็นมรรคผสมนั้น ไม่ถูกดอก
ส่วนที่เธอกล่าวว่า สติปัฏฐานเป็นมรรคเบื้องต้นถูกแล้ว. ท่านพระจุลลนาคเถระ
คิดว่า อาจารย์ของเราทรงปริยัติธรรมไว้ทั้งหมด เป็นสุตพุทธะทางพระไตรปิฎก
ภิกษุเห็นปานนี้ยังวุ่นวายกับปัญหามาก ต่อไปภายภาคหน้า พระธรรมกถึก
ทั้งหลายจักวุ่นวายกับปัญหาชนิดนี้ เพราะฉะนั้น เราจักยึดพระสูตรเป็นหลัก
ทำปัญหาชนิดนี้ ไม่ให้วุ่นวายต่อไปละ. สติปัฏฐานเป็นมรรคเบื้องต้น แต่
ปฏิสัมภิทามรรค เรียกว่า เอกายนมรรค. ท่านจึงนำพระสูตร (ในธรรมบท
ขุททกนิกาย) ตั้งเป็นบทอุเทศว่า
มคฺคานฏฐงฺคิโก เสฏฺโฐ สจฺจานํ จตุโร ปทา
วิราโค เสฏฺโฐ ธมฺมานํ ทิปทานญฺจ จกฺขุมา
เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ มารเสนปฺปมทฺทนํ
เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา ทุกขสฺสสนฺตํ กริสฺสถ
บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ 8
ประเสริฐสุด บรรดาสัจจะทั้งหลาย บท
ทั้ง 4 (อริยสัจ) ประเสริฐสุด บรรดาธรรม
ทั้งหลาย วิราคธรรมประเสริฐสุด บรรดา
สัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุ
ประเสริฐสุด ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมด
จดแห่งทรรศนะ ทางอื่นไม่มี ท่านทั้งหลาย
จงเดินทางนี้ ที่เป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร
ท่านทั้งหลายเดินทางนี้แล้ว จักกระทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ดังนี้.

ในข้อว่า มรรค ที่ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าอะไร. เพราะอรรถว่า
เป็นเครื่องเดินไปสู่พระนิพพานอย่างหนึ่ง เพราะอรรถว่า อันผู้ต้องการ
พระนิพพานพึงค้นหา อย่างหนึ่ง.
ข้อว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย หมายความว่า เพื่อ
ประโยชน์แก่ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายผู้มีจิตเศร้าหมอง เพราะมลทิน
ทั้งหลายมีราคะเป็นต้น และเพราะอุปกิเลสทั้งหลาย มีอภิชฌาวิสมโลภะ
เป็นต้น เป็นความจริง สัตว์เหล่านี้คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอเนก
ตั้งต้นแต่พระพุทธเจ้า พระนามว่า ตัณหังกร เมธังกร สรณังกร ทีปังกร
ซึ่งปรินิพพานในกัปเดียวเท่านั้น เบื้องต้นแต่ 4 อสงไขยแสนกัปป์ แต่กัปป์นี้
ลงมาจนถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศากยมุนี เป็นที่สุด พระปัจเจกพุทธเจ้า
หลายร้อย แลพระอริยสาวกทั้งหลาย อีกนับไม่ถ้วน ต่างลอยมลทินทางจิต
ทั้งหมด ถึงความหมดจดอย่างยิ่ง ด้วยทางนี้เท่านั้น. การบัญญัติความเศร้าหมอง
และผ่องแผ้ว โดยมลทินทางรูปอย่างเดียว ไม่มี. สมจริง ดังคำที่กล่าวไว้ว่า
รูเปน สงฺกิลิฏฺเฐน สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา
รูเป สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อนกฺขาตํ มเหสินา
จิตฺเตน สงฺกิลิฏฺเฐน สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา
จิตฺเต สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อิติ วุตฺตํ มเหสินา.
พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่ง
ใหญ่ มิได้ตรัสสอนว่า คนทั้งหลาย มีรูป
เศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง มีรูปหมดจด
แล้ว จึงหมดจด แต่พระผู้ทรงแสวงหาคุณ
อันยิ่งใหญ่ ทรงสอนว่า คนทั้งหลาย มีจิต
เศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง มีจิตหมด
จดแล้วจึงหมดจด ดังนี้.

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง ย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิต
ผ่องแผ้ว ดังนี้. ก็ความผ่องแผ้วแห่งจิตนั้น ย่อมมีได้ด้วยมรรค คือ สติปัฏฐานนี้.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย.
ข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ หมายความว่า เพื่อก้าว
ล่วง คือ ละโสกะ และปริเทวะ. จริงอยู่ มรรคนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อก้าวล่วง โสกะ เหมือนอย่าง โสกะของสันตติมหาอำมาตย์เป็นต้น
เพื่อก้าวล่วง ปริเทวะ เหมือนอย่างปริเทวะของนางปฏาจาราเป็นต้น เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อก้าวล่วง โสกะ และปริเทวะ. แท้จริง
สันตติมหาอำมาตย์ฟังคาถาที่ว่า
ยํ ปุพฺเพ ตํ วิโสเธหิ ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ
มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ อุปสนฺโต จริสฺสสิ
ท่านจงทำความโศกในกาลก่อนให้
เหือดแห้ง ท่านอย่ามีความกังวลใจ ในกาล
ภายหลัง ถ้าท่านจักไม่ยึดถือในท่ามกลาง
ก็จักเป็นผู้สงบเที่ยวไป ดังนี้

แล้วก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา นางปฏาจารา ฟังพระคาถานี้ว่า
น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิญาตีสุ ตาณตา
มีบุตรไว้เพื่อช่วยก็ไม่ได้ บิดาก็ไม่ได้
พวกพ้องก็ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัว
แล้ว ญาติทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้ ดังนี้

แล้วก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ก็เพราะเหตุว่า ชื่อว่าการไม่ถูกต้องธรรมบางอย่าง
ในกายเวทนาจิต ธรรมทั้งหลายแล้ว ภาวนาไม่มีเลย ฉะนั้น สันตติมหา-
อำมาตย์กับนางปฏาจาราแม้นั้นจึงควรทราบว่า เป็นผู้ก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ
ด้วยมรรคนี้เอง.
ข้อว่า เพื่อดับทุกข์ และโทมนัส ความหมายว่า เพื่อตั้งอยู่ไม่ได้
คือ ดับทั้งสองนี้ คือ ทุกข์ทางกาย และโทมนัสทางใจ. ด้วยว่ามรรคนี้
บุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์ เหมือนทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้น
ดับโทมนัส เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะเป็นต้น. ในเรื่องทั้งสองนั้น
แสดงความดังต่อไปนี้.

เรื่องทุกข์ของพระติสสเถระ



เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะทรัพย์ 40 โกฏิ
ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน. ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร 500 ให้
ไปฆ่าท่านเสีย. พวกโจรไปล้อมท่านไว้. ท่านจึงถามว่า ท่านอุบาสกมาทำไมกัน
พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ. ท่านจึงพูดขอร้องว่า ท่านอุบายสกทั้งหลาย
โปรดรับประกันอาตมา ให้ชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด. พวกโจรกล่าวว่าสมณะ
ใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้. พระเถระก็จับหินก้อนใหญ่ทุบกระดูกขา
ทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าประกันพอไหม. เหล่าโจรพวกนั้นก็ยังไม่หลบไป
กลับก่อไฟนอนเสียที่ใกล้จงกรม พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีล
ที่บริสุทธิ์ก็เกิดปีติและปราโมช. ลำดับต่อจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณ
ธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม พออรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหัตจึงเปล่งอุทานว่า
อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา สญฺญมิสฺสามิ โว อหํ
อฏฺฏิยามิ หรายามิ สราคมรเณ อหํ

เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ
สมฺปตฺเต อรุณุคฺคมฺหิ อรหตฺตํ อปาปุณึ
เราทุบเท้าสองข้าง ป้องกันท่าน
ทั้งหลาย เราเอือมระอาในความตายทั้งที่
ยังมีราคะ เราคิดอย่างนี้แล้ว ก็เห็นแจ้ง
ตามเป็นจริง พอรุ่งอรุณมาถึง เราก็บรรลุ
พระอรหัต ดังนี้.


เรื่องทุกข์ของภิกษุ 30 รูป



ภิกษุ 30 รูป อีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้วจำพรรษาในวัดป่า ทำกติกากันว่า ผู้มีอายุ เราควรทำสมณ-
ธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน แล้วต่าง
คนต่างอยู่. เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำสมณธรรม ตอนใกล้รุ่งก็โงกหลับ เสือตัวหนึ่ง
ก็มาจับภิกษุไปกินทีละรูปๆ. ภิกษุไร ๆ ก็มิได้เปล่งแม้วาจาว่า เสือคาบผมแล้ว.
ภิกษุถูกเสือกินไป 15 รูป ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงวันอุโบสถ ภิกษุที่เหลือ
ก็ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน และรู้เรื่องแล้วก็กล่าวว่า ถูกเสือคาบควรบอกว่า บัดนี้
เราถูกเสือคาบไป ๆ แล้วก็อยู่กันต่อไป. ต่อมาเสือก็จับภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง โดย
นัยก่อน. ภิกษุหนุ่มก็ร้องว่า เสือขอรับ. ภิกษุทั้งหลายก็ถือไม้เท้า และคบ
เพลิงติดตามหมายว่าจะให้มันปล่อย เสือก็ขึ้นไปยังเขาขาด ทางที่ภิกษุทั้งหลาย
ไปไม่ได้ เริ่มกินภิกษุนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้า. ภิกษุทั้งหลายนอกนั้น ก็ได้แต่กล่าวว่า
สัปบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะต้องทำไม่มี ขึ้นชื่อว่าความวิเศษของภิกษุทั้งหลาย
ย่อมปรากฏในฐานะเช่นนี้. ภิกษุหนุ่มนั้น นอนอยู่ในปากเสือ ข่มเวทนา

เจ็บปวด แล้วเจริญวิปัสสนา ตอนเสือกินถึงข้อเท้า เป็นพระโสดาบัน ตอนกิน
ไปถึงหัวเข่าเป็นพระสกทาคามี ตอนเสือกินไปถึงท้อง เป็นพระอนาคามี
ตอนเสือกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา จึงเปล่ง
อุทาน ดังนี้ว่า
สีลวา วตฺตสมฺปนฺโน ปญฺญวา สุสมาหิโต
มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย พฺยคฺเฆ โน รุทฺธมานโส
ปญฺชรสฺมึ โส คเหตฺวา สิลาย อุปรี กโต
กามํ ขาทตุ มํ พฺยคฺโฆ อฏฺฐิยา จ นฺหารุสฺส จ
กิเลเส เขปยิสฺสามิ ผุสิสฺสามิ วิมุตฺติยํ
เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญา
มีใจมั่นคงดีแล้ว อาศัยความประมาท ครู่
หนึ่ง ทั้งที่มีใจไม่คิดร้ายในเสือ มันก็จับ
ไว้ในกรงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน เสือ
จงกินเราถึงกระดูกและเอ็นก็ตามที เราจัก
ทำกิเลสให้สิ้นไป จักสัมผัสวิมุตติ ดังนี้.


เรื่องทุกข์ ของพระปีติมัลลเถระ



ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อ ปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ท่านถือธงมา
เกาะลังกา ถึง 3 รัชกาล เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์
วันหนึ่ง เดินทางไปประตูศาลา ที่มีที่นั่งปูด้วยเสื่อลำแพน ได้พึงนตุมหากวรรค
(ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่าน

ท่านจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุข ตลอดกาลนาน ดั่งนี้แล้วก็คิดว่า มิใช่รูปเท่านั้น เวทนาก็ไม่ใช่ของ
ตน. เขาทำพระบาลีนั้นให้เป็นหัวข้อ แล้วออกไปยังมหาวิหารขอบวช
บรรพชาอุปสมบท แล้วกระทำมาติกา ให้ทั้งสองคล่องแคล่ว พาภิกษุ 30 รูป
ไปยังลาน ณ ตำบลควปรปาลี กระทำสมณธรรม. เมื่อเท้าเดินไม่ไหว ก็คุก
เข่าเดินจงกรม. ในคืนนั้น พรานเนื้อผู้หนึ่งสำคัญว่าเนื้อ ก็พุ่งหอกออกไป
หอกก็แล่นถูกท่านถึงทะลุ ท่านก็ให้เขาชักหอกออก เอาเกลียวหญ้าอุดปากแผล
ให้เขาจับตัวนั่งบนหลังแผ่นหิน ให้เขาเปิดโอกาส เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุ
พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พยากรณ์ แก่ภิกษุทั้งหลายที่พากันมาโดยให้
เสียงไอ จาม เปล่งอุทานดังนี้ว่า
ภาสิตํ พุทฺธเสฏฺฐสฺส สพฺพโลกคฺควาทิโน
น ตุมฺหากมิทํ รูปํ ตํ ชเหยฺยาถ ภิกฺขโว
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ที่สรร-
เสริญกันว่า เลิศทุกแหล่งล้า ทรงภาษิตไว้
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปนี้มิใช่ของท่าน
ท่านทั้งหลายพึงละรูปนั้นเสีย
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิด
และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วก็ดับ
ความสงบระงับแห่งสังขารเหล่านั้น เป็น
สุข ดังนี้.

มรรคนี้ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์เหมือนอย่างทุกข์ของพระติสสเถระ
เป็นต้นเพียงเท่านี้ก่อน.

เรื่องโทมนัสของท้าวสักกะ



ก็ท้าวสักกะ จอมเทพ ทรงเห็นบุพนิมิต 5 ประการ ของพระองค์
ถูกมรณภัยคุกคาม เกิดโทมนัส เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา.
ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตตผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ด้วยอำนาจการ
วิสัชนาอุเบกขาปัญหา. เรื่องการอุบัติของท้าวเธอจึงกลับเป็นปกติอีก.

เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร



แม้สุพรหมเทพบุตร อันนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ห้อมล้อม ก็เสวย
สวรรคสมบัติ. ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อย
มัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม เทพ
อัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดู
ตัวเองว่า อายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ จะไปเกิดในนรกนั้นด้วย
ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น จะยังความ
โทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือ
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหาว่า
นิจฺจุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ นิจฺจุพฺพิคฺคมิทํ มโน
อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ
สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต

จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ จิตใจนี้หวาด
อยู่เป็นนิตย์ ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิด ทั้งในกิจ
ที่เกิดแล้ว ถ้าหากว่าความไม่หวาดสะดุ้ง
มีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว โปรด
บอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระ-
องค์ด้วยเถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้า จึงได้ตรัสบอก สุพรหมเทพบุตร
(ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค) ว่า
นาญฺญตฺร โพชฺฌา ตปสา นาญฺญตฺร อินฺทฺริยสํวรา
นาญฺญตฺร สพฺพปฏินิสฺสคฺคา โสตฺถึ ปสฺสามิ ปาณินํ
นอกจากปัญญาเครื่องรู้ ตปะเครื่อง
เผาความชั่ว นอกจากความสำรวมอินทรีย์
นอกจากความสละคืนทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็
มองไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย
ดังนี้.

ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วย
นางเทพอัปสรห้าร้อยทำสมบัตินั้นให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก.
มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปเพื่อดับ
โทมนัส เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะ เป็นต้น ดังกล่าวมานี้.
มรรคมีองค์ 8 ที่เป็นอริยะ เรียกว่า ญายธรรม ในข้อที่ว่า ญาย-
สฺส
อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุ คือเพื่อถึง
ญายธรรมนั้น. จริงอยู่ มรรค คือสติปัฏฐานที่เป็น โลกิยะเบื้องต้นนี้ อัน

บุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุมรรคที่เป็นโลกุตตร. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อบรรลุญายธรรม.
ข้อว่า เพื่อให้แจ้งพระนิพพาน ท่านอธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้ง
คือเพื่อประจักษ์ด้วยตนเอง ซึ่งอมตธรรมที่ได้ชื่อว่านิพพาน เพราะเว้นจาก
ตัณหาเครื่องร้อยรัด. จริงอยู่ มรรคนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมยังการทำ
ให้แจ้งพระนิพพานให้สำเร็จไปตามลำดับ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน ดังนี้.
ในพระสูตรนั้น ถึงเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพื่อความหมดจด
ของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ข้อที่ว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะเป็นต้น
ก็เป็นอันสำเร็จใจความได้ก็จริง แต่ยกเวนผู้ฉลาดรู้ข้อยุติของคำสั่งสอนเสียแล้ว
ก็ไม่ปรากฏแก่คนอื่น ๆ ได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หาได้ทรงทำให้ชนผู้ฉลาด
รู้ข้อยุติของคำสั่งสอนเสียก่อนแล้ว ทรงแสดงธรรมในภายหลังไม่ หากแต่ทรง
ยังชนทั้งหลายให้รู้อรรถะนั้น ๆ ด้วยสูตรนั้น ๆ เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ในที่นี้
เอกายนมรรค จะยังอรรถใด ๆ ให้สำเร็จได้ ก็ทรงแสดงอรรถนั้น ๆ ให้ปรากฏ
จึงตรัสข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะเป็นต้น. หรืออีกนัยหนึ่ง
ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปได้ด้วยเอกายนมรรค ความหมดจด
นั้น. ย่อมมีได้ด้วยความก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ ความก้าวล่วงโสกะ และ
ปริเทวะ ย่อมมีได้ด้วยความดับทุกข์ และโทมนัส ความดับทุกข์และโทมนัส
ย่อมมีได้ด้วยการบรรลุญายธรรม การบรรลุญายธรรม ย่อมมีได้ด้วยการทำ
ให้แจ้งพระนิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงลำดับการอันนี้ จึงตรัสว่า
เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย แล้วตรัส ข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะ
และปริเทวะเป็นต้นไป.

อีกนัยหนึ่ง คำที่กล่าวมานี้เป็นการพรรณนาคุณของเอกายนมรรค. 0
เปรียบเหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคุณด้วยบททั้ง 8 ด้วย
ฉฉักกเทศนา (ฉฉักกสูตร มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์) ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราจักแสดงแก่ท่านทั้งหลาย ถึงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามใน
ท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย จักประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์
สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ คือ ฉฉักกธรรม 6 ดังนี้ฉันใด
และตรัสคุณด้วยบททั้ง 9 ด้วย อริยวังสเทศนา (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต)
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ 4 เหล่านี้รู้กันว่า เลิศมีมานาน เป็นวงศ์
พระอริยะ เป็นของเก่า ในอดีตก็ไม่มีใครรังเกียจไม่เคยรังเกียจ ในปัจจุบัน
ก็ไม่รังเกียจกัน ในอนาคตก็จักไม่รังเกียจกัน สมณพราหมณ์ผู้รู้ก็ไม่เกลียด
แล้วดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคุณของ เอกายนมรรค แม้อันนี้
ด้วยบททั้ง 7 มีว่า เพื่อหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นก็ฉันนั้น. ถ้าจะถามว่า
เพราะเหตุใด ก็ตอบได้ว่า เพื่อให้เกิดอุตสาหะ แก่ภิกษุเหล่านั้น. จริงอยู่
ภิกษุเหล่านั้นฟังการตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) รู้ว่า มรรคนี้นำไปเสียซึ่ง
อุปัททวะ 4 คือ โสกะ อันเป็นเครื่องเผาใจ ปริเทวะ อันเป็นการพิไรรำพัน
ทุกขะ อันเป็นความไม่สำราญทางกาย โทมนัส อันเป็นความไม่สำราญทางใจ
นำมาซึ่งคุณวิเศษ 3 คือ วิสุทธิ ญายธรรม พระนิพพาน ดังนี้แล้วก็เกิด
อุตสาหะ สำคัญ เทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน ควรทรงจำ ควรบอกกล่าว
และจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า ควรเจริญ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) เพื่อให้เกิดอุตสาหะ แก่ภิกษุเหล่านั้น เหมือน
พ่อค้าผ้ากัมพลเป็นต้น โฆษณาคุณภาพของผ้ากัมพล เป็นต้นฉะนั้น.
เหมือนอย่างว่า แม้ว่าพ่อค้าผ้ากัมพลอันมีค่านับแสน โฆษณาว่าโปรด
ซื้อผ้ากัมพล มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่ทราบก่อนดอกว่า ผมคนก็มี ผ้ากัมพล

ทำด้วยขนสัตว์ก็มีเป็นต้น มันมีกลิ่นสาบสัมผัสหยาบ แต่ก็เรียกว่า ผ้ากัมพล
เหมือนกัน ต่อเมื่อใดพ่อค้านั้นโฆษณาว่าผ้ากัมพลสีแดงทำในแคว้นคันธาระ
ละเอียดสดใส สัมผัสละมุน เมื่อนั้นถ้ามีเงินพอก็จะซื้อเอา มีไม่พอ ก็อยาก
จะชม ฉันใด แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้
เป็นทางเดียวดังนี้ ก็ยังไม่ปรากฏก่อนดอกว่า หนทางไหน ด้วยว่าแม้หนทาง
ที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์มีประการต่าง ๆ ก็เรียกกันว่า หนทางเหมือนกัน แต่
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายดังนี้ เป็นต้น
ภิกษุทั้งหลายก็ทราบว่าหนทางนี้นำมาซึ่ง อุปัทวะ 4 นำมาซึ่งคุณวิเศษ 3
แล้วก็เกิดอุตสาหะ สำคัญเทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน ควรทรงจำ
ควรบอกกล่าว และจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า ควรเจริญ เพราะฉะนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) จึงตรัสว่าเพื่อความหมดจด
ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น.
อนึ่ง ข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าผ้ากัมพลสีเหลือง อันมีค่าแสน นำมา
เปรียบฉันใด ในข้อนี้ก็ควรนำข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้า ทองชมพูนุทสีสุก แก้วมณี
กรองน้ำให้ใส แก้วมุกดาที่บริสุทธิ์ ผ้าขนสัตว์ และแก้วประพาฬเป็นต้น
เอามาเปรียบฉันนั้น.
คำว่า ยทิทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์นิบาตนั้น มีความดังนี้ว่า
เหล่านี้ใด (เย อิเม). คำว่า จตฺตาโร (4) เป็นศัพท์กำหนดจำนวน ด้วย
จำนวนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการกำหนดจำนวนสติปัฏฐานว่า ไม่
ต่ำกว่านั้น ไม่สูงกว่านั้น คำว่า สติปัฏฐานทั้งหลาย ได้แก่ สติปัฏฐาน 3 คือ
อารมณ์แห่งสติก็มี ความที่พระบรมศาสดาทรงล่วงเลยความยินร้ายและยินดีใน
พระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ 3 อย่างก็มี ตัวสติก็มี. อารมณ์แห่งสติ เรียกว่า
สติปัฏฐาน ได้ในบาลีเป็นต้น (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับไปแห่ง สติปัฏฐาน 4 ท่านทั้งหลาย

จงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดแห่งกายเป็นอย่างไร ความเกิดแห่ง
กาย ก็เพราะอาหารก่อให้เกิดดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลี
(ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค) เป็นต้นว่า กายเป็นที่ปรากฏมิใช่สติ สติ
เป็นที่ปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย. คำนั้นมีความดังนี้. ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะ
อรรถวิเคราะห์ว่า เป็นที่ตั้งในที่นี้. ถามว่า อะไรตั้ง. ตอบว่า สติ. ที่ตั้งอยู่
แห่งสติ ชื่อว่า สติปัฏฐาน. อีกนัยหนึ่ง ความตั้งเป็นประธาน เหตุนั้น
จึงชื่อว่า ปัฏฐาน. ความตั้งแห่งสติ ชื่อว่า สติปัฏฐานเหมือนอย่าง
การยืนของช้าง การยืนของม้าเป็นต้น. ความที่พระบรมศาสดาทรง
ล่วงเลยความยินร้าย และความยินดีในพระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ 3 อย่าง
เรียกว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลี (สฬายตน วิภังสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)
นี้ว่า สติปัฏฐาน 3 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอริยะ ทรงเสพสติปัฏฐาน
ไรเล่า เมื่อทรงเสพสติปัฏฐาน ไรเล่า จึงเป็นพระศาสดา สมควรสอนพระสาวก
ดังนี้. คำนั้นมีความดังนี้ ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะเป็นธรรมที่ควรตั้งไว้ อธิบายว่า
ควรให้เป็นไป. ถามว่า เพราะเป็นธรรมที่ควรตั้งไว้ด้วยอะไร. ตอบว่า ด้วยสติ.
การตั้งไว้ด้วยสติชื่อว่า สติปัฏฐาน ก็สติเท่านั้น เรียกว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลี
(สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) เป็นต้นว่าสติปัฏฐาน 4 อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัมโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ดังนี้ . คำนั้นมีความดังนี้
ธรรมชาติใดตั้งอยู่ทั่ว อธิบายว่า เข้าไปตั้งมั่น คือแล่นเป็นไป เหตุนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าปัฏฐาน. สตินั้นเอง ชื่อว่าสติปัฏฐาน. อีกนัยหนึ่ง ที่ชื่อว่าสติ
เพราะอรรถว่าระลึกได้ ที่ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้งไว้. เพราะ
ฉะนั้น สตินั้นด้วย ปัฏฐานด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสติปัฏฐาน. ในที่นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาสติปัฏฐานอันนี้. ถามว่า หากเป็นเช่นนั้น
เหตุไร คำว่าสติปัฏฐานทั้งหลายจึงเป็นคำพหูพจน์. ตอบว่า เพราะต้องมีสติมาก

เป็นความจริง สติเหล่านั้นมีมาก เพราะต่างแห่งอารมณ์. ถามว่า แต่เหตุไร
คำว่ามรรค จึงเป็นเอกวจนะ. อบว่า เพราะมีทางเดียว ด้วย อรรถว่า
เป็นมรรค. เป็นความจริง สติเหล่านั้นแม้มี 4 ก็นับว่าทางเดียว ด้วย
อรรถว่าเป็นมรรค. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ถามว่า ในคำว่ามรรค ที่ชื่อว่า
มรรค เพราะอรรถว่าอะไร ตอบว่า เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องไปสู่พระนิพพาน
ด้วย เพราะอรรถว่า ผู้ต้องการพระนิพพานจะพึงค้นหาด้วย. สติทั้ง 4 นั้น
ทำกิจให้สำเร็จ ในอารมณ์ทั้งหลาย มีกายเป็นต้นจึงถึงพระนิพพานในภายหลัง
แต่ผู้ต้องการพระนิพพานทั้งหลาย จำต้องดำเนินไปตั้งแต่ต้นมา เพราะฉะนั้น
สติทั้ง 4 จึงเรียกว่า หนทางเดียว. เทศนาพร้อมด้วยอนุสนธิ ย่อมมีด้วย
การอนุสนธิ คำว่าสติ เหมือนดังในบาลีทั้งหลาย (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)
เป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมรรค เป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร
เธอจงฟัง มรรคนั้นเป็นเครื่องกำจัดกองทัพมารเป็นอย่างไร คือสัมโพชฌงค์ 7
ดังนี้. คำว่ามรรคเป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร และคำว่าสัมโพชฌงค์ 7 โดย
อรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฉันใด คำว่า เอกายนมรรค
กับคำว่า สติปัฏฐาน 4 โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น
ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นเอกวจนะ ก็เพราะเป็นทาง
เดียว ด้วยอรรถว่าเป็นมรรค เป็นพหุวจนะ ก็เพราะมีสติมาก โดยความ
ต่างแห่งอารมณ์.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานว่ามี 4
ไม่หย่อนไม่ยิ่ง. ตอบว่า ก็เพราะจะทรงให้เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่เวไนยสัตว์.
แท้จริง ในจำพวกเวไนยสัตว์ที่เป็นตัณหาจริต ทิฏฐิจริต ผู้เป็นสมถยานิก
(ผู้มีสมถะเป็นยาน) และวิปัสสนายานิก (ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน) ที่เป็นไปโดย
ส่วนทั้งสอง คือ ปัญญาอ่อน และปัญญากล้า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์

หยาบเป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต มีปัญญาอ่อน เวทนา
นุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ละเอียด เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มี
ตัณหาจริต มีปัญญากล้า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์ไม่แยกออกมากนัก
เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญาอ่อน ธัมมานุปัสสนา
สติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์แยกออกมาก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ ผู้มี
ทิฏฐิจริต มีปัญญากล้า อนึ่ง สติปัฏฐานข้อ 1 ที่มีนิมิตอันจะพึงบรรลุได้โดย
ไม่ยาก เป็นทางหมดจด สำหรับ เวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญาอ่อน สติ
ปัฏฐาน ข้อที่ 2 เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์อย่างหยาบ จึงเป็นทางหมดจด
สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญากล้า สติปัฏฐาน ข้อที่ 3 มีอารมณ์
ที่แยกออก. ไม่มากนัก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก
มีปัญญาอ่อน สติปัฏฐาน ข้อที่ 4 มีอารมณ์ที่แยกออกมาก เป็นทางหมดจด
สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิกมีปัญญากล้า เพราะเหตุดังนั้น จึงกล่าวว่า
สติปัฏฐานมี 4 เท่านั้น ไม่หย่อนไม่ยิ่ง. อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี 4
ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาสความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน. แท้จริง
กายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่างาม ในกายนั้น. ด้วยทรง
แสดงความไม่งามในกายนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ 1 เพื่อละ
วิปัลลาสนั้นเสีย. และในเวทนาเป็นต้น ที่สัตว์ยึดถือว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตน
เวทนาก็เป็นทุกข์ จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา. แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยัง
สำคัญ ว่า สุข เที่ยงเป็นตัวตน ในเวทนา จิต ธรรมนั้น ด้วยทรงแสดงความเป็น
ทุกข์เป็นต้นในเวทนา จิต ธรรมนั้น แก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐาน 3 ที่เหลือ
เพื่อละวิปัลลาสเหล่านั้นเสีย เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ตรัสว่า สติ
ปัฏฐาน 4 ไม่หย่อนไม่ยิ่ง ก็เพื่อละความสำคัญผิดว่า งาม สุข เที่ยง และตัวตน
เสีย ดังที่กล่าวมานี้. มิใช่เพื่อละวิปัลลาสอย่างเดียวเท่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า

ที่ตรัสสติปัฏฐาน 4ก็เพื่อละ โอฆะ โยคะ อาสวะ คัณฐะ อุปาทาน และ
อคติ อย่างละ 4 ด้วย เพื่อกำหนดรู้อาหาร 4 อย่างด้วย พึงทราบในที่มาใน
ปกรณ์ (บาลี) เท่านี้ก่อน.
ส่วนในอรรถกถาท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน มีอันเดียวเท่านั้น โดยเป็น
ความระลึกและโดยเป็นที่ประชุมลงเป็นอันเดียวกัน มี 4 ด้วยอำนาจอารมณ์.
เปรียบเหมือนพระนครมี 4 ประตู คนที่มาแต่ทิศตะวันออก นำสิ่งของที่อยู่ทาง
ทิศตะวันออก มาเข้าพระนครทางประตูทิศตะวันออก คนที่มาแต่ทิศใต้ ทิศ
ตะวันตกก็เหมือนกัน คนที่มาแต่ทิศเหนือก็นำสิ่งของที่อยู่ทางทิศเหนือ มาเข้า
พระนครทางประตูทิศเหนือ ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น. จริงอยู่นิพพาน
เปรียบเหมือนนคร โลกุตตรมรรคมีองค์แปด เปรียบเหมือนประตูพระนคร สติ
ปัฏฐานมีกายเป็นต้น เปรียบเหมือนทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้น. ก็คน
ที่มาแต่ทิศตะวันออก นำสิ่งของที่อยู่ทางทิศตะวันออกมาเข้าพระนครทางประตู
ทิศตะวันออก ฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งกายานุปัสสนา เจริญกายานุปัสสนา
14 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจาก
อานุภาพแห่งการเจริญกายานุปัสสนา ก็ฉันนั้น. คนที่มาแต่ทิศใต้ นำสิ่งของที่อยู่
ทางทิศใต้ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตูทิศใต้ ฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งเวทนา
นุปัสสนาเจริญเวทนานุปัสสนา 9 วิธีย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง
ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญเวทนานุปัสสนาก็ฉันนั้น. คนที่มา
แต่ทิศตะวันตก นำสิ่งของที่อยู่ทางทิศตะวันตก ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตู
ทิศตะวันตกฉัน ใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งจิตตานุปัสสนา เจริญจิตตานุปัสสนา
16 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั้นเอง ด้วยอริยมรรค ที่เกิดจาก
อานุภาพแห่งการเจริญจิตตานุปัสสนาฉันนั้น. คนที่มาแต่ทิศเหนือ นำสิ่งของที่
อยู่ทางทิศเหนือ ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตูทิศเหนือฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุข
แห่งธัมมานุปัสสนา เจริญธัมมานุปัสสนา 5 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพาน

อันเดียวกันนั้นเอง ด้วยอริยมรรค ที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญธัมมานุ-
ปัสสนาก็ฉันนั้น. บัณฑิตพึงทราบว่าที่ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานมี อันเดียวเท่านั้น
ก็ด้วยอำนาจความระลึกได้ อย่างหนึ่ง ด้วยอานุภาพประชุมลงสู่ความเป็นอันเดียว
กันหนึ่ง ที่กล่าวว่ามี 4 ก็โดยจัดตามอารมณ์ ดังกล่าวมาฉะนี้.
คำว่า มี 4 เป็นอย่างไร เป็นคำถามด้วยหมายจะตอบ (ถามเอง
ตอบเอง). คำว่า ในธรรมวินัยนี้ คือ ในพระศาสนานี้. คำว่า ภิกฺขเว
นั้น เป็นคำเรียกบุคคลผู้รับธรรม. คำว่า ภิกษุนั้น เป็นคำแสดงถึงบุคคล
ผู้ถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติ. เทวดา และมนุษย์ แม้เหล่าอื่น ก็ดำเนินการ
ปฏิบัติให้พร้อมเหมือนกัน. แต่ที่ตรัสว่า ภิกษุ ก็เพราะเป็นผู้ประเสริฐ
อย่างหนึ่ง เพราะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติอย่างหนึ่ง. เป็น
ความจริง ในบุคคลทั้งหลาย ผู้รับคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุ
เป็นผู้ประเสริฐ เพราะเป็นประหนึ่งภาชนะรองรับคำสั่งสอนมีประการต่าง ๆ
เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ. แต่เมื่อทรงถือเอาภิกษุ
แล้วคนทั้งหลายที่เหลือก็เป็นอันทรงถือเอาด้วย เหมือนอย่างในการเสด็จพระ-
ราชดำเนิน เป็นต้น เหล่าราชบริพารนอกนั้น ก็เป็นอันท่านรวมไว้ด้วยศัพท์
ว่า ราช. ผู้ใดปฏิบัติข้อปฏิบัตินี้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่า ภิกษุ เพราะฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุ ก็เพราะจะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติ.
เป็นความจริง ผู้ปฏิบัติจะเป็นเทวดา หรือมนุษย์ก็ตาม ย่อมนับได้ว่า เป็น
ภิกษุทั้งนั้น. เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในธรรมบท ขุททกนิกาย) ว่า
อลงฺกโตฺ เจปิ สมํ จเรยฺย
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ

หากว่าบุคคลมีธรรมประดับแล้ว เป็น
ผู้สงบแล้ว ฝึกแล้ว เป็นคนแน่ เป็น
พรหมจารี เลิกอาชญากรรมในสัตว์ทั้งปวง
พึงประพฤติสม่ำเสมออยู่ไซร้ ผู้นั้นก็ชื่อว่า
พราหมณ์ ผู้นั้นก็ชื่อว่า สมณะ ผู้นั้นก็
ชื่อว่า ภิกษุ ดังนี้.

คำว่า ในกาย คือ ในรูปกาย. จริงแล้ว รูปกายในที่นั้นท่านประสงค์
เอาว่า กาย เพราะอรรถว่า เป็นที่รวมแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ และธรรมทั้งหลายมี
ผม เป็นต้น เหมือนตัวของช้างตัวของรถเป็นต้น. ที่ชื่อว่ากายเพราะอรรถว่า
เป็นที่รวมฉันใด ที่ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่าเป็นแหล่งที่มาของสิ่งที่น่ารังเกียจ
ฉันนั้น. จริงแล้ว กายนั้น เป็นแหล่งที่มาของสิ่งน่ารังเกียจ คือน่าเกียจอย่างยิ่ง
แม้เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่ากาย. คำว่าเป็นแหล่งที่มา คือเป็นถิ่นเกิด ใจความของคำ
ในคำว่า เป็นแหล่งที่มานั้น มีดังนี้ ธรรมชาติทั้งหลายมาแต่กายนั้น เหตุนั้น
กายนั้นจึงชื่อว่า เป็นแหล่งที่มา. อะไรมา. สิ่งอันน่าเกลียดทั้งหลายมีผมเป็นต้น
ย่อมมา. ชื่อว่า อายะ เพราะเป็นแหล่งมาแห่งสิ่งน่าเกลียดทั้งหลาย ด้วย
ประการฉะนี้. คำว่า พิจารณาเห็นกาย หมายความว่า มีปกติพิจารณา
เห็นในกาย หรือพิจารณาเห็นกาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะตรัสว่า ในกาย
แล้ว บัณฑิตพึงทราบว่าทรงกระทำศัพท์ว่ากาย ครั้งที่สองว่า พิจารณาเห็น
กายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงแสดงการกำหนด และการแยกออกจากก้อนเป็นต้น
โดยไม่ปนกัน. ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในกาย หรือพิจารณาเห็นจิตในกาย
หรือพิจารณาเห็นธรรมในกายหามิได้ ที่แท้พิจารณาเห็นกายในกายต่างหาก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดงการกำหนดไม่ปนกัน ด้วยทรงแสดงอาการ

คือพิจารณาเห็นกายในวัตถุที่นับว่ากาย. มิใช่ พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่
พ้นจากอวัยวะน้อยใหญ่ในกายทั้งมิใช่พิจารณาเห็นเป็นหญิงหรือเป็นชาย ที่พ้น
จากผมขนเป็นต้น. จริงอยู่ในข้อนั้น กายแม้อันใด ที่นับว่าเป็นที่รวมของ
ภูตรูป และอุปาทายรูป มีผมขนเป็นต้น มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งที่
พ้นจากภูตรูป และอุปาทายรูป ที่แท้พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมอวัยวะน้อยใหญ่
ในกายแม้อันนั้น เหมือนพิจารณาเห็นส่วนประกอบของรถฉะนั้น พิจารณา
เห็นกายเป็นที่รวมของ ผม ขน เป็นต้น เหมือนพิจารณาเห็นส่วนน้อยใหญ่
ของพระนคร พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของภูตรูป และ อุปาทายรูป เหมือน
แยกใบและก้านของต้นกล้วย และเหมือน แบกำมือที่ว่างเปล่าฉะนั้น เพราะ
ฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดงการแยกออกจากก้อน ด้วยทรงแสดงวัตถุที่นับ
ได้ว่ากาย โดยเป็นที่รวมโดยประการต่าง ๆ นั่นแล้ว. ความจริง กายหรือ
ชายหญิง หรือธรรมไร ๆ อื่นที่พ้นจากกายอันเป็นที่รวมดังกล่าวแล้ว หาปรากฏ
ในกายนั้นไม่ แต่สัตว์ทั้งหลาย ก็ยึดมันผิด ๆ โดยประการนั้น ๆ ในกายที่สักว่า
เป็นที่รวมแห่งธรรมดังกล่าวแล้ว อยู่นั่นเอง. เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์
ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฏฺฐํ ยํ ทิฏฺฐํ ตํ น ปสฺสติ
อปสฺสํ พชฺฌเต มูฬฺโห พชฺฌมาโน น มุจฺจติ
บุคคลเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ได้เห็น
สิ่งใดเห็นแล้วก็ไม่เห็นสิ่งนั้น เมื่อไม่เห็น
ก็หลงติด เมื่อติดก็ไม่หลุดพ้น ดังนี้.

ท่านกล่าวคำนี้ ก็เพื่อแสดงการแยกออกจากก้อนเป็นต้น. ด้วยศัพท์ว่า
อาทิเป็นต้น ในคำนี้บัณฑิตพึงทราบความดังนี้. ก็ภิกษุนี้ พิจารณาเห็นกาย

ในกายนี้เท่านั้น ท่านอธิบายว่า มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น. คนทั้งหลาย
แลเห็นน้ำในพยับแดด แม้ที่ไม่มีน้ำฉันใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้ว่า
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่สวยงามว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข
เป็นตัวตน และสวยงาม ฉันนั้น หามิได้ ที่แท้ พิจารณาเห็นกาย ท่าน
อธิบายว่า พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของอาการ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มิใช่ตัวตน และไม่สวยงามต่างหาก.
อีกอย่างหนึ่ง ก็กายอันนี้ใด ที่ท่านกล่าวไว้ข้างหน้าว่า มีลมอัสสาสะ
ปัสสาสะ เป็นต้น มีกระดูกที่ป่นเป็นที่สุด ตามนัย พระบาลีเป็นต้น ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปป่าก็ดี ฯลฯ เธอมีสติหายใจ
เข้า ดังนี้ และกายอันใดที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรค (ขุททกนิกาย) ว่า
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้ำ กายคือไฟ
กายคือลม กายคือผม กายคือขน กายคือผิวหนัง กายคือหนึ่ง กายคือเนื้อ
กายคือเลือด กายคือเอ็น กายคือกระดูก กายคือเยื่อในกระดูก โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความของกายนั้นทั้งหมด แม้อย่างนี้ว่า
ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย โดยพิจารณาเห็นในกายอันนี้เท่านั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกาย ที่นับว่า
เป็นที่รวมแห่งธรรมมีผมเป็นต้นในกาย โดยไม่พิจารณาเห็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
ที่พึงถือว่าเป็นเรา เป็นของเราในกาย แต่พิจารณาเห็นกายนั้น ๆ เท่านั้นเป็น
ที่รวมแห่งธรรมต่าง ๆ มีผม ขนเป็นต้น.
อนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกายในกาย แม้โดยพิจารณา
เห็นกายที่นับว่าเป็นที่รวมแห่งอาการ มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นต้น ทั้งหมดทีเดียว
ซึ่งมีนัยที่มาในปฏิสัมภิทามรรค ตามลำดับบาลี เป็นต้นว่า พิจารณาเห็นใน

กายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่โดยเป็นของเที่ยงดังนี้. จริงอย่างนั้น
ภิกษุผู้ปฏิบัติ ปฏิปทา คือพิจารณาเห็นกายในกายรูปนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกาย
อันนี้โดยเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่เห็นโดยเป็นของเที่ยง พิจารณาเห็นโดยเป็น
ทุกข์ ไม่ใช่เห็นโดยเป็นสุข พิจารณาเห็นโดยมิใช่ตัวตน ไม่ใช่เห็นเป็นตัวตน
ด้วยอำนาจ อนุปัสสนา (การพิจารณาเห็น) 7 ประการ มีพิจารณาเห็นความ
ไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมเบื่อหน่าย มิใช่ยินดี ย่อมคลายกำหนัด มิใช่กำหนัด ย่อม
ดับทุกข์ มิใช่ก่อทุกข์ ย่อมสละ มิใช่ยึดถือ. ภิกษุนั้นเมื่อพิจารณาเห็นกายอันนี้
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาความสำคัญว่าเที่ยงเสียได้ เมื่อ
พิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละทุกขสัญญาความสำคัญว่าเป็นสุขเสียได้
เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ย่อมละอัตตสัญญาความสำคัญว่า
เป็นตัวตนเสียได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดีเสียได้ เมื่อคลายกำหนัด
ย่อมละความกำหนัดเสียได้ เมื่อดับทุกข์ ย่อมละเหตุเกิดทุกข์เสียได้ เมื่อสละ
ย่อมละความยึดถือเสียได้ ดังนี้ พึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้.
คำว่า อยู่ คือเป็นไปอยู่. คำว่า มีเพียร มีอรรถว่า สภาพใด ย่อม
แผดเผากิเลสทั้งหลายในภพทั้ง 3 เหตุนั้น สภาพนั้น ชื่อว่าอาตาปะแผดเผา
กิเลส คำนี้เป็นชื่อของความเพียร. ความเพียรของผู้นั้นมีอยู่ เหตุนั้น ผู้นั้น
ชื่อว่า อาตาปีมีความเพียร. คำว่า มีสัมปชัญญะ คือ ผู้ประกอบด้วยความรู้
ที่นับว่า สัมปชัญญะ. คำว่า มีสติ คือประกอบด้วยสติกำกับกาย. ก็ภิกษุรูปนี้
กำหนดอารมณ์ ด้วยสติพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ธรรมดาว่าปัญญาพิจารณา
เห็นของผู้เว้นจากสติ ย่อมมีไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
(สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติแล
จำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในที่นี้จึงตรัสว่า ย่อมพิจารณา เห็น
กายในกาย อยู่ ดังนี้. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นอันทรงอธิบาย ด้วย

ประการฉะนี้. อีกอย่างหนึ่ง ความท้อแท้ภายใน ย่อมทำอันตรายแก่ผู้ไม่มี
ความเพียร ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ ย่อมหลงลืมในการกำหนด อุบายในการงดเว้น
สิ่งที่มิใช่อุบาย ผู้มีสติหลงลืมแล้ว ย่อมไม่สามารถในการกำหนดอุบาย และ
ในการสละสิ่งที่ไม่ใช่อุบาย ด้วยเหตุนั้น กัมมัฏฐานนั้น ของภิกษุนั้น ย่อม
ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น กัมมัฏฐานนั้น ย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งธรรม
เหล่าใด เพื่อทรงแสดงธรรมเหล่านั้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
มีเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ. ทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และองค์
แห่งสัมปโยคะ บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงองค์แห่งการละ จึงตรัสว่า นำออกเสีย
ซึ่งอภิชฌา และ โทมนัสในโลก.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า นำออกเสีย หมายความว่า นำออกเสีย
ด้วยการนำออกชั่วขณะหรือด้วยการนำออกด้วยการข่มไว้. คำว่า ในโลกก็คือ
ในกายอันนั้นแหละ. จริงอยู่ กายในที่นี้ ทรงหมายถึงโลก เพราะอรรถ
ว่าชำรุดชุดโทรม. อภิชฌา และโทมนัส มิใช่พระโยคาวจรนั้นละได้ในอารมณ์
เพียงกายเท่านั้น แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็ละได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในวิภังค์ (สติปัฏฐานวิภังค์) ว่า อุปาทานขันธ์ 5 ก็ชื่อว่าโลก.
คำนั้นท่านกล่าวตามนัยแห่งการขยายความ เพราะธรรมเหล่านั้น นับ
ได้ว่าเป็นโลก. แต่ท่านกล่าวคำอันใดไว้ว่า โลกเป็นอย่างไร โลกก็คือกาย
อันนั้นแหละ ความในคำนั้นมีดังนี้แล. พึงเห็นการเชื่อมความดังนี้ว่า นำออก
เสียซึ่งอภิชฌา และโทมนัสในโลกนั้น . ก็เพราะในที่นี้ กามฉันท์รวมเข้ากับ
ศัพท์ว่า อภิชฌา พยาบาทรวมเข้ากับศัพท์ว่าโทมนัส ฉะนั้น จึงควรทราบว่า
ทรงอธิบาย การละนิวรณ์ด้วยการทรงแสดงธรรมอันเป็นคู่ที่มีกำลังนับเนื่องใน
นิวรณ์. แต่โดยพิเศษ ในที่นี้ ตรัสการละความยินดีที่มีกายสมบัติเป็น
มูลด้วยการกำจัดอภิชฌา ตรัสการละความยินร้ายที่มีกายวิบัติเป็นมูล ด้วยการ

กำจัดโทมนัส ตรัสการละความยินดียิ่งในกาย ด้วยการกำจัดอภิชฌา ตรัส
การละความไม่ยินดียิ่งในการเจริญกายานุปัสสนา ด้วยการกำจัดโทมนัส ตรัส
การละกายของผู้ใส่ซึ่งภาวะว่างามเป็นสุข เป็นต้น ที่ไม่มีจริงในกาย ด้วยการ
กำจัดอภิชฌาและตรัสการละการเอาออกไปซึ่งภาวะที่ไม่งาม เป็นทุกข์เป็นต้น
ที่มีอยู่จริงในกาย ด้วยการกำจัดโทมนัส. ด้วยพระดำรัสนั้น เป็นอันทรงแสดง
อานุภาพของความเพียร และความเป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรของ
พระโยคาวจร. แท้จริงอานุภาพของความเพียรนั้นก็คือ เป็นผู้หลุดพ้นจากความ
ยินดี ยินร้าย ครอบงำความไม่ยินดี และความยินดี และเว้นจากใส่สิ่งที่ไม่
มีจริง และนำออกซึ่งสิ่งที่มีจริงก็พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้หลุดพ้นจากความยินดี
ยินร้าย เป็นผู้ครอบงำความไม่ยินดี และความยินดี ไม่ใส่สิ่งที่ไม่มีจริง ไม่
นำออกซึ่งสิ่งที่มีจริง จึงชื่อว่า เป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรด้วย
ประการฉะนั้น.
อีกนัยหนึ่ง. ตรัสกัมมัฏฐานด้วย อนุปัสสนา ในคำที่ว่า กาเย กายา
นุปสฺสี
พิจารณาเห็นกายในกาย. ตรัสการบริหารกายของพระโยคาวจรบำเพ็ญ
กัมมัฏฐาน ด้วยวิหารธรรมที่กล่าวไว้แล้ว ในคำนี้ว่า วิหรติอยู่. ก็ในคำเป็น
ต้นว่า อาตาปีมีความเพียร พึงทราบว่า ตรัสความเพียรชอบ ด้วยอาตาปะ
ความเพียรเครี่องเผากิเลส ตรัสกัมมัฏฐานที่ให้สำเร็จประโยชน์ทั่ว ๆ ไป หรือ
อุบาย เครื่องบริหารกัมมัฏฐาน ด้วยสติสัมปชัญญะ หรือตรัส สมถะ ที่ได้
มาด้วยอำนาจกายานุปัสสนา ตรัสวิปัสสนาด้วยสัมปชัญญะ ตรัสผลแห่งภาวนา
ด้วยการกำจัดซึ่งอภิชฌา และโทมนัสฉะนี้.

บาลีวิภังค์



ส่วนในบาลีวิภังค์ กล่าวความของบทเหล่านั้น ไว้อย่างนี้ว่า บทว่า
อนุปสฺสี ความว่า อนุปัสสนาในคำนั้น เป็นอย่างไร ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว

ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกอนุปัสสนา บุคคลได้ประกอบแล้ว ประกอบพร้อม
แล้ว เข้าไปแล้ว เข้าไปพร้อมแล้ว เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว มาตามพร้อม
แล้ว ด้วยอนุปัสสนานี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียนว่า อนุปสฺสี. บทว่า วิหรติ
แปลว่า เป็นอยู่ เป็นไปอยู่ รักษาอยู่ ดำเนินไปอยู่ ให้อัตตภาพดำเนินไปอยู่
เที่ยวไปอยู่ เหตุนั้น จึงเรียกว่า วิหรติ. บทว่า อาตาปี ผู้มีเพียร ความว่า
อาตาปะ ความเพียรในคำนั้นเป็นอย่างไร การปรารภความเพียรเป็นไปทางใจ
ฯลฯ สัมมาวายามะใด นี้เรียกว่า อาตปะ บุคคลผู้ประกอบด้วยอาตาปะนี้ เหตุนั้น
บุคคลนั้น จึงเรียกว่าอาตาปี. บทว่า สมฺปชาโน ความว่า สัมปชัญญะ ในคำ
นั้นเป็นอย่างไร ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกว่าสัมปชัญญะ
บุคคลใดประกอบแล้ว ฯลฯ มาตามพร้อมแล้ว ด้วยสัมปชัญญะนี้ เหตุนั้น
บุคคลนั้น จึงเรียกว่า สมฺปชาโน. บทว่า สติมา ความว่า สติในคำนั้น
เป็นอย่างไร ความระลึกได้ ความระลึกถึง ฯลฯ ความระลึกชอบ นี้เรียกว่า
สติ บุคคลใดประกอบแล้ว ฯลฯ มาตามพร้อมแล้วด้วยสตินี้ เหตุนั้น บุคคล
นั้น จึงเรียกว่าสติมา. ข้อว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ความว่า
โลกในคำนั้น เป็นอย่างไร กายนั้นแล ชื่อว่าโลก อุปาทานขันธ์แม้ทั้ง 5 ก็ชื่อ
ว่าโลก นี้เรียกว่าโลก. อภิชฌาในคำนั้นเป็นอย่างไร ความกำหนัด ความ
กำหนัดนัก ความดีใจ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัด ด้วยอำนาจ
ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต นี้เรียกว่าอภิชฌา โทมนัสในคำนั้น
เป็นอย่างไร ความไม่สำราญทางใจ ทุกข์ทางใจ ฯลฯ เวทนาที่ไม่สำราญเป็น
ทุกข์ อันเกิดแก่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส อภิชฌา และโทมนัสนี้
เป็นอันพระโยคาวจรกำจัด เสียแล้ว นำออกไปแล้ว สงบแล้ว ให้สงบแล้ว ให้
ระงับแล้ว ให้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ให้ถึงความสาบศูนย์แล้ว ให้ถึงความ
ไม่มีแล้ว ให้ถึงความย่อยยับแล้ว ให้เหือดแห้งแล้ว ให้แห้งผากแล้ว

ทำให้ถึงที่สุดแล้ว เหตุนั้น จึงตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ
ดังนี้. นัยที่มาในอรรถกถานี้ กับบาลีวิภังค์นั้น บัณฑิตพึงทราบได้โดยการ
เทียบกัน.
พรรณนาความแห่ง อุทเทสที่ว่าด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีเพียง
เท่านี้ก่อน.

อุทเทสวารแห่งเวทนาจิตตธัมมานุปัสสนา



บัดนี้ จะวินิจฉัย ในคำว่า ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้ง
หลาย จิตในจิต ธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่ ฯลฯ กำจัดอภิชฌา และโทมนัส
ในโลก ดังนี้ ประโยชน์ในอันจะกล่าวซ้ำเวทนาเป็นต้น ในคำซึ่งมีอาทิอย่าง
นี้ว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวมาแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล. อนึ่ง ในข้อที่ว่า พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลาย พิจารณาเห็นจิตในจิต พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งหลาย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ เวทนาได้แก่เวทนา 3 ก็เวทนา 3 นั้น เป็น
โลกิยะอย่างเดียว แม้จิตก็เป็นโลกิยะ ธรรมทั้งหลายก็เป็นโลกิยะเหมือนกัน. การ
จำแนกเวทนาจิตธรรมนั้น จักปรากฏในนิทเทสวาร. ส่วนในอุทเทสวารนี้
ภิกษุผู้พิจารณาเวทนา 3 นั้น โดยประการที่คนพึงพิจารณาเห็นก็พึงทราบว่า
เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย. แม้ในจิต และธรรมก็นัยนี้เหมือน
กัน.
ถามว่า จะพึงพิจารณาเห็นเวทนาอย่างไร. ตอบว่า พึงพิจารณาเห็น
สุขเวทนา โดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกข์เวทนาโดยเป็นดุจลูกศร เห็นอทุกขม
สุขเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง. ดังที่ตรัสไว้ว่า

โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต
อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ อุปสนฺโต จริสฺสติ ภิกษุใดเห็นสุขเวทนาโดยความเป็น ทุกข์ เห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นดังลูก ศร เห็นอทุกขมสุขเวทนาที่มีอยู่โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ภิกษุนั้นแล เป็นผู้เห็น ชอบ จักเป็นผู้สงบเที่ยวไป ดังนี้.
อนึ่ง พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหมดนั้นแหละ โดยความเป็นทุกข์ด้วย. สมจริง ดังที่ตรัสไว้ดังนี้ว่า เรากล่าวเวทนาทุกอย่างบรรดามีอยู่ในทุกข์ทั้งนั้น. พึงพิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นสุข เป็นทุกข์ (เปลี่ยนเวียนกันไป). ดังที่ตรัสไว้ว่า สุขเวทนา เป็นสุข เมื่อเกิดขึ้น เมื่อตั้งอยู่เป็นทุกข์เมื่อแปรไป ดังนี้ คำทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงเข้าใจให้กว้างขวาง. อนึ่ง พระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็น แม้ด้วยอำนาจอนุปัสสนา 7 มีอนิจจานุปัสสนา เป็นต้น. ข้อควรกล่าวนี้ยังเหลือ จักปรากฏในนิทเทสวารแล. แม้ในจิตและธรรม จะอธิบายจิตก่อน จิตอันพระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจประเภทแห่งจิตอันต่าง ๆ กัน มีอารัมมณจิต อธิปติจิต สหชาตจิตภูมิจิต กัมมจิต วิปากจิตและกิริยาจิต เป็นต้น และด้วยอำนาจประเภทแห่งจิต มีจิตมีราคะเป็นต้น ซึ่งมาในนิทเทสวารแห่งอนุปัสสนา มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. ธรรมอันพระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจแห่งลักษณะเฉพาะตนและลักษณะทั่วไป และแห่งธรรมที่เป็นสภาพว่างเปล่า และด้วยอำนาจประเภทแห่งธรรมมีธรรมอันมีสงบเป็นต้น ซึ่งมาในนิทเทสสวาร แห่งอนุปัสสนา7 มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้น.

อภิชฌา และโทมนัส ในโลกคือ กาย อันพระโยคาวจรใดละได้แล้ว
ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ แม้อภิชฌา และโทมนัสในโลก คือเวทนาเป็นต้น
ก็เป็นอันพระโยคาวจรนั้นละได้แล้วเหมือนกัน ก็จริงอยู่ ถึงดังนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็ยังตรัสการละอภิชฌา และโทมนัสไว้ในสติปัฏฐานทุกข้อ ด้วย
อำนาจแห่งบุคคลต่าง ๆ กัน และด้วยอำนาจแห่งสติปัฏฐานภาวนา อันเป็นไป
ในขณะจิตต่างกัน. อีกนัยหนึ่ง เพราะอภิชฌา และโทมนัสที่ละได้ในสติปัฏฐาน
ข้อหนึ่งถึงในสติปัฏฐานที่เหลือทั้ง 3 ข้อ ก็เป็นอันละได้เหมือนกัน. เพราะ
ฉะนั้นแล จึงควรทราบว่า การละอภิชฌา และโทมนัสนี้ ตรัสไว้เพื่อทรง
แสดงการละในสติปัฏฐานเหล่านั้น ของภิกษุนั้น ฉะนั้นแล.
จบอุทเทสวารกถา

นิทเทสวารกถา



กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน



สัมมาสติมีอารมณ์ 4



นายช่างจักสานผู้ฉลาด ประสงค์จะทำเครื่องใช้ เช่น เสื่อหยาบ
เสื่ออ่อน เตียบ ลุ้ง และฝาชีเป็นต้น ได้ไม้ไผ่ลำใหญ่มาลำหนึ่ง ตัดเป็น 4 ท่อน
แล้ว พึงเอาท่อน ๆ หนึ่งแต่ 4 ท่อนนั้นมาผ่าออกทำเป็นเครื่องใช้นั้น ๆ แม้
ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน บัดนี้ ทรงประสงค์จะทำสัตว์
ทั้งหลายให้บรรลุคุณวิเศษต่าง ๆ ด้วยการทรงแสดงสติปัฏฐานจำแนกสัมมาสติ
อย่างเดียวเท่านั้น ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ โดยนัย
เป็นต้นว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็น
กายในกายอยู่ ดังนี้ ทรงถือเอาสติปัฏฐานแต่ละอย่าง จาก 4 อย่างนั้น เมื่อจะ
ทรงจำแนกกาย จึงทรงเริ่มตรัส นิทเทสวาร โดยนัยเป็นต้นว่า กถญฺจ ภิกฺขเว.

อธิบายศัพท์ในปุจฉวา



ในนิทเทสวารนั้น คำว่า กถญฺจ อย่างไรเล่า เป็นต้น เป็นคำถาม
ด้วยหมายจะขยายให้กว้างขวาง. ก็แล ความย่อในปุจฉวารนี้มีดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายโดยประการไรเล่า. ในปุจฉวารทุกข้อ
ก็นัยนี้. ข้อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ คือภิกษุใน
พระศาสนานี้. ก็อิธศัพท์ในคำนี้ เป็นเครื่องแสดงศาสนา อันเป็นที่อาศัยอย่างดี

ของบุคคลผู้บำเพ็ญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานทุกประการ ให้เกิดขึ้นแล้ว และ
เป็นเครื่องปฏิเสธความไม่เป็นจริงของศาสนาอื่น. สมจริง ดังที่ตรัสไว้ (ในจูฬ-
สีหนาทสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่
1-2-3-4 มีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น ศาสนาอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้เป็น
พระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่าภิกษุในศาสนานี้.

อานาปานบรรพ



คำว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปยังเรือนว่างก็ดี นี้
เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเอาเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐาน ของ
ภิกษุนั้น. เพราะจิตของเธอซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น มานาน
ย่อมไม่ประสงค์จะลงสู่วิถีแห่งกัมมัฏฐาน คอยแต่จะแล่นออกนอกทางท่าเดียว
เหมือนเกวียนที่เทียมด้วยโคโกงฉะนั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้
ประสงค์จะทรมานจิต ที่ร้าย ที่เจริญมาด้วยการดื่มรส มีรูปารมณ์เป็นต้น
มานาน พึงพรากออกจากอารมณ์เช่น รูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปป่าก็ได้
โคนไม้ก็ได้ เรือนว่างก็ได้ แล้วเอาเชือก คือสติผูกเข้าไว้ที่หลัก คืออารมณ์
ของสติปัฏฐานนั้น จิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้น ทางนี้ เมื่อไม่ได้
อารมณ์ที่คุ้นเคยมาก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ก็จะแอบ
แนบสนิทเฉพาะอารมณ์นั้นอย่างเดียว ด้วยอำนาจเป็นอุปจารภาวนา และ
อัปปนาภาวนา เหมือนอย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกง ที่ดื่มนม
แม่โคตัวโกงจนเติบโต พึงพรากมันไปเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลัก
หนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้น ครั้งนั้นลูกโคของเขานั้น ก็จะดิ้นไปทางโน้น
ทางนี้ เมื่อไม่อาจหนีไปได้ ก็หมอบ หรือนอนแนบหลักนั้นนั้นแล ฉะนั้น.
เหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า

ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ
พนฺเธยฺเยวํ สกํ จิตฺตํ สติยารมฺมเณ ทฬฺหํ
นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิต
ของตนไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือน
คนเลี้ยงโค เมื่อจะฝึกกลูกโค พึงผูกมันไว้
ที่หลักฉะนั้น.

เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุผู้เจริญสติปัฏ-
ฐานนั้น ด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำนี้ เป็นเครื่อง
แสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐาน ของภิกษุนั้น ดังนี้.

เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ



อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโยคาวจรไม่ละ ละแวกบ้านอันอื้ออึงด้วยเสียง
หญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น จะบำเพ็ญอานาปานสติกัมมัฏฐาน อันเป็นยอดใน
กายานุปัสสนา เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษ และธรรมเครื่องอยู่เป็น
สุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้
สำเร็จ ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่พระโยคาวจร
กำหนดกัมมัฏฐานนี้แล้ว ให้จตุตถฌาน มีอานาปานสติเป็นอารมณ์ เกิดขึ้น
ทำฌานนั้นนั่นแล ให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลาย แล้วบรรลุพระอรหัต
ซึ่งเป็นผลอันยอดจะทำได้ง่าย ก็แต่ในป่าที่ไม่มีบ้าน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแก่ภิกษุโยคาวจรนั้น จึงตรัสว่า อรญฺญ-
คโต วา
ไปป่าก็ดี เป็นต้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนอาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ. อาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ
เห็นพื้นที่ควรสร้างนครแล้ว ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ก็ชี้ว่า ท่านทั้งหลาย

จงสร้างนครตรงนี้ เมื่อเขาสร้างนครเสร็จ โดยสวัสดีแล้ว ย่อมได้รับลาภ
สักการะอย่างใหญ่ จากราชสกุล ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็ฉันนั้น
ทรงใคร่ครวญถึงเสนาสนะอันเหมาะแก่พระโยคาวจรแล้วทรงชี้ว่า เสนาสนะ
ตรงนี้ พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนือง ๆ ต่อแต่นั้น พระโยคีเจริญ
กัมมัฏฐานเนือง ๆ ในเสนาสนะนั้น ได้บรรลุพระอรหัตตามลำดับย่อมทรงได้
รับสักการะอย่างใหญ่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เอง
โดยชอบ จริงหนอ.
ก็ภิกษุนี้ท่านกล่าวว่า เป็นเช่นเดียวกับเสือเหลือง. เหมือนอย่างพระยา
เสือเหลืองขนาดใหญ่อาศัยพงหญ้าป่าชัฏ หรือเทือกเขาในป่า ซ่อนตัวคอยจับ
หมู่มฤค มีกระบือป่า ละมัง หมูป่า เป็นต้น ฉันใด ภิกษุนี้ผู้มีเพียรประกอบ
เนือง ๆ ซึ่งกัมมัฏฐานในป่าเป็นต้น ย่อมถือเอาซึ่งมรรค 4 และอริยผล 4 ได้
ตามลำดับฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า.
ยถาปิ ทีปิโก นาม นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค
ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก
อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน คณฺหติ ผลมุตฺตมํ
อันเสือเหลืองซ่อนตัวคอยจับหมู่
มฤคฉันใด ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรนี้ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน เข้าไปสู่ป่าแล้ว ประกอบ.
ความเพียร เป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง (เจริญ
วิปัสสนา) ย่อมถือไว้ได้ซึ่งผลอันสูงสุด
ได้.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะป่า อัน
เป็นภูมิที่เหมาะแก่ชวนปัญญา อันเป็นเครื่องบากบั่นของพระโยคาวจรนั้น
จึงตรัสว่า อรญฺญคโตวา ไปป่าก็ดี เป็นต้น.

ต่อแต่นี้ไป ก่อนอื่น คำที่ควรจะกล่าวในอานาปานบรรพนี้ ท่านกล่าว
ไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทั้งนั้น.

กำหนดลมอัสสาสปัสสาสะ



ก็คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายช่างกลึง หรือลูกมือ
ของนายช่างกลึงผู้ขยัน นี้เป็นเพียงคำอุปมาเท่านั้น. คำว่า ในกายภายใน ก็ดีนี้
เป็นเพียงอัปปนาเท่านั้น. แต่อัปปนานั้นก็ย่อมไม่มาในคำนั้น. มาแต่อุปจาร
กัมมัฏฐานที่เหลือ. แต่ก็ยังมาไม่ถึง คำว่าผู้ขยัน หมายถึง ผู้ฉลาด (ผู้ชำนาญ).
คำว่า ชักเชือกกลึงยาวก็ดี ความว่า เหยียดมือ เหยียดเท้า ชักเชือกยาวใน
เวลากลึงกลองช่องพิณ เป็นต้น ซึ่งเป็นของใหญ่. คำว่า ชักเชือกสั้นก็ดี
ความว่า ชักเชือกสั้น ๆ ในเวลากลึงของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นงาและลิ่มสลัก
เป็นต้น. คำว่า ฉันนั้นเหมือนกันแล ความว่า แม้ภิกษุนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อ
หายใจเข้ายาวโดยลมอัสสาสะ และปัสสาสะ ที่เป็นไปโดยระยะยาว และระยะสั้น
ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว ฯลฯ คอยสำเหนียกอยู่ว่า เราหายใจออกยาวดังนี้.
เมื่อเธอสำเหนียกอยู่อย่างนี้ ฌาน 4 ย่อมเกิดในนิมิตแห่งลมอัสสาสะปัสสาสะ.
เธอออกจากฌานแล้ว จะกำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ หรือ องค์ฌานได้.
ในการกำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะนั้น ภิกษุประกอบกัมมัฏฐาน ในลม
อัสสาสะปัสสาสะย่อมกำหนดรูปอย่างนี้ว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะ เหล่านี้ อาศัย
อะไร อาศัยวัตถุ กรัชกาย ชื่อว่าวัตถุ มหาภูตรูป 4 กับ อุปาทายรูป ชื่อว่า
กรัชกาย ต่อแต่นั้น จึงกำหนดในนามธรรม ซึ่งมีผัสสะเป็นที่ 5 (1. เวทนา
2. สัญญา 3. เจตนา 4. วิญญาณ 5. ผัสสะ) มีรูปนั้นเป็นอารมณ์. ครั้น
กำหนดนามรูปนั้นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ค้นหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น

อยู่ เห็นปฏิจจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้นแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ว่า
นี้เป็นเพียงปัจจัย และธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช้สัตว์หรือบุคคล
จึงยกนามรูปกับทั้งปัจจัย ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนาอยู่ ย่อมบรรลุ
พระอรหัตโดยลำดับ. นี้เป็นทางปฏิบัติออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัตของภิกษุ
รูปหนึ่ง.
ภิกษุผู้เจริญฌานกัมมัฏฐาน กำหนดนามรูปว่า องค์ฌานเหล่านี้อาศัย
อะไร อาศัยวัตถุรูป กรัชกายชื่อว่าวัตถุรูป องค์ฌานจัดเป็นนาม กรัชกายจัด
เป็นรูป เมื่อจะแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น จึงเห็นปัจจยาการมีอวิชชา
เป็นต้น จึงข้ามความสงสัยเสียได้ว่า นี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมอาศัย ปัจจัย
เกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคล จึงยกนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์
เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ. นี้เป็นมุขของการออกจากทุกข์
จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง.
คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา ในกายภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายใน
กาย คือลมอัสสาสะปัสสาสะของตนอยู่อย่างนี้. คำว่า หรือ ภายนอก ความว่า
หรือพิจารณาเห็นกายในกาย คือลมอัสสาสะปัสสาสะของคนอื่นอยู่. คำว่า ทั้ง
ภายในทั้งภายนอก
ความว่า หรือในกายคือ ลมอัสสาสะปัสสาสะของตนตามกาล
ของคนอื่นตามกาล ด้วยคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส กาลที่ภิกษุนั้นไม่หยุด
กัมมัฏฐานที่คล่องแคล่ว ให้กาย คือลมอัสสาสะปัสสาสะ สัญจรไปมาอยู่ ก็กิจ
ทั้งสองนี้ ย่อมไม่ได้ในเวลาเดียวกัน.
คำว่า พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิด ความว่า ลมอาศัยสูบ
ของช่างทอง 1 ลูกสูบ 1 ความพยายามอันเกิดแต่ลูกสูบนั้น 1 จึงจะสัญจรไป
มาได้ฉันใด กาย คือลมอัสสาสะปัสสาสะก็อาศัยกรัชกาย 1 ช่องจมูก 1 จิต 1

ของภิกษุ จึงสัญจรไปมาได้ฉันนั้น. ภิกษุเห็นธรรมมีกายเป็นต้น ซึ่งมีความ
เกิดเป็นธรรมดา ท่านเรียกว่า พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดในกาย. คำว่า
พิจารณาธรรม คือความเสื่อมก็ดี ความว่า เมื่อสูบถูกนำออกไปแล้ว
เมื่อลูกสูบแตกแล้ว เมื่อความพยายามอันเกิดแต่ลูกสูบนั้น ไม่มีลมนั้นย่อมเป็น
ไปไม่ได้ฉันใด เมื่อกายแตกแล้ว เมื่อช่องจมูกถูกกำจัดเสียแล้ว และเมื่อจิต
ดับแล้ว ชื่อว่ากาย คือลมอัสสาสะปัสสาสะ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น
เหมือนกัน. ภิกษุผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะดับ เพราะกายเป็นต้น
ดับ ดังนี้ ท่านเรียกว่าพิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมในกาย. คำว่า
พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด และความเสื่อม หมายความว่า
พิจารณาเห็นความเกิดตามกาล ความเสื่อมตามกาล.
คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่ากายมีอยู่ ความว่า สติของภิกษุนั้น
เข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่า กายแลมีอยู่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง
ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่
ของใคร. คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์. ท่าน
อธิบายว่า สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียง
เพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือ ประมาณแห่งความรู้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และประ-
มาณแห่งสติเท่านั้น อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ. คำว่า ไม่
ถูกกิเลส อาศัยอยู่
ความว่า ไม่ถูกกิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็น
ที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่. คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไร ๆ ในโลกด้วย
ความว่า ไม่ถือสิ่งไร ๆ ในโลก คือรูป ฯลฯ หรือวิญญาณว่า นี้เป็นตัวของ
เรา นี้มีในตัวของเรา. ปิอักษรใน คำว่า เอวํปิ ลงในอรรถ คือ อาศัยความ
ข้างหน้าประมวลมา. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมอบเทศนา คือ อานาปาน
บรรพแสดงแล้วด้วยบทนี้.

อานาปานสติเป็นอริยสัจ 4


ในอานาปานบรรพนั้น สติที่กำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะเป็นอารมณ์
เป็นทุกขสัจ ตัณหามีในก่อนอันยังทุกขสัจนั้นให้ตั้งขึ้นเป็นสมุทัยสัจ ความไม่
เป็นไปแห่ง สัจจะทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคที่กำหนดรู้ทุกขสัจ ละสมุทัย
สัจ มีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ. ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายด้วยอำนาจ
สัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อมบรรลุความดับทุกข์ได้ฉะนี้. นี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจาก
ทุกข์ จนบรรลุพระอรหัตของภิกษุผู้ตั้งมั่นแล้ว ด้วยอำนาจแห่งลมอัสสาสะ
ปัสสาสะ รูปหนึ่งฉะนั้นแล.
จบอานาปานบรรพ

อิริยาบถบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางแห่ง
ลมอัสสาสะปัสสาสะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางแห่งอิริยาบถ
จึงตรัสว่า ปุน จปรํ อีกอย่างหนึ่งดังนี้เป็นต้น. ในอิริยาบถนั้น พึงทราบความ
ว่า แม้สัตว์ดิรัจฉาน เช่น สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่า
ตัวเดิน ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น. เพราะ
ความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่าสัตว์ไม่ได้ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ไม่ได้.
ไม่เป็นกัมมัฏฐาน หรือ สติปัฏฐานภาวนาเลย. ส่วนการรู้ของภิกษุ (ผู้เจริญ
กายานุปัสสนา) นี้ ย่อมละความเห็นว่าสัตว์ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ได้.
เป็นทั้งกัมมัฏฐาน และเป็นสติปัฏฐานภาวนา. และคำที่ตรัสหมายถึง ความรู้ชัด
อย่างนี้ว่า ใครเดิน การเดินของใคร เดินได้เพราะอะไร แม้ในอิริยาบถ
อื่น มีการยืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน .

จะวินิจฉัย ในปัญหาเหล่านั้น คำว่า ใครเดิน ความว่า ไม่ใช่สัตว์
หรือบุคคลไร ๆ เดิน. คำว่า การเดินของใคร ความว่า ไม่ใช่การเดินของ
สัตว์ หรือบุคคลไรๆ เดิน. คำว่าเดินได้เพราะอะไร ความว่า เดินได้เพราะ
การแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อม
รู้ชัดอย่างนี้ คือจิตเกิดขึ้นว่าเราจะเดิน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุ ๆ ก็ทำให้
เกิดวิญญัติ ความเคลื่อนไหว การนำสกลกายให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความ
ไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่าเดิน. แม้ในอิริยาบถอื่น
มียืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็ในอิริยาบถยืนเป็นต้นนั้น จิตเกิดขึ้นว่า เรา
จะยืน จิตนั้นทำให้เกิดวาโยธาตุ ๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การทรง
สกลกายตั้งขึ้นแต่พื้นเท้าเป็นที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การ
ทำของจิต เรียกว่า ยืน. จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุ ๆ
ก็ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว ความคู้กายเบื้องล่างลง ทรงกายเบื้องบน
ตั้งขึ้น ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่านั่ง
จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนอน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุ ๆ ทำให้เกิดวิญญัติความ
เคลื่อนไหว การเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุ
อันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่า นอน. เมื่อภิกษุนั้นรู้ชัดอยู่อย่างนี้ ย่อมมี
ความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เขากล่าวกันว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่โดยอรรถ
แล้ว สัตว์ไร ๆ ที่เดิน ที่ยืนไม่มี ประดุจคำที่กล่าวกันว่า เกวียนเดิน
เกวียนหยุด แต่ธรรมดาว่า เกวียนไร ๆ ที่เดินได้ หยุดได้เอง หามีไม่ ต่อเมื่อ
นายสารถีผู้ฉลาด เทียมโค 4 ตัว แล้วขับไป เกวียนจึงเดิน จึงหยุด เพราะ
ฉะนั้น คำนั้น จึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกันฉันใด กายเปรียบเหมือน
เกวียน เพราะอรรถว่า ไม่รู้ ลมที่เกิดจากจิต เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบ
เหมือน สารถี เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน เราจะยืน วาโยธาตุที่ทำให้เกิด
ความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น อิริยาบถมีเดินเป็นต้น ย่อมเป็นไปเพราะความไหวตัว

แห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต ต่อแต่นั้น สัตว์ก็เดิน สัตว์ก็ยืน เราเดิน
เรายืน เพราะเหตุนั้น คำนั้น จึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกัน ฉันนั้น
เหมือนกัน. ด้วยฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า
นาวา มาลุตเวเคน ชิยาเวเคน เตชนํ
ยถา ยาติ ตถา กาโย ยาติ วาตาหโต อยํ
ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ
ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ ยาติฐาต นิสีทติ
โก นาม เอตฺถ โส สตฺโต โย วินา เหตุปจฺจเย
อตฺตโน อานุภาเวน ติฏฺเฐ วา ยทิ วา วเช
เรือแล่นไปได้ด้วยกำลังลม ลูกธนู
แล่นไปด้วยกำลังสายธนูฉันใด กายนี้อัน
ลมนำไป จึงเดินไปได้ฉันนั้น แม้ยนต์
คือกายนี้ อันปัจจัยประกอบแล้ว เดิน
ยืน และนั่ง ได้ด้วยอำนาจสายชัก คือจิต
เหมือนเครื่องยนต์ หมุนไปได้ด้วยอำนาจ
สายชักฉะนั้นนั่นแหละ ในโลกนี้สัตว์ใด
เว้นเหตุปัจจัยเสียแล้ว ยังยืนได้ เดินได้
ด้วยอานุภาพของตนเอง สัตว์นั้น ชื่อไร
เล่า จะมีดังนี้.

เพราะฉะนั้นพึงทราบว่า ภิกษุนี้ กำหนดอิริยาบถมีเดินเป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้
ด้วยอำนาจเหตุปัจจัย เท่านั้นอย่างนี้ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ว่าเรายืน
เมื่อนั่งก็รู้ว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ว่าเรานอน ดังนี้.

คำว่า ก็หรือ กายของเธอตั้งอยู่โดยอาการใด ๆ ก็รู้กายนั้น
โดยอาการนั้น ๆ
นี้เป็นคำกล่าวรวมอิริยาบถทั้งปวง. มีคำอธิบายว่า หรือกาย
ของเธอดำรงอยู่โดยอาการใด ๆ ก็รู้ชัดกายนั้น โดยอาการนั้น ๆ คือกายนั้นดำรง
อยู่โดยอาการเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน กายดำรงอยู่โดยอาการยืน นั่ง นอน
ก็รู้ชัดว่า เรายืน เรานั่ง เรานอน.

อิริยาบถภายในภายนอก



คำว่า ภายใน หรือดังนี้ ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายด้วยการ
กำหนดอิริยาบถ ของตนเองอย่างนี้อยู่. คำว่า หรือภายนอก ความว่า ด้วย
การกำหนดอิริยาบถสี่ของคนอื่นอยู่. คำว่า หรือทั้งภายใน ทั้งภายนอก ความ
ว่าพิจารณาเห็นกายในกาย ด้วยการกำหนดอิริยาบถ 4 ของตนเองตามกาล ของ
คนอื่นตามกาลอยู่. ก็ในคำบาลีเป็นต้นว่า พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิด
คือพึงนำความเกิด และความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ออกแสดง โดยอาการทั้ง5 ตาม
นัยบาลี เป็นต้นว่า รูปเกิด เพราะ อวิชชาเกิด ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายเอาความเกิด และความเสื่อมนั้นแล ตรัสว่า พิจารณาเห็นธรรม คือ
ความเกิดดังนี้เป็นต้นในที่นี้.
คำบาลีเป็นต้นว่า สติของเธอก็ปรากฏชัดว่า กายมีอยู่ ดังนี้
ก็มีข้อความเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดอิริยาบถเป็นอริยสัจ 4



แม้ในอิริยาบถบรรพนี้ สติที่กำหนดอิริยาบถ 4 เป็นอารมณ์ เป็น
ทุกขสัจ ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติที่กำหนดอิริยาบถ 4 นั้นให้ตั้งขึ้น
เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจ ทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรค
ที่กำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัยมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ ภิกษุผู้โยคาวจร

ขวนขวายโดยทางสัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อมบรรลุพระนิพพานดับทุกข์. นี้เป็นทาง
ปฏิบัตินำออกจากทุกข์ จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนด อิริยาบถ 4 รูปหนึ่ง
ฉะนี้แล.
จบอิริยาบถบรรพ

สัมปชัญญบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนา โดยทาง
อิริยาบถ 4 อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางสัมปชัญญะ 4
จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่งเป็นต้น ในสัมปชัญญบรรพนั้น คำว่า ก้าวไป
ข้างหน้า
เป็นต้น ทรงพรรณนาไว้แล้ว ในสามัญญผลสูตร. คำว่า หรือภายใน
ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของคนอื่น หรือในกาย
ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล โดยกำหนดสัมปชัญญะ 4 อย่างนี้อยู่.
ความเกิด และความเสื่อมของรูปขันธ์นั้นแล พึงนำออกแสดงในคำว่า พิจารณา
เห็นธรรม คือความเกิดเป็นต้น แม้ในสัมปชัญญบรรพนี้. คำนอกจากนี้ ก็
เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดสัมปชัญญะ เป็นอริยสัจ 4



ในสัมปชัญญบรรพนี้ สติกำหนดสัมปชัญญะ 4 เป็นทุกขสัจ ตัณหา
ที่มีในก่อน อันยังสติกำหนดสัมปชัญญะ 4 นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสุมทัยสัจ การ
ไม่เกิดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคมีประการดังกล่าว
มาแล้วเป็นมรรคสัจ ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อม
บรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล. นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของ
ภิกษุผู้กำหนดสัมปชัญญะ 4 รูปหนึ่งฉะนี้แล.
จบสัมปชัญญบรรพ

ปฏิกูลมนสิการบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางสัมปชัญญะ
4 อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกการใส่ใจถึงกายโดยความเป็นของปฏิกูล
จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นต้น. ในปฏิกูลมนสิการบรรพนั้น คำใดที่ควร
กล่าวในบาลีเป็นต้นว่า กายนี้นี่แล คำนั้นทั้งหมด ท่านกล่าวไว้แล้วในกายคตา-
สติกัมมัฏฐาน คัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพิสดารด้วยอาการทั้งปวง. คำว่า มีปาก
สองข้าง
ความว่า ประกอบด้วยปากทั้งสอง ทั้งข้างล่าง ข้างบน. คำว่ามีอย่าง
ต่าง ๆ
คือมีชนิดต่าง ๆ. ในข้อนั้นมีคำเทียบเคียงอุปมาดังต่อไปนี้. ก็กายอัน
ประกอบด้วยมหาภูตรูป 4 พึงทราบ เปรียบเหมือนไถ้ มีปากสองข้าง อาการ
32 มีผมเป็นต้น เปรียบเหมือนธัญญชาติต่างชนิด ที่เขาใส่ปนกันลงไปในไถ้
นั้น พระโยคาวจรเปรียบเหมือนบุรุษมีจักษุ อาการปรากฏชัดแห่งอาการ 32
ของพระโยคาวจร พึงทราบเหมือนอาการที่ธัญญชาติต่างชนิดปรากฏแก่บุรุษผู้
แก้ไถ้นั้นออกแล้ว พิจารณาดูอยู่.
คำว่า ภายในก็ดี ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือ
ในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการ
กำหนดอาการ 32 มีผมเป็นต้นอย่างนี้อยู่. ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยดังที่กล่าว
มาแล้ว. ในปฏิกูลมนสิการบรรพนี้ ต่างกันอย่างเดียว ก็คือควรประกอบ
ความอย่างนี้ว่า สติกำหนดอาการ 32 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจแล้วพึงทราบ
ว่าเป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดอาการ
32 รูปหนึ่ง. คำนอกจากนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั้นแล.
จบปฏิกูลมนสิการบรรพ

ธาตุมนสิการบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางการใส่ใจ
ถึงกายโดยเป็นของปฏิกูล อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางการใส่ใจ
ถึงกายโดยความเป็นธาตุ จึงตรัสธาตุมนสิการบรรพว่า ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นต้น.
ในธาตุมนสิการบรรพนั้น มีการพรรณนาอรรถพร้อมด้วยข้อเทียบเคียงอุปมา
ดังต่อไปนี้. คนฆ่าโคบางคน หรือลูกมือของเขา ที่เขาเลี้ยงดูด้วยอาหาร
และค่าจ้าง ฆ่าโคแล้วชำแหละแบ่งออกเป็นส่วน ๆ แล้ว นั่ง ณ ที่ทางใหญ่ 4
แพร่ง คือที่ชุมทางย่านกลางทางใหญ่ ซึ่งไปได้ทั้ง 4 ทิศ ฉันใด ภิกษุ (ผู้
บำเพ็ญธาตุกัมมัฏฐาน) ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากาย ซึ่งชื่อว่าตั้งอยู่
ตามที่ เพราะตั้งอยู่ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แห่งอิริยาบถทั้ง 4 และซึ่ง
ชื่อว่าดำรงอยู่ตามที่ เพราะตั้งอยู่ตามที่ อย่างนี้ว่า ในกายนี้มีปฐวีธาตุ อาโป-
ธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ.

กายสักว่าธาตุ 4



ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่า เมื่อคนฆ่าโคเลี้ยงโคอยู่ก็ดี
นำโคไปยังที่ฆ่าก็ดี นำมาผูกไว้ที่ฆ่าก็ดี กำลังฆ่าก็ดี มองดูโคที่ฆ่าตายแล้วก็ดี
ความสำคัญว่าโค ยังไม่หายไปตราบเท่านี้ เขายังไม่ได้ชำแหละโคนั้นออกเป็น
ส่วน ๆ ต่อเมื่อเขาชำแหละแบ่งออกแล้ว ความสำคัญว่าโคก็หายไป กลับสำคัญ
เนื้อโคไป เขามิได้คิดว่า เราขายโค คนเหล่านี้ซื้อไป ที่แท้ เขาคิดว่า เรา
ขายเนื้อโค คนเหล่านี้ซื้อเนื้อโค เปรียบฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสก็ดี บรรพชิตก็ดี ความสำคัญว่าสัตว์
หรือบุคคล ยังไม่หายไปก่อนตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้นี่แล ตามที่

ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ แยกออกจากก้อน โดยความเป็นธาตุ ต่อเมื่อเธอ
พิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ ความสำคัญว่าสัตว์จึงหายไป จิตก็ตั้งอยู่ด้วยดี
โดยความเป็นธาตุอย่างเดียว. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยความเป็น
ธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฯลฯ วาโย-
ธาตุ ดังนี้ฉันนั้น. ก็พระโยคาวจร เปรียบเหมือนคนฆ่าโค ความสำคัญว่า
สัตว์เปรียบเหมือนความสำคัญว่าโค อิริยาบถทั้ง 4 เปรียบเหมือนทางใหญ่ 4
แพร่ง ความพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ เปรียบเหมือนการที่คนฆ่าโคนั่ง
แบ่งออกเป็นส่วน ๆ นี้เป็นการพรรณนาบาลี ในธาตุมนสิการบรรพนี้. ส่วน
กถาว่าด้วยกัมมัฏฐาน ท่านพรรณนาไว้พิสดาร ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้ว.
คำว่า หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือ
ในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการ
กำหนดธาตุ 4 ด้วยอาการอย่างนี้อยู่. ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยที่กล่าวมาแล้ว
ทั้งนั้น. แต่ในที่นี้มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติ
กำหนดธาตุ 4 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้นแล้ว พึงทราบว่านี้เป็นทาง
ปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดธาตุ 4 ดังนี้. ส่วนคำที่เหลือก็เช่นกับ
ที่กล่าวมาแล้วแต่ก่อนนั่นแล.
จบธาตุมนสิการบรรพ

นวสีวถิกาบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางธาตุมนสิ-
การอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกด้วยนวสีวัฏฐิกาบรรพ ข้อกำหนดว่า

ด้วยป่าช้า 9 ข้อ จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่งเป็นต้น. บรรดาเหล่านั้น บทว่า
เหมือนอย่างว่าเห็น คือ เหมือนอย่างว่าพบ. บทว่า สรีระ คือสรีระของ
คนตาย. บทว่าที่เขาทิ้งไว้ที่ป่าช้า คือที่เขาปล่อยทิ้งไว้ที่สุสาน. ซากศพที่ชื่อว่า
ตายแล้ววันเดียว เพราะเป็นซากศพที่ตายแล้วได้ 1 วัน. ที่ชื่อว่าตายแล้ว 2
วัน เพราะเป็นซากศพที่ตายแล้วได้ 2 วัน. ที่ชื่อว่าตายแล้ว 3 วัน เพราะ
ซากศพที่ตายแล้วได้ 3 วัน. ที่ชื่อว่าศพที่พองขึ้น เพราะเป็นศพที่พองขึ้นโดย
เป็นศพที่ขึ้นอืดตามลำดับตั้งแต่สิ้นชีพไป เหมือนลูกสูบช่างทองอันพองขึ้นด้วย
ลม. ศพที่พองขึ้นนั่นแล ชื่อว่า อุทธุมาตกะ. อีกนัยหนึ่ง ศพที่พองขึ้นน่าเกลียด
เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อุทธุมาตกะ. ศพที่มีสีต่าง ๆ
เจือเขียว เรียกว่า ศพที่มีสีเขียวเจือ. ศพที่มีสีเขียวเจือนั่นแล ชื่อว่า วินีลกะ.
อีกนัยหนึ่ง ศพที่มีสีเขียวน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้นจึง
ชื่อว่า วินีลกะ. คำว่า วินีลกะ นี้เป็นชื่อของซากศพ มีสีแดง ในที่เนื้อนูนหนา
มีสีขาวในที่อันบ่มหนอง โดยมากมีสีเขียว ในที่ควรเขียว คล้ายผ้าห่มสีเขียว.
ศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกจากที่ปริแตกทางปากแผลทั้ง 9 บ้าง ชื่อว่าศพมีน้ำ
เหลืองไหล. ศพมีน้ำเหลืองไหลนั่นแล ชื่อว่า วิบุพพกะ. อีกนัยหนึ่ง ศพมี
น้ำเหลืองไหลน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
วิบุพพกะ. ศพที่เป็นวิบุพพกะเกิดแล้ว คือถึงความเป็นซากศพมีน้ำเหลือง
ไหลอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า วิบุพพกชาตะ. ข้อว่า โส อิมเมว กายํ
ความว่า ภิกษุนั้น ใช้ญาณนั้นแหละน้อมนำกายของตนนี้ไปเปรียบกับกายอันนั้น
(ซากศพ). เปรียบอย่างไร. เปรียบว่า กายนี้แล มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา
ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้.

กายที่ปราศจากอายุไออุ่นวิญญาณเป็นซากศพ


ท่านอธิบายไว้ว่า กายนี้ยังทนยืน เดิน เป็นต้นอยู่ได้ ก็เพราะมี
ธรรม 3 อย่างนี้คือ อายุ ไออุ่น และวิญญาณ แต่เพราะธรรม 3 อย่างนี้พราก
จากกัน แม้กายนี้ จึงต้องมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา คือมีสภาพเปื่อยเน่าอย่าง
นั้นเหมือนกัน ต้องเป็นอย่างนั้น คือจักเป็นประเภทศพขึ้นพองเป็นต้นอย่าง
นั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ คือไม่ล่วงพ้นความเป็นศพ
พองขึ้นเป็นต้นอย่างนั้นไปได้.
ข้อว่า หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน ใน
กายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการ
กำหนดซากศพที่ขึ้นพองเป็นต้นอย่างนี้อยู่.

เทียบกายด้วยซากศพ



บทว่า ขชฺชมานํ อันสัตว์กัดกินอยู่ ได้แก่ศพอันสัตว์มีแร้ง กา
เป็นต้น จับที่อวัยวะ เช่นท้องเป็นต้น แล้วดึงเนื้อท้อง เนื้อปาก เบ้าตา
เป็นต้น จิกกินอยู่. บทว่า สมํสโลหิตํ ยังมีเนื้อและเลือด คือศพที่มีเนื้อ
และเลือดยังเหลืออยู่. บทว่า นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ ที่ปราศจากเนื้อแต่
เปื้อนเลือด คือเมื่อเนื้อหมดไปแล้ว แต่เลือดยังไม่แห้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายเอาศพประเภทนั้น จึงตรัสว่า นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ. บทว่า
อญฺเญน คือศพไปทางทิศอื่น. บทว่า หตฺถฏฺฐิกํ กระดูกมือ ความว่า กระดูก
มือมีประเภทถึง 64 ชิ้น กระจัดกระจายแยกกันไป. แม้กระดูกเท้าเป็นต้น
ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า เตโรวสฺสิกานิ เกินปีหนึ่งขึ้นไป คือล่วงปีไปแล้ว.
บทว่า ปูตีนิ เป็นของผุ ความว่า กระดูกอันตั้งอยู่กลางแจ้ง ย่อมผุเปื่อย

เพราะกระทบ ลม แดด และฝน ส่วนกระดูกที่อยู่ใต้พื้นดิน ย่อมตั้งอยู่ได้
นานกว่า. บทว่า จุณฺณกชาตานิ เป็นผง คือแหลกเป็นผง กระจัดกระจาย
ไป. พึงประกอบความเข้าในข้อทั้งปวงโดยบทว่า ขชฺชมานํ อันสัตว์กัดกิน
เป็นต้น โดยนัยที่กล่าวมาแล้ว ว่าเธอก็น้อมกายอันนี้นี่แล เข้าไปเทียบกับศพ
เป็นต้น.
ข้อว่า หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นกายในกาย
ของตน ในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล
ด้วยการกำหนดซากศพอันสัตว์กัดกินเป็นต้น จนถึงเป็นกระดูกอันแหลกเป็น
ผงอย่างนี้อยู่.

จัดเป็นบรรพ



ป่าช้า 9 ข้อที่อยู่ในนวสีวถิกาบรรพนี้ บัณฑิตพึงจัดประมวลมาดังนี้ คือ
1. ข้อที่ตรัสโดยนัยเป็นต้นว่า ศพที่ตายแล้วได้วันหนึ่งบ้าง แม้ทั้ง
หมดเป็นบรรพอันหนึ่ง.
2. ข้อที่ว่า ศพที่ฝูงกาจิกกินบ้าง เป็นต้น เป็นบรรพอันหนึ่ง.
3. ข้อที่ว่า ร่างกระดูก ที่ยังมีเนื้อ และเลือดมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่
เป็นบรรพอันหนึ่ง.
4. ข้อว่า ปราศจากเนื้อแต่เปื้อนเลือด มีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่เป็นบรรพ
อันหนึ่ง.
5. ข้อที่ว่า ปราศจากเนื้อและเลือด มีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่เป็นบรรพ
อันหนึ่ง.
6. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลาย ที่ปราศจากเส้นเอ็นรัดรึงแล้วเป็นต้น
เป็นบรรพอันหนึ่ง.

7. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลาย ขาว คล้ายสีสังข์ เป็นบรรพอันหนึ่ง.
8. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลายที่กองเรี่ยราย เกินหนึ่งปีขึ้นไปเป็นบรรพ
อันหนึ่ง.
9. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลายที่ผุ แหลกเป็นผงเป็นบรรพอันหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงป่าช้าทั้ง 9 แล้ว จะทรงจบกายา-
นุปัสสนา จึงตรัสคำนี้ว่า เอวํ โข ภิกฺขเว อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลายเป็นต้น.

สติกำหนดซากศพเป็นอริยสัจ 4



ในนวสีวถิกาบรรพนั้น สติอันกำหนดป่าช้าทั้ง 9 ข้อ เป็นทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในก่อน ที่ยังสตินั้นให้เกิดขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจ และ
สมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอันกำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธ
เป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ ภิกษุผู้โยคาวจร ขวยขวายด้วยอำนาจสัจจะอย่างนี้
ย่อมบรรลุพระนิพพานดับทุกข์ได้ดังนี้. อันนี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์
จนถึงพระอรหัต ของเหล่าภิกษุผู้กำหนดป่าช้าทั้ง 9 ข้อ อย่างนี้แล.
จบนวสีวถิกาบรรพ.

ก็กายานุปัสสนา 14 บรรพคืออานาปานบรรพ 1 อิริยาบถบรรพ 1
จตุสัมปชัญญบรรพ 1 ปฏิกูลมนสิการบรรพ 1 ธาตุมนสิการบรรพ 1 สีวถิกา 9
บรรพเป็นอันจบลง ด้วยคำพรรณนามีประมาณเพียงเท่านี้.
ใน 14 บรรพนั้น อานาปานบรรพ กับ ปฏิกูลมนสิการบรรพ 2 บรรพ
นี้เท่านั้น เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน ส่วน 12 บรรพที่เหลือ เป็นอุปจารกัมมัฏ-
ฐานอย่างเดียว เพราะตรัสไว้โดยการพิจารนาเห็นโทษแห่งกายอันเกี่ยวด้วย
ป่าช้า ดังนี้แล.
จบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 วิธีอย่างนี้
แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสเวทนานุปัสสนา 9 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขเวทนา ความว่า ภิกษุกำลังเสวย
เวทนาที่เป็นสุข ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา. จะ
วินิจฉัยในคำนั้น แม้เด็กทารกที่ยังนอนหงาย เมื่อเสวยสุขในคราวดื่มน้ำนม
เป็นต้น ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาก็จริงอยู่. แต่คำว่า สุขเวทนาเป็นต้นนี้
มิได้ตรัสหมายถึงความรู้ชัดอย่างนั้น. เพราะความรู้ชัดเช่นนั้น ไม่ละความเห็น
ว่าสัตว์ ไม่ถอนความสำคัญว่า เป็นสัตว์ ไม่เป็นกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐาน
ภาวนาเลย. ส่วนความรู้ชัดของภิกษุนี้ ละความเห็นว่าสัตว์ ถอนความสำคัญ
ว่าเป็นสัตว์ได้ ทั้งเป็นกัมมัฏฐาน เป็นสติปัฏฐานภาวนา. ก็คำนี้ตรัสหมายถึง
ความเสวยสุขเวทนาพร้อมทั้งที่รู้ตัวอยู่ อย่างนี้ว่า ใครเสวย ความเสวยของ
ใคร เสวยเพราะเหตุไร.


สักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา



จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น ถามว่า ใครเสวย ตอบว่า มิใช่สัตว์
หรือบุคคลไร ๆ เสวย. ถามว่า ความเสวยของใคร ตอบว่ามิใช่ความเสวยของ
สัตว์ หรือบุคคลไร ๆ. ถามว่า เสวยเพราะเหตุไร ตอบว่า ก็เวทนาของภิกษุ
นั้นมีวัตถุเป็นอารมณ์ อย่างเดียว เหตุนั้น เธอจึงรู้อย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย
เสวยเวทนา เพราะทำวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา มีสุขเวทนา เป็นต้นนั้น ๆ
ให้เป็นอารมณ์ ก็คำว่า เราเสวยเวทนา เป็นเพียงสมมติเรียกกัน เพราะยึดถือ
ความเป็นไปแห่งเวทนานั้น. เธอกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลาย เสวยเวทนาเพราะ

ทำวัตถุให้เป็นอารมณ์ อย่างนี้ พึงทราบว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา
เหมือนพระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งสำนักอยู่ที่จิตตลบรรพต.

พระเถระผู้เสวยทุกขเวทนา



ได้ยินว่า พระเถระทุรนทุราย กลิ้งเกลือกอยู่ด้วยเวทนากล้าแข็ง คราว
อาพาธไม่ผาสุก. ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเรียนถามว่า ท่านเจ็บตรงไหนขอรับ. ท่าน
ตอบว่าบอกที่เจ็บไม่ได้ดอกเธอ ฉันทำวัตถุเป็นอารมณ์ เสวยเวทนา. ถามว่า
ตั้งแต่เวลารู้ชัดอย่างนั้น ท่านอดกลั้นไว้ ไม่ควรหรือขอรับ. ตอบว่า ฉันจะ
อดกลั้นนะเธอ. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า อดกลั้นได้ก็ดีนะสิ ขอรับ. พระเถระก็อดกลั้น
(ทุกขเวทนา). โรคลมก็ผ่าแล่งจนถึงหัวใจ ไส้ของพระเถระก็ออกมากองบนเตียง.
พระเถระชี้ให้ภิกษุหนุ่มดู ถามว่า อดกลั้นขนาดนี้ควรไหม. ภิกษุหนุ่มก็นิ่ง.
พระเถระก็ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ทั้งหลายเป็นพระอรหัตสมสีสี ปรินิพพานแล้ว.
อนึ่ง ภิกษุผู้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ
อทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิสอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขสุข-
เวทนา ปราศจากอามิสเหมือนเมื่อเธอเสวยสุขเวทนาแล.

เวทนาเป็นอรูปกัมมัฏฐาน



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกัมมัฏฐานด้วยประการฉะนี้แล้ว เมื่อ
จะตรัสอรูปกัมมัฏฐาน แต่เพราะที่ตรัสด้วยอำนาจ ผัสสะ หรือด้วยอำนาจจิต
กัมมัฏฐานไม่ปรากฏชัด ปรากฏเหมือนมืดมัว ส่วนความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
ทั้งหลาย ปรากฏชัด กัมมัฏฐานปรากฏชัดด้วยอำนาจเวทนา ฉะนั้น จึงตรัส
อรูปกัมมัฏฐานด้วยอำนาจเวทนา แม้ในพระสูตรนี้ เหมือนอย่างในสักกปัญห-

สูตร. กถามรรค ในพระสูตรนี้นั้น พึงทราบโดยนัยที่ตรัสไว้ในสกกปัญหสูตร
แล้วนั่นแลว่า ก็กัมมัฏฐานมี 2 อย่าง คือ รูปกัมมัฏฐาน และ อรูปกัมมัฏฐาน
ดังนี้เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัย ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ในคำว่า สุขเวทนา
ดังนี้เป็นต้น มีปริยาย (ทาง ) แห่งความรู้ชัดอีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้. ข้อว่า
สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา ความว่า
เมื่อเสวยสุขเวทนา เพราะขณะเสวยสุขเวทนา ไม่มีทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เรา
เสวยสุขเวทนาดังนี้. เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าเวทนาไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความ
แปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะในขณะที่ไม่มีทุกขเวทนาที่เคยมีมาก่อน และ
เพราะก่อนแต่นี้ ก็ไม่มีสุขเวทนานี้. เธอรู้ตัวในสุขเวทนานั้นอย่างนี้. สมจริง
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ใน ทีฆนขสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย)
ดังนี้ว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ สมัยใด เสวยสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวย-
ทุกขเวทนาไม่ หาเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่ ย่อมเสวยสุขเวทนาเท่านั้น สมัยใด
เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยสุขเวทนาไม่
หาเสวยทุกขเวทนาไม่ เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น ดูก่อนอัคคิเวสสนะ
แม้สุขเวทนาแล ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้น
ไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มี
ความดับไปเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาเล่า ฯลฯ แม้อทุกขมสุขเวทนาเล่า
ไม่เที่ยง ฯลฯ มีความดับไปเป็นธรรมดา ดูก่อนอัคคิเวสสนะ อริยสาวกสดับ
แล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในสุขเวทนา แม้ในทุกขเวทนา แม้ใน
อทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้น ย่อมหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็ทำเสร็จแล้ว กิจอย่างอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกดังนี้.

เวทนาที่เป็นสามิสและนิรามิส


จะวินิจฉัยในข้อว่า สามิสํ วา สุขํ หรือสุขเวทนาที่มีอามิส เป็นต้น
โสมนัสสเวทนาอาศัยอามิสคือกามคุณ 5 อาศัยเรือน 6 ชื่อว่า สามิสสุขเวทนา
โสมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6 ชื่อว่า นิรามิสสุขเวทนา โทมนัสสเวทนา
อาศัยเรือน 6 ชื่อว่า สามิสทุกขเวทนา โทมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6
ชื่อว่า นิรามิสทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนาอาศัยเรือน 6 ชื่อว่า สามิสอทุกขม-
สุขเวทนา อุเบกขาอันอาศัยเนกขัมมะ 6 ชื่อว่า นิรามิสอทุกขมสุขเวทนา.
อนึ่ง การจำแนกเวทนาแม้เหล่านั้นท่านกล่าวไว้ในสักกปัญหสูตรแล้วแล.

เวทนาในเวทนานอก



ข้อว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลายของตน ในเวทนาทั้งหลายของคนอื่น หรือใน
เวทนาทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดสุขเวทนา
เป็นต้น อย่างนี้อยู่. ส่วนในข้อว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา พิจารณาเห็น
ธรรมคือความเกิด (ในเวทนาทั้งหลาย) นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุเมื่อเห็นความ
เกิด และความเสื่อม แห่งเวทนาทั้งหลายด้วยอาการอย่างละ 5 ว่า เพราะ
อวิชชาเกิด จึงเกิดเวทนาดังนี้เป็นต้น พึงทราบว่า เธอพิจารณาเห็นธรรม
คือความเกิดในเวทนาทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อม ในเวทนา
ทั้งหลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลาย ตามกาล
อยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่. ข้อต่อ
จากนี้ไปก็มีนัยดังที่กล่าวมาแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล.

สติกำหนดเวทนาเป็นอริยสัจ 4


แต่ในเวทนานุปัสสนานี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความ
อย่างนี้ว่า สติที่กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้นแล้ว พึงทราบว่า
เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์. คำที่เหลือ
ก็มีความเช่นนั้นเหมือนกัน.
จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 9. วิธี อย่าง
นี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนา 16 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนา เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น.

จำแนกอารมณ์ของจิต



บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า จิตมีราคะ คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ 8
อย่าง. บทว่า จิตปราศจากราคะ คือ จิตที่เป็นกุศล แล อพยากฤตฝ่าย
โลกิยะ. แต่ข้อนี้ เป็นการพิจารณา มิใช่เป็นการชุมนุมธรรม เพราะฉะนั้นใน
คำว่า จิตมีราคะ นี้ จึงไม่ได้โลกุตตรจิต แม้แต่บทเดียว. อกุศลจิต 4 ดวง
ที่เหลือ จึงไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง. บทว่า จิตมีโทสะ ได้แก่จิต 2
ดวง ที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัส. บทว่า จิตปราศจากโทสะ ได้แก่จิตที่เป็น
กุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ. อกุศลจิต 10 ดวงที่เหลือ ไม่เข้าบทต้น ไม่
เข้าบทหลัง. บทว่า จิตมีโมหะ ได้แก่จิต 2 ดวง คือ จิตที่เกิดพร้อมด้วย

วิจิกิจฉาดวง 1 ที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะดวง 1. แต่เพราะโมหะย่อมเกิดได้ใน
อกุศลจิตทั้งหมด ฉะนั้น แม้อกุศลจิตที่เหลือ ก็ควรได้ในบทว่าจิตมีโมหะนี้
โดยแท้. จริงอยู่ อกุศลจิต 12 (โลภมูล 8 โทสมูล 2 โมหมูล 2) ท่าน
ประมวลไว้ใน ทุกกะ (หมวด 2) นี้เท่านั้น. บทว่า จิตปราศจากโมหะ
ได้แก่จิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ. บทว่า จิตหดหู่ ได้แก่จิตที่
ตกไปในถิ่นมิทธะ. ก็จิตที่ตกไปในถิ่นมิทธะนั้น ชื่อว่า จิตหดหู่ บทว่า
ฟุ้งซ่าน ได้แก่จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะ จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะนั้น
ชื่อว่า จิตฟุ้งซ่าน. บทว่า จิตเป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และ
อรูปาวจร. บทว่า จิตไม่เป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร. บทว่า
สอุตฺตรํ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร. บทว่า อนุตฺตรํ จิต
ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร. แม้ในจิตเหล่านั้น
จิตที่ชื่อว่า สอุตตระ ได้แก่จิตเป็นรูปาวจร จิตชื่อว่า อนุตตระ ได้แก่ จิตที่เป็น
อรูปาวจร. บทว่า สุมาหิตํ จิตตั้งมั่นแล้ว ได้แก่อัปปนาสมาธิหรืออุปจาร
สมาธิ. บทว่า อสมาหิตํ จิตไม่ตั้งมั่น ได้แก่จิตที่เว้นจากสมาธิทั้งสอง บทว่า
วิมุตฺตํ จิตหลุดพ้น ได้แก่จิตหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ.
บทว่า อวิมุตฺติ จิตไม่หลุดพ้น ได้แก่จิตที่เว้นจากวิมุตติทั้งสอง. ส่วนสมุจ-
เฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ ไม่มีโอกาสในบทนี้เลย.

จิตในจิตนอก



คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า ภิกษุโยคาวจร
กำหนดจิตที่เป็นไปในสมัยใด ๆ ด้วยการกำหนดจิตมีราคะเป็นต้น อย่างนี้
ชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตของตน หรือในจิตของคนอื่น ในจิตของตน
ตามกาล หรือในจิตของคนอื่นตามกาลอยู่. ก็ในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม

คือความเกิดนี้ พึงนำความเกิดและความเสื่อมแห่งวิญญาณออกเทียบเคียงด้วย
อาการอย่างละ 5 ว่า เพราะเกิดอวิชชา วิญญาณ จึงเกิดดังนี้เป็นต้น. ข้อต่อ
ไปจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วแล.

สติกำหนดจิตเป็นอริยสัจ 4



แต่ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียว คือพึง
ประกอบความว่า สติที่กำหนดจิตเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้เป็นต้น
แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดจิตเป็น
อารมณ์. คำที่เหลือ ก็เช่นเดียวกันนั่นแล.
จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 16 วิธี อย่าง
นี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสธัมมานุปัสสนา 5 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานปัสสนา เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานล้วน
ด้วยกายานุปัสสนา ตรัสการกำหนดอรูปกัมมัฏฐานล้วน ๆ ด้วยเวทนานุปัสสนา
และจิตตานุปัสสนา. บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานกับ อรูปกัมมัฏ-
ฐานผสมกัน จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนา
เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสการกำหนดรูปขันธ์ด้วยกายานุปัสสนา
ตรัสการกำหนดเวทนาขันธ์ด้วยเวทนานุปัสสนา ตรัสการกำหนดวิญญาณขันธ์

ด้วยจิตตานุปัสสนา. บัดนี้ เพื่อจะตรัสแม้การกำหนดสัญญาขันธ์ และ
สังขารขันธ์ จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนา
เป็นอย่างไรเล่าเป็นต้น.

นีวรณบรรพ



บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ มีอยู่ คืออยู่พร้อมด้วยอำนาจฟุ้ง
ขึ้นเนือง ๆ. บทว่า อสนฺตํ ไม่มีอยู่คือไม่มีอยู่พร้อม เพราะไม่ฟุ้งขึ้น หรือ
เพราะละได้แล้ว. บทว่า ก็โดยประการใด ความว่า กามฉันท์เกิดขึ้น
เพราะเหตุใด. บทว่า ตญฺจ ปชานาติ ก็รู้ชัดประการนั้น คือรู้ชัดเหตุนั้น.
ทุก ๆ บท พึงทราบความโดยนัยนี้นี่แล.

เหตุเกิดกามฉันท์



ในนิมิตทั้งสองนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้นเพราะมนสิการโดยไม่แยบคาย
ในสุภนิมิต. สิ่งที่งามก็ดี อารมณ์ที่งามก็ดี ชื่อว่าสุภนิมิต. การใส่ใจโดยไม่มีอุบาย
การใส่ใจนอกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข
ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่า อโยนิโสมนสิการ
(การใส่ใจโดยไม่แยบคาย). เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมาก ๆ
ในสุภนิมิตนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุภนิมิต
มีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร เพื่อความ
เกิดขึ้นแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำให้กามฉันท์ที่เกิดแล้วให้กำเริบ
ยิ่งขึ้นดังนี้.

เหตุละกามฉันท์



ส่วนกามฉันท์นั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดย
แยบคาย) ในอสุภนิมิต. สิ่งที่ไม่งามก็ดี อารมณ์ที่ไม่งามก็ดี. ชื่อว่า อสุภนิมิต.
การใส่ใจโดยอุบาย การใส่ใจถูกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าทุกข์ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าไม่ใช่ตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่
งาม ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมาก ๆ
ในอสุภนิมิตนั้น ย่อมละกามฉันท์เสียได้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสุภนิมิต
มีอยู่ การทำให้มาก ๆ ซึ่งโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร เพื่อ
ความไม่เกิดแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละกามฉันท์ที่เกิดแล้ว.

ธรรมสำหรับละกามฉันท์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ คือ 1.
การถืออสุภนิมิตเป็นอารมณ์ 2. การประกอบเนือง ๆ ซึ่งอสุภภาวนา 3. การ
รักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย 4. ความรู้จักประมาณในโภชนะ 5. ความมี
กัลยาณมิตร 6. พูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ (เป็นที่สบาย). จริงอยู่ เมื่อภิกษุ
กำหนดอสุภนิมิต 10 อย่างอยู่ ก็ละกามฉันท์ได้. เมื่อเจริญอสุภ 10 ก็ดี เมื่อ
ปิดทวารในอินทรีย์ทั้งหลายก็ดี รู้จักประมาณในโภชนะ เพราะเมื่อมีโอกาสจะ
บริโภค 4-5 คำมีอยู่ ก็ดื่มน้ำ ยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ก็ย่อมละกามฉันท์ได้.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ (ในขุททกนิกาย เถรคาถา) ว่า
จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป อภุตฺวา ปิเว
อลํ ผาสุวิหาราย ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน

ภิกษุพึงเว้นคำข้าวเสีย 4-5 คำ เลิก
ฉัน แล้วดื่มน้ำเสีย นี้เป็นข้อปฏิบัติอัน
สมควรสำหรับภิกษุผู้มีตนอันส่งไปแล้ว.

แม้ภิกษุผู้เสพกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นผู้ยินดี ในการเจริญอสุภ เช่น
พระติสสเถระ ผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐาน ก็ย่อมละกามฉันท์ได้. แม้ด้วยการเจรจา
ปรารภเรื่องเป็นที่สบาย อันอาศัยอสุภ 10 ในอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น ก็ย่อม
ละกามฉันท์ได้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไป
เพื่อละกามฉันท์ดังนี้. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็กามฉันท์ที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม
6 ประการนี้ ย่อมไม่เกิดอีกต่อไปด้วยอรหัตมรรค.

เหตุเกิดพยาบาท



ส่วนพยาบาท ย่อมเกิด เพราะอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิต. ปฏิฆะ
(ความขุ่นใจ) ก็ดี อารมณ์อันช่วยให้เกิดปฏิฆะก็ดี ชื่อว่า ปฏิฆนิมิต ในคำว่า
ปฏิฆนิมิต เป็นต้นนั้น. อโยนิโสมนสิการ มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน ในธรรม
ทั้งปวง. เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ใน (ปฏิฆะ) นิมิตนั้น
พยาบาทย่อมเกิด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การไม่ทำให้มากซึ่ง
โยนิโสมนสิการ ในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งพยาบาทที่ยัง
ไม่เกิด หรือเพื่อทำให้พยาบาทที่เกิดแล้ว กำเริบเสิบสานขึ้นดังนี้ .

เหตุละพยาบาท



แต่พยาบาทนั้น จะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคาย ในเมตตาเจโต-
วิมุตติ. ในคำว่า เมตตาเจโตวิมุตินั้น เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนา

ทั้งอุปจาระ. บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมีลักษณะ
ดังกล่าวแล้ว. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตติ
นั้น ย่อมละพยาบาทได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ (ในสังยุต-
กายมหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติมีอยู่ การทำให้
มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิด
แห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้วดังนี้.

ธรรมสำหรับละพยาบาท



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไป เพื่อละพยาบาท คือ 1.
การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์ 2. การประกอบเนือง ๆ ซึ่งเมตตาภาวนา
3. การพิจารณาถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของ ๆ ตน 4. การทำให้มากซึ่งการ
พิจารณา 5. ความมีกัลยาณมิตร 6. การพูดแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.
จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุกำหนดเมตตากัมมัฏฐาน ด้วยการแผ่เมตตาไปทั่ว
ทิศโดยเจาะจงหรือไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้. เมื่อภิกษุ
เจริญเมตตา โดยแผ่ไปทั่วทิศโดยเจาะจง ไม่เจาะจงก็ดี เมื่อพิจารณาถึงความ
ที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของ ๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านโกรธคนนั้น จะทำอะไร
เขาได้ ท่านอาจจักทำศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศได้หรือ ท่านมาแล้วด้วยกรรม
ของตน จักไปด้วยกรรมของตนนั่นแล ขึ้นชื่อว่าการโกรธผู้อื่น ก็เป็นเช่น
เดียวกับผู้ปรารถนาจะจับถ่านไฟที่คุโชน ซี่เหล็กอันร้อนจัดและอุจจาระเป็นต้น
ประหารผู้อื่นฉะนั้น หรือถึงคนนั้นโกรธท่าน จักทำอะไรได้ เขาจักอาจทำศีล
เป็นต้นของท่านให้พินาศได้หรือ เขามาด้วยกรรมของตนก็จักไปตามกรรมของ
เขานั่นแหละ ความโกรธนั้นจักตกลงบนกระหม่อมของเขานั่นเอง เหมือนประหาร

ผู้ไม่ประหารตอบ และเหมือนนำธุลีซัดไปในที่ทวนลมฉะนั้นดังนี้ก็ดี เมื่อ
พิจารณากัมมัสสกตาทั้งสองหยุดอยู่ในการพิจารณาก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ยินดีใน
การเจริญเมตตา เช่น ท่านพระอัสสคุตตเถระก็ดี ย่อมละพยาบาทได้. แม้ด้วย
การเจรจาเรื่องที่เป็นที่สบายซึ่งอาศัยเมตตา ในอิริยาบถทั้งหลายมียืน นั่ง เป็นต้น
ก็ละพยาบาทได้. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไป
เพื่อละพยาบาทดังนี้. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็พยาบาทที่ละได้แล้วด้วยธรรม 6
ประการนี้ ย่อมไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค.

เหตุเกิดถีนมิทธะ



ถีนมิทธะ ย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย มี อรติ
เป็นต้น ความไม่ยินดีด้วยกับเขา (ริษยา) ชื่อว่า อรติ. ความคร้านกายชื่อว่า
ตันที. ความบิดกาย (บิดขี้เกียจ) ชื่อว่า วิชัมภิตา. ความมึนเพราะอาหาร
ความกระวนกระวายเพราะอาหารชื่อว่า ภัตตสัมมทะ. อาการ คือ ความย่อหย่อน
แห่งจิต ชื่อว่าความย่อหย่อนแห่งจิต. เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไป
มาก ๆ ในอรติ เป็นต้นนี้ ถีนมิทธะย่อมเกิด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสไว้ ( ในสังยุตตนิกายมหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่
ยินดี ความคร้านกาย ความบิดกาย ความเมาอาหาร ความหดหู่แห่งจิตมีอยู่
การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านี้ นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิด
แห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำถีนมิทธะที่เกิดแล้วให้กำเริบเสิบสาน
ยิ่งขึ้นดังนี้.

เหตุละถีนมิทธะ



แต่ถีนมิทธะนั้น จะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลายมี
อารภธาตุเป็นต้น. ความเพียรเริ่มแรก ชื่อว่าอารภธาตุ. ความเพียรที่มีกำลังกว่า

อารภธาตุนั้น เพราะออกไปพ้นจากความเกียจคร้านแล้ว ชื่อว่านิกกมธาตุ-
ความเพียรที่มีกำลังยิ่งกว่านิกกมธาตุแม้นั้น เพราะล่วงฐานอื่น ๆ ชื่อว่า
ปรักกมธาตุ (ก้าวไปข้างหน้า. บากบั่น). เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไป
มาก ๆ ในความเพียร 3 ประเภทนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธาตุคือความเริ่มความเพียร ธาตุคือความออกพ้นไปจากความเกียจคร้าน ธาตุ
คือความก้าวไปข้างหน้ามีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโมนสิการ ในธาตุเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละถีนมิทธะ
ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมสำหรับละถีนมิทธะ



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ
1. การกำหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกิน 2. การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ 3. การ
ใส่ใจถึงอาโลกสัญญา (คือความสำคัญว่าสว่าง ๆ) 4. การอยู่กลางแจ้ง
5. ความมีกัลยาณมิตร 6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย
เพราะว่า เมื่อภิกษุบริโภคโภชนะ เหมือนพราหมณ์ที่ชื่ออาหารหัตถกะ
ที่ชื่อตัตรวัฏฏกะ ที่ชื่ออลังสาฏกะ ที่ชื่อกากมาสกะ และที่ชื่อภุตตวมิตกะ นั่งใน
ที่พักกลางคืน และ ที่พักกลางวัน กระทำสมณธรรมอยู่ ถีนมิทธะย่อมมา
ท่วมทับได้เหมือนช้างใหญ่ แต่ถีนมิทธะนั้นจะไม่มีแก่ภิกษุที่เว้นโอกาสบริโภค
4- 5 คำแล้ว ดื่มน้ำดื่มยังอัตตภาพให้เป็นไปเป็นปกติ เพราะเหตุนั้น เมื่อ
ภิกษุกำหนดนิมิต ในโภชนะส่วนเกินอย่างนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้ เมื่อภิกษุเข้าสู่
ถีนมิทธะในอิริยาบถใด เปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่น จากอิริยาบถนั้นเสียก็
ละถีนมิทธะได้. เมื่อภิกษุใส่ใจแสงจันทร์ แสงประทีป แสงคบเพลิง ในเวลา

กลางคืน แสงอาทิตย์เวลากลางวันก็ดี อยู่ในที่กลางแจ้งก็ดี เสพกัลยาณมิตร
ผู้ละถีนมิทธะได้เช่นท่านพระมหากัสสปเถระก็ดีก็ ละถีนมิทธะได้. แม้ด้วยการ
เจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย ที่อาศัยธุดงค์ในอิริยาบถทั้งหลาย มียืน นั่งเป็นต้น
ก็ละถีนมิทธะได้. เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการนี้ ย่อมเป็น
ไปเพื่อละถีนมิทธะ. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะที่ละได้ด้วยธรรม 6 ประการ
จะไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตมรรคดังนี้.

เหตุเกิดอุทธัจจกุกกุจจะ



อุทธัจจกุกกุจจะ ย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบ
แห่งใจ. อาการที่ไม่สงบ ชื่อว่าความไม่สงบ. คำนี้โดยอรรถก็คือ อุทธัจจกุกกุจจะ
นั่นเอง. เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆในความไม่สงบแห่งใจนั้น
อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิด. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ใน
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งใจ
มีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบแห่งใจนั้น นี้เป็น
อาหารเพื่อความเกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำอุทธัจจกุกกุจจะ
ที่เกิดแล้ว ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้.

เหตุละอุทธัจจกุกกุจจะ



แต่อุทธัจจกุกกุจจะนั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในความสงบ
แห่งใจ กล่าวคือ สมาธิ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ใน
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงบแห่งใจมีอยู่
การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในความสงบแห่งใจนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อ
ความไม่เกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิด
แล้วดังนี้.

ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจะ



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ
คือ 1. ความสดับมาก 2. ความสอบถาม 3. ความชำนาญในวินัย 4. ความ
คบผู้เจริญ 5. ความมีกัลยาณมิตร 6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.
จริงอยู่ เมื่อภิกษุแม้ร่ำเรียน ทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-
สาม-สี่ นิกาย หรือ 5 นิกาย ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. แม้ด้วยความเป็น
พหูสูต (พาหุสัจจะ ความเป็นผู้สดับมาก). ภิกษุผู้มากด้วยการสอบถามสิ่งที่
ควร และไม่ควรก็ดี ผู้ชำนาญ เพราะมีความชำนาญอันสั่งสมไว้ในวินัยบัญญัติ
ก็ดี ผู้เข้าหาพระเถระผู้แก่ ผู้เฒ่าก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัย เช่น ท่าน
พระอุบาลีเถระก็ดี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. แม้ด้วยการเจรจา แต่เรื่องที่
เป็นที่สบาย อันอาศัยสิ่งที่ควร และไม่ควร ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง
เป็นต้น ก็ละอุทธัจจกุกกุจจะได้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการ
นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า เมี่ออุทธัจจกุกกุจจะ
ละได้แล้วด้วยธรรม 6 ประการนี้ อุทธัจจะ จะไม่เกิดต่อไปด้วย อรหัตมรรค
กุกกุจจะ ไม่เกิดต่อไปด้วย อนาคามิมรรค.

เหตุเกิดวิจิกิจฉา



วิจิกิจฉา ย่อมเกิดได้ด้วยอโยนิโสมนสิการ ในธรรมทั้งหลาย อันเป็น
ที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา. ความเคลือบแคลง เพราะเป็นเหตุแห่งความสงสัยบ่อย ๆ
ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา. เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมาก ๆ
ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น วิจิกิจฉาย่อมเกิด. เพราะเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรม

เป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด
หรือเพื่อทำวิจิกิจฉาที่เกิดแล้ว ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นดังนี้.

เหตุละวิจิกิจฉา



แต่วิจิกิจฉานั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมมีกุศล
เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล ธรรมที่มีโทษ
ไม่มีโทษ ธรรมที่ควรเสพ ไม่ควรเสพ ธรรมที่ทรามประณีต ธรรมที่เทียบ
ด้วยของดำ ของขาว มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด หรือ เพื่อละวิจิกิจฉา
ที่เกิดแล้วดังนี้.

ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา คือ 1.
ความสดับมาก 2. ความสอบถาม 3. ความชำนาญในวินัย 4. ความมากด้วย
ความน้อมใจเชื่อ 5. ความมีกัลยาณมิตร 6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.
จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุร่ำเรียนทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-
สาม-สี่ หรือ ห้า นิกาย ย่อมละ วิจิกิจฉาได้ ด้วยความเป็นพหูสูต. เมื่อภิกษุ
มากด้วยการปรารภพระรัตนตรัย สอบถามก็ดี มีความชำนาญอันสั่งสมไว้ใน
วินัยก็ดี มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือศรัทธาที่ยังกำเริบได้ในพระ-
รัตนตรัยก็ดี คบกัลยาณมิตร เช่นท่านพระวักกลี ผู้น้อมใจไปในศรัทธาก็ดี
ย่อมละวิจิกิจฉาได้. แม้ด้วยการเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย อันอาศัยคุณของ
พระรัตนตรัย ในอิริยาบถทั้งหลาย มียืนนั่ง เป็นต้น ก็ละวิจิกิจฉาได้. เพราะ

เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา. ภิกษุ
ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาที่ละได้ด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เกิดต่อไป ด้วยโสดา-
บัติมรรค ดังนี้.
คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมทั้งหลายของตน ในธรรมทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลาย
ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลด้วยการกำหนดนิวรณ์ 5 อย่างนี้อยู่. ก็ความ
เกิดและความเสื่อม ในคำว่าพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อม
นี้ ที่กล่าวแล้วในนีวรณ์ 5 ด้วยอำนาจ อโยนิโสมนสิการ และ โยนิโสมนสิการ
ในสุภนิมิต และอสุภนิมิต เป็นต้น บัณฑิตพึงนำมาเทียบเคียง. ข้อต่อไปนี้
ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั้นแล.

สติกำหนดนีวรณ์เป็นอริยสัจ 4



แต่ในนีวรณบรรพนี้ มีต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความว่า
สติอันกำหนดนีวรณ์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ พึงทราบว่าเป็นทางปฏิบัตินำ
ออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดนีวรณ์ เป็นอารมณ์. คำที่เหลือก็เช่นนั้น
นั่นแล.
จบนีวรณบรรพ

ขันธบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนา โดยนีวรณ์ 5
อย่างนี้ บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยขันธ์ 5 จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อ
หนึ่งเป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ในอุปาทานขันธ์ 5 คือกองอุปาทาน ชื่อ
ว่า อุปาทานขันธ์ อธิบายว่า กลุ่มธรรม คือกองธรรม อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน.
ความสังเขปในที่นี้มีเท่านี้ ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้ว ในขันธกถา ใน
คัมภีร์วิสุทธิมรรค. บทว่า อิติ รูปํ ดังนี้ รูป ความว่า นี้รูป รูปมีเท่านี้. ภิกษุย่อม
รู้ชัดรูปโดยสภาพว่า รูปอื่นนอกจากนี้ไม่มี ดังนี้. แม้ในเวทนา เป็นต้น ก็นัยนี้
เหมือนกัน. ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนรูปเป็นต้น ท่านกล่าวไว้
แล้วในขันธกถา ในคัมภีร์สุทธิมรรคโดยพิสดาร. บทว่า อิติ รูปสฺส สมุทโย
นี้ความเกิดแห่งรูป ความว่า ความเกิดแห่งรูปด้วยอาการ 5 โดยความ
เกิดแห่ง อวิชชา เป็นต้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ . คำว่า อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโม
ความดับแห่งรูป ความว่า ความดับแห่งรูปด้วยอาการ 5 โดยดับ อวิชชาเป็น
ต้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. ความ
สังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในอุทยัพ-
พยญาณกถาในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมทั้งหลาย ของตน ในธรรมทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลาย ของ
ตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดขันธ์ 5 อย่างนี้อยู่. ก็ความ
เกิดและความเสื่อมในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด และความเสื่อม
บัณฑิตพึงนำมาเทียบเคียงโดยลักษณะ 50 ที่กล่าวไว้ในขันธ์ 5 ว่า เพราะ
อวิชชาเกิด รูปจึงเกิดดังนี้เป็นต้น. คำอื่นนอกจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดขันธ์ 5 เป็นอริยสัจ 4



แต่ในที่นี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติ
กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้ แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัติ

นำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์. คำที่เหลือก็เช่นนั้น
เหมือนกัน
จบขันธบรรพ

อายตนบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาด้วยอำนาจขันธ์ 5
อย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงจำแนก โดยอายตนะ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีก
ข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ ใน
อายตนะภายใน และภายนอก 6 ความว่า ในอายตนะภายใน 6 เหล่านี้ คือ ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ในอายตนะภายนอก 6 เหล่านี้คือรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์. บทว่า จกฺขุญฺจ ปชานาติ รู้ชัดจักษุ ความว่า ย่อมรู้
ชัดจักษุประสาท โดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง. บทว่า รูเป จ
ปชานาติ
รู้ชัดรูป ความว่า ย่อมรู้ชัดรูปอันเกิดแต่ 4 สมุฏฐาน (กรรม อุตุ จิต
อาหาร) ในภายนอกโดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง. คำว่า ยญฺจ ตทุภยํ
ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สํโยชนํ
สังโยชน์ ย่อมอาศัย อายตนะทั้งสองเกิดขึ้น ความ
ว่า สังโยชน์ 10 อย่าง คือ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรมาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ และ อวิชชา สังโยชน์ เกิดขึ้น เพราะ
อาศัยอายตนะทั้งสอง คือจักษุ กับรูป. และย่อมรู้ชัดสังโยชน์ 10 นั้น โดย
ลักษณะพร้อมด้วยกิจตามเป็นจริง.

เหตุเกิดสังโยชน์



ถามว่า ก็สังโยชน์นั้นเกิดได้อย่างไร. ตอบว่า เกิดได้อย่างนี้ จะกล่าว
ในจักษุทวารก่อน เมื่อบุคคลยินดี. เพลิดเพลินอิฏฐารมณ์ อันมาปรากฏทางจักษุ

ทวารโดยความยินดีในกาม สังโยชน์คือ กามราคะ ก็เกิด. เมื่อบุคคลขัดเคือง ใน
อนิฏฐารมณ์ สังโยชน์ คือปฏิฆะ ก็เกิด. เมื่อสำคัญว่า ยกเว้นเราเสีย ใครอื่น
ที่สามารถเสวยอารมณ์นั้นไม่มี ดังนี้ สังโยชน์ คือมานะ ก็เกิด. เมื่อยึดถือ
รูปารมณ์นั้นว่า เที่ยง ยั่งยืน สังโยชน์คือ ทิฏฐิ ก็เกิด. เมื่อสงสัยรูปารมณ์นั้น
ว่า สัตว์หรือหนอ ของสัตว์ หรือหนอ สังโยชน์ คือวิจิกิจฉา ก็เกิด เมื่อ
ปรารถนาภพว่า อารมณ์นี้เราได้โดยง่าย ในสมบัติภพแน่ สังโยชน์คือ ภวราคะ
ก็เกิด. เมื่อถือมั่นศีลและพรตว่า เราถือมั่นศีลและพรต อาจได้อารมณ์เห็นปาน
นี้ต่อไปอีก สังโยชน์คือ สีลัพพตปรามาสก็เกิด. เมื่อเกียดกันอยู่ว่า คนเหล่าอื่น
ไม่พึงได้รูปารมณ์เห็นปานนี้กันเลย สังโยชน์คือ อิสสา ก็เกิด. เมื่อหวงแหน
รูปารมณ์ที่ตนได้แล้ว ต่อผู้อื่น สังโยชน์ คือมัจฉริยะ ก็เกิด เมื่อไม่รู้แจ้ง ด้วย
อำนาจ ความไม่รู้สิ่งซึ่งเกิดพร้อมกับจักษุและรูปทั้งมวล สังโยชน์ คืออวิชชาก็
เกิด.

ความรู้เหตุละสังโยชน์



คำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺนสส ที่ยังไม่เกิดด้วยเหตุใด ความว่า สังโยชน์
แม้ 10 อย่างนั้น ที่ยังไม่เกิด โดยความไม่ฟุ้งขึ้น ย่อมเกิดเพราะเหตุใด ย่อม
รู้ชัดเหตุนั้นด้วย. คำว่า ยถา จ อุปฺปนฺนสฺส ที่เกิดแล้วเพราะเหตุใด
ความว่า สังโยชน์แม้ 10 อย่างนั้น ที่เกิดแล้ว เพราะอรรถว่า ยังละไม่ได้
หรือเพราะฟุ้งขึ้น ย่อมละได้ เพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย.
คำว่า ยถา จ ปหีนสฺส ที่ละได้แล้ว เพราะเหตุใด ความว่าสังโยชน์
10 อย่างนั้นแม้ละได้แล้ว โดยตทังคปหาน และ วิกขัมภนปหาน ย่อม
ไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย. ถามว่า สังโยชน์ 10 นั้น

ไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด. ตอบว่า ก่อนอื่น สังโยชน์ 5 คือทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส อิสสา และ มัจฉริยะ ไม่เกิดต่อไป ด้วยโสดาปัตติมรรค.
สังโยชน์ 2 คือ กามราคะ ปฏิฆะ อย่างหยาบ ไม่เกิดต่อไปด้วย สกทาคามิมรรค.
อย่างละเอียด ไม่เกิดต่อไป ด้วยอนาคามิมรรค. สังโยชน์ 3 คือ มานะ
ภวราคะ และ อวิชชา ไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตตมรรค. แม้ในคำว่า โสตญฺ จ
ปชานาติ สทฺเท จ
ย่อมรู้ชัดโสตะนั้นด้วย เสียงด้วยเป็นต้น ก็นัยนี้
เหมือนกัน. อนึ่ง อายตนกถา ในที่นี้ พึงทราบโดยพิสดาร ตามนัยที่ท่าน
กล่าวไว้แล้ว ในอายตนนิทเทส คัมภีร์วิสุทธิมรรค.
คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรม
ในธรรมทั้งหลาย ของตนด้วยการกำหนดอายตนะภายใน ในธรรมทั้งหลาย
ของคนอื่น ด้วยการกำหนดอายตนะภายนอก หรือ ในธรรมทั้งหลาย
ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล อย่างนี้อยู่. ก็ความเกิดและความเสื่อมใน
อายตนบรรพนี้ พึงนำมาเทียบรูปายตนะลงในรูปขันธ์ มนายตนะในอรูปายตนะ
ทั้งหลายลงในวิญญาณขันธ์ ธัมมายตนะลงในขันธ์ที่เหลือ ไม่พึงถือว่า โลกุตตร-
ธรรม. ข้อความต่อจากนี้ มีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดอายตนะเป็นอริยสัจ 4



ในบรรพนี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความอย่างนี้ว่า
สติกำหนดอายตนะเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้ เป็นต้นแล้ว พึงทราบว่า
เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกไป ของภิกษุผู้กำหนด อายตนะเป็นอารมณ์. คำที่
เหลือก็เช่นกันแล.
จบอายตนบรรพ

โพชฌงคบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนา โดยอายตนะ
ภายใน ภายนอก อย่างละ 6 อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนก โดย
โพชฌงค์ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในโพชฌงค์ทั้งหลาย คือในองค์ ของ
สัตว์ผู้ตรัสรู้. บทว่า มีอยู่ คือมีพร้อมอยู่ โดยการได้มา. บทว่า สติสัม-
โพชฌงค์
ได้แก่ สัมโพชฌงค์ กล่าวคือ สติ. พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า
สัมโพชฌงค์นี้ดังนี้ พระโยคาวจร ตรัสรู้ จำเดิมแต่เริ่มวิปัสสนา หรือพระ-
โยคาวจรนั้น ตื่นลุกขึ้นจากกิเลสนิทรา หรือแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยธรรม
สามัคคี 7 มีสติ เป็นต้น อันใด ธรรมสามัคคี อันนั้น ชื่อว่าสัมโพธิ องค์
ของผู้ตื่นนั้น หรือธรรมสามัคคีเครื่องปลุกให้ตื่นนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า
สัมโพชฌงค์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมโพชฌงค์กล่าวคือ สติ. แม้
ในสัมโพชฌงค์ที่เหลือ ก็พึงทราบความแห่งคำตามนัยนี้แล. บทว่า ไม่มีอยู่
คือ ไม่มีเพราะไม่ได้มา.
วินิจฉัย ในคำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส ที่ยังไม่เกิด เพราะ
เหตุใดเป็นต้น ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาใน
บาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสติสัม-
โพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งสติสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือ
เป็นทางไพบูลย์ จำเริญบริบูรณ์ ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแห่งสติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดแล้ว ใน
ธรรมเหล่านั้น สตินั้นแหละชื่อว่าธรรม เป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์. โยนิ-
โสมนสิการมีลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแล. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้น
ให้เป็นไปมาก ๆ ในอารมณ์นี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ก็เกิด.

ธรรมเป็นเหตุเกิดสติสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 4 ประการ เป็นทางเกิดสติสัมโพชฌงค์ คือ
1. สติสัมปชัญญะ 2. การเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม 3. การคบหาบุคคลผู้มี
สติมั่นคง 4. ความน้อมจิตไปในสติสัมโพชฌงค์นั้น.
ก็สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด ด้วยสติสัมปชัญญะในฐานทั้ง 7 มีก้าวไป
ข้างหน้าเป็นต้น ด้วยการงดเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม เช่นเดียวกับกาตัวเก็บ
อาหาร ด้วยการคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง เช่นเดียวกับพระติสสทัตตเถระ และ
พระอภัยเถระเป็นต้น และด้วยความเป็นผู้มีจิตโน้มน้อมไปเพื่อตั้งสติในอิริยาบถ
ทั้งหลายมี ยืน นั่ง เป็นต้น. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่าก็สติสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้ว
ด้วยเหตุ 4 ประการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

เหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์



ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลีอย่างนี้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ ธรรมที่เปรียบด้วยธรรมฝ่าย
ดำ และฝ่ายขาวมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็น
อาหารเพื่อความเกิดแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์
เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 7 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ 1. การสอบถาม 2. การทำวัตถุให้สละสลวย 3. การ
ปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกัน 4. เว้นบุคคลมีปัญญาทราม 5. คบหาบุคคล

ผู้มีปัญญา 6. พิจารณาสอดส่องด้วยปัญญา อันลึกซึง 7. ความน้อมจิตไปใน
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น.
บรรดาธรรม 7 ประการนั้น ความเป็นผู้มากไปด้วยการสอบถาม อัน
อาศัยอรรถแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์มรรค
องค์ฌาน สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าการสอบถาม.
การทำวัตถุภายใน และภายนอกให้สละสลวย ชื่อว่าการทำวัตถุให้
สละสลวย. ก็เวลาใด ภิกษุมีผม เล็บ และขนยาวเกินไป หรือร่างกาย สกปรก
เปรอะเปื้อนด้วยเหงื่อและไคล เวลานั้น วัตถุภายใน (คือร่างกาย) ไม่สละสลวย
ไม่สะอาด. แต่ในเวลาใด จีวรเก่าคร่ำคร่า สกปรก เหม็นสาบ หรือเสนาสนะ
รกรุงรัง ในเวลานั้น วัตถุภายนอกไม่สละสลวย ไม่สะอาด. เพราะฉะนั้น จึง
ควรทำวัตถุภายในให้สละสลวย ด้วยกิจมีการปลงผมเป็นต้น ด้วยการทำร่างกาย
ให้เบาสบาย ด้วยกิจมีการถ่ายชำระมลทิน ให้ทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเป็นต้น
และด้วยการขัดสี อาบน้ำบรรเทากลิ่นเหม็น. พึงทำวัตถุ ภายนอกให้สละสลวย
ด้วยกิจมีการเย็บ ย้อม ซักจีวร และทำการรมบาตรเป็นต้น. เพราะเมื่อวัตถุ
ภายใน และภายนอกนั้นไม่สละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ไม่
ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยตัวตะเกียงไส้
และน้ำมันที่ไม่สะอาดหมดจดฉะนั้น แต่เมื่อวัตถุภายใน และภายนอกสละสลวย
เมื่อจิต และ เจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวง
ประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตัวตะเกียง ไส้ และน้ำมัน ที่สะอาดหมดจด
ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การทำวัตถุให้สละสลวย ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ดังนี้.

การทำปรับปรุงอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น ให้สม่ำเสมอกัน ชื่อว่า การ
ทำปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ. ด้วยว่า ถ้าอินทรีย์ คือศรัทธาของเธอมีกำลัง
กล้า อินทรีย์นอกนี้อ่อน แต่นั้นอินทรีย์คือวิริยะ ก็ไม่อาจทำกิจ คือการ
ประคองจิตได้ อินทรีย์ คือสติก็ไม่อาจทำกิจ คือการปรากฏ อินทรีย์คือสมาธิ
ก็ไม่อาจทำกิจ คือความไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์คือปัญญาก็ไม่อาจทำกิจ คือการเห็น
ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมนสิการถึงอินทรีย์ คือศรัทธานั้น ด้วยการพิจารณา
สภาวธรรม หรือโดยประการใด อินทรีย์คือศรัทธามีกำลังกล้า พึงลดลงด้วย
การไม่มนสิการโดยประการนั้น. ในข้อนี้ มีเรื่องท่านพระวักกลิเถระ เป็น
อุทาหรณ์. ถ้าอินทรีย์คือวิริยะมีกำลังกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้น อินทรีย์คือศรัทธา
ก็ไม่อาจทำกิจ คือการน้อมใจเชื่อได้ อินทรีย์นอกนี้ ก็ไม่อาจทำกิจคือหน้าที่
ต่าง ๆ ของตนได้ เพราะฉะนั้น จึงควรลดอินทรีย์คือวิริยะนั้นลง ด้วยการ
เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นต้น. แม้ในข้อนั้น พึงแสดงเรื่องท่านพระโสณ-
เถระเป็นอุทาหรณ์. แม้ในอินทรีย์ที่เหลือก็เหมือนกัน เมื่ออินทรีย์อย่างหนึ่ง
มีกำลังกล้า ก็พึงทราบว่า อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่สามารถในกิจ คือหน้าที่ของตน
ได้. แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องอินทรีย์นี้ ท่านสรรเสริญ ศรัทธา กับ
ปัญญา และสมาธิ กับ วิริยะ ต้องเสมอกัน. เพราะผู้มีศรัทธากล้า แต่มีปัญญา
อ่อน มีความเลื่อมใสแรง ย่อมเลื่อมใสไปนอกเรื่อง. มีปัญญากล้า แต่มีศรัทธา
อ่อน ย่อมฝักใฝ่ไปข้างเกเร เหมือนโรคเกิดเพราะผิดยา แก้ไขไม่ได้ฉะนั้น.
ผู้มีปัญญากล้า ก็โลดแล่นเขวไปว่า กุศลมิได้ด้วยเพียงจิตตุปบาทใจคิดขณะ
หนึ่งเท่านั้น ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทำบุญ มีทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก. เพราะ
อินทรีย์คือศรัทธา กับปัญญาทั้งสองเสมอกัน จึงเลื่อมใสในวัตถุ คือพระ-
รัตนตรัยอย่างเดียว. แต่สมาธิกล้า วิริยะอ่อน โกสัชชะ ความเกียจคร้าน ย่อม
ครอบงำได้ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ. วิริยะกล้า สมาธิอ่อน อุทธัจจะ

ย่อมครอบงำได้ เพราะวิริยะเป็นฝ่ายอุทธัจจะ แต่สมาธิอันวิริยะเข้าประกบไว้
ย่อมไม่ตกไปในโกสัชชะ วิริยะอันสมาธิเข้าประกบไว้ก็ไม่ตกไป ในอุทธัจจะ.
เพราะฉะนั้น จึงควรทำอินทรีย์สองคู่นั้นให้เสมอเท่า ๆ กัน. ด้วยว่า อัปปนา
จะมีได้ ก็เพราะอินทรีย์สองคู่เสมอกัน. อีกอย่างหนึ่ง ศรัทธาแม้มีกำลังกล้าก็
ควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. เพราะผู้เจริญสมาธิ เชื่อมมั่นหยั่งลงมั่นอย่างนี้ จักบรรลุ
อัปปนาได้ ส่วนในสมาธิกับปัญญา เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
มีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. ด้วยว่าผู้เจริญสมาธินั้น ย่อมบรรลุอัปปนา
ได้ ด้วยเอกัคคตาอย่างนี้. ปัญญามีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญวิปัสสนา.
ด้วยว่าผู้เจริญวิปัสสนานั้นย่อมถึงความแทงตลอดไตรลักษณ์ด้วยปัญญาอย่างนี้.
แต่อัปปนาจะมีได้ ก็เพราะศรัทธา กับ ปัญญา ทั้งสองเสมอกันโดยแท้. ส่วน
สติมีกำลังแล้ว ย่อมควรในที่ทั้งปวง. เพราะว่า สติย่อมรักษาจิตมิให้ตกไปใน
อุทธัจจะ ด้วยอำนาจศรัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นฝ่ายอุทธัจจะ มิให้ตก
ไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ. เพราะฉะนั้น สตินั้น จึงจำต้อง
ปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือจำปรารถนาในการปรุงอาหาร
ทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุกอย่าง จำปรารถนาในราชกิจ
ทุกอย่างฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติจำปรารถนาใน
ที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร เพราะจิตมีสติ เป็นที่อาศัยและสติมีการอารักขา เป็น
ที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย.
การเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาหยั่งลงในประเภทแห่งธรรม
มีขันธ์เป็นต้น ให้ห่างไกล ชื่อว่า การงดเว้นบุคคลทรามปัญญา. การคบหา
บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งสภาวธรรม อัน
กำหนดด้วยลักษณะ 50 ถ้วน ชื่อว่า คบหาบุคคลผู้มีปัญญา. การพิจารณา
ประเภทแห่งปัญญาอันลึกซึ้ง ที่เป็นไปในสภาวธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นอัน

ลุ่มลึก ชื่อว่าการพิจารณาสอดส่องด้วยปัญญอันลึกซึ้ง. ความเป็นผู้มีจิตอัน
โน้มน้อมไปเพื่อตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง
เป็นต้น ชื่อว่าความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า
ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วย
อรหัตตมรรค.

วิริยสัมโพชฌงค์



วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิด ตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารภธาตุ (ธาตุคือความเริ่ม
ความเพียร) นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ (ธาตุ คือความเพียรก้าวไปข้างหน้า)
มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุทั้ง 3 นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความ
เกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นไปเพื่อความไพบูลย์เจริญบริบูรณ์
เต็มที่ แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้วดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่ง
วิริยสัมโพชฌงค์ คือ 1. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย 2. การเห็นอานิสงส์
3. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน 4. ความเคารพยำเกรงในบิณฑบาต 5. การ
พิจารณาความเป็นใหญ่แห่งการรับทรัพย์มรดก 6. การพิจารณาความมีพระ-
ศาสดาเป็นใหญ่ 7. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่ 8. การพิจารณาความ
มีสพหมจารีเป็นใหญ่ 9. การงดเว้นบุคคลเกียจคร้าน 10. การคบหาบุคคล
ผู้ปรารภความเพียร 11. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น.

1. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย



บรรดาธรรม 11 ประการนั้น เมื่อภิกษุผู้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ แม้
พิจารณาเห็นภัยในอบายอย่างนี้ว่า ใครๆ ไม่อาจยังวิริยสัมโพชฌงค์ให้เกิดได้
ในเวลาที่เสวยทุกข์ใหญ่จำเดิมแต่ถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำ 5 ประการในนรก
ก็ดี ในเวลาที่ถูกเขาจับด้วยเครื่องจับมี ข่าย แห และอวนเป็นต้นบ้าง ในเวลาขับ
ต้อนทิ่มแทงด้วยเครื่องประหารมีปะฏักเป็นต้น ให้ลากเกวียนบ้าง ในกำเนิด
สัตว์ดิรัจฉานก็ดี ในเวลาที่ทุรนทุรายด้วยความหิวกระหายตั้งหลายพันปีบ้าง
พุทธันดรหนึ่งบ้าง ในเปรตวิสัยก็ดี ในเวลาที่ต้องเสวยทุกข์อันเกิดแต่ลมและ
แดดเป็นต้น ด้วยเรือนร่างที่สูงประมาณ 60 ศอก 80 ศอก เหลือแต่หนังหุ้ม
กระดูก ในจำพวกกาลกัญชิกอสูรก็ดี ดูก่อนภิกษุ เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลา
ทำความเพียรของเธอดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นได้.

2. การเห็นอานิสงส์



เมื่อเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจได้โลกุตตรธรรม 9
คนที่ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ นี้เป็นอานิสงส์ของความเพียร ดังนี้
วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

3. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน



เมื่อพิจารณาวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า ควรดำเนินทางที่พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวกทุกพระองค์ดำเนินไปแล้ว ทางนั้น คน
เกียจคร้านไม่อาจเดินไปได้ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ ก็ย่อมเกิดได้.

4. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต



เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า มนุษย์เหล่าใด
บำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่
ทาส และคนงานของเธอเลย ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น
อันประณีตแก่เธอ ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะ
ที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้
ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข ดังนี้
แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอ โดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ภิกษุ
บริโภคปัจจัยเหล่านี้ บำเพ็ญสมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้ จึง
ทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ ไม่เคารพยำเกรงบิณฑบาต
นั้น ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่า
นั้น ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เกิดได้ เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์ เกิดแก่ท่าน
พระมหามิตตเถระฉะนั้น.

เรื่องพระมหามิตตเถระ



เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อ กสกะ. และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่ง
ในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระเหมือนบุตร. วันหนึ่ง นางจะไปป่า
จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น เวลา
ที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม
เนยใส และน้ำอ้อย ด้วยนะลูก. ลูกสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ.
มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน
(ปาริวาสกภัต) ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี้จ๊ะ. ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทาน
กลางวันไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร

ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก. พระเถระครองจีวรแล้ว กำลังนำบาตร
ออก (จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นแล้ว ก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิกา
รับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม แม้กลางวันก็จักรับประทาน
ข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง นางบอกอาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์
แก่เธอ ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหาร และผ้า เพราะอาศัย
เธอเลย แต่ปรารถนาสมบัติ 3 ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพาน
สมบัติ) จึงถวาย เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือ
ไม่เล่า ดังนี้ ท่านคิดว่า บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะ โทสะ โมหะ อยู่
ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลย
เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่
บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้. ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านาน
เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ
(สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น. เทวดาผู้สิงอยู่
ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
นโม เต ปุริสาชญฺญ นโม เต ปุริสุตฺตม
ยสฺส เต อาสวา ขีณา ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส
ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบ
น้อมท่าน ท่านยอดบุรุษข้าพเจ้าขอนอบน้อม
ท่าน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้น
แล้ว ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณา-
ทาน ดังนี้
แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่น
ท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.

พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่า ยังเช้าอยู่ จึงถือบาตร
และจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน ฝ่ายเด็กหญิง. จัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรง
ประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา.
เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้น ก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหาร
เจือน้ำนม ที่ปรุงด้วยเนยใส และน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ (ของพระเถระ).
พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป. เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่าน
อยู่แล้ว. ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์
ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น.
มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก เด็กหญิงนั้นก็
เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง. มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่ง
บุตรของเราถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธ-
ศาสนา ไม่กระสัน (อยากสึก) แล้วละดังนี้.

5. การพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่



เมื่อพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์มรดกของ
พระศาสดามีมากแล คือ อริยทรัพย์ 7 ประการ ทรัพย์มรดกนั้นผู้เกียจคร้าน
ไม่อาจรับได้ เหมือนอย่างว่ามารดา บิดา ย่อมตัดบุตรผู้ประพฤติผิด ทำให้
เป็นคนภายนอกว่า คนนี้ไม่ใช่ลูกของเรา เมื่อมารดา บิดา ล่วงลับไป เขา
ก็ไม่ได้รับทรัพย์มรดกฉันใด แม้บุคคลผู้เกียจคร้านก็ฉันนั้น ย่อมไม่ได้มรดก
คือ อริยทรัพย์นี้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ย่อมได้รับดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์
ย่อมเกิดได้.

6. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่



เมื่อพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า พระศาสดาของเธอ
เป็นใหญ่ เพราะในเวลาที่พระศาสดาของเธอทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของ
พระมารดาก็ดี เวลาเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ดี เวลาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมา-
สัมโพธิญาณก็ดี เวลาประกาศพระธรรมจักร แสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จลงจาก
เทวโลก และทรงปลงอายุสังขารก็ดี เวลาเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ดี หมื่น-
โลกธาตุก็หวั่นไหวแล้ว เธอบวชในพระศาสนาของศาสดาเห็นปานฉะนั้นแล้ว
เป็นคนเกียจคร้าน ควรแล้วหรือดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

7. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่



เมื่อพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า แม้โดยชาติ บัดนี้ เธอ
ไม่ใช่คนมีชาติต่ำแล้วละ เธอชื่อว่าเกิดแล้วในวงศ์ของพระเจ้าอุกกากราช ที่
สืบทอดกันมาโดยมหาสมมตประเพณี ไม่เจือปนกับชนชาติอื่น เป็นพระนัดดา
ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช และพระนางเจ้ามหามายาเทวี เป็นพระอนุชา
ของท่านพระราหุลพุทธชิโนรส ขึ้นชื่อว่าเธอ เป็นพุทธชินบุตรเห็นปานฉะนี้
แล้ว อยู่อย่างคนเกียจคร้าน ไม่สมควรดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้.

8. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่



เมื่อพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตร
ท่านพระโมคคัลลานะ และ พระสาวกผู้ใหญ่ 80 รูป แทงตลอด (ตรัสรู้)
โลกุตตรธรรม ด้วยความเพียรกันทั้งนั้น เธอจะดำเนินตามทางของสพรหมจารี
เหล่านั้น หรือไม่ดำเนินตามเล่าดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

9. การงดเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน
10. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร
11. ความน้อมจิตไป ในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น
เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ผู้สละความเพียรทางกาย และทางใจ
ซึ่งเป็นเหมือนงูเหลือมกินเต็มท้อง แล้วก็หยุดอยู่กับที่ก็ดี คบหาบุคคล
ผู้ปรารภความเพียร ผู้อุทิศตนมุ่งปฏิบัติธรรมก็ดี มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อ
ให้ความเพียรเกิดขึ้น ในอิริยาบถทั้งหลายมี ยืน นั่ง เป็นต้น ก็ดี วิริยสัม-
โพชฌงค์ย่อมเกิดได้. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดแล้ว ด้วย
อาการอย่างนี้ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

ปีติสัมโพชฌงค์



ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดโดยนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัม-
โพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นอาหาร เพื่อความเกิดแห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์ เต็มที่แห่งปีติสัมโพชฌงค์ ที่เกิด
แล้วดังนี้. ปีตินั้นเองชื่อว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ ในบาลีนั้น.
มนสิการอันยังปีตินั้นให้เกิด ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ.

ธรรมเป็นเหตุเกิดปีติสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นทางเกิด ปีติสัมโพชฌงค์
คือ 1. พุทธานุสสติ 2. ธัมมานุสสติ 3. สังฆานุสสติ 4. สีลานุสสติ
5. จาคานุสสติ 6. เทวานุสสติ 7. อุปสมานุสสติ 8. เว้นบุคคลผู้เศร้าหมอง
9. คบหาบุคคลผู้หมดจด 10. การพิจารณาความในพระสูตร เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเลื่อมใส 11. ความน้อมจิตไปในปีติสัมโพชฌงค์นั้น.

จริงอยู่ ผู้เจริญปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ ปีติสัม-
โพชฌงค์แผ่ซ่านทั่วสรีระจนกระทั่งอุปจารสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น. เมื่อระลึกถึง
คุณพระธรรม และพระสงฆ์ก็ดี พิจารณาปาริสุทธิศีล 4 ที่ตนรักษาไม่ขาดวิ่น
เป็นเวลานานก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาศีล 10 ศีล 5 ก็ดี พิจารณาจาคะ การ
บริจาคว่า ในเวลาประสบทุพภิกขภัยเป็นต้น เราถวายโภชนะอันประณีตแก่
สพรหมจารีทั้งหลาย แล้วถวายโภชนะชื่ออย่างนี้ ดังนี้ก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณา
ถึงทานที่ถวายแก่ท่านผู้มีศีลในเวลาเห็นปานนั้นก็ดี พิจารณาถึงคุณเช่นกับที่
เทวดาประกอบแล้วถึงความเป็นเทวดาว่า มีอยู่ในตนก็ดี พิจารณาเห็นว่า
กิเลสที่ข่มได้แล้วแม้ด้วยสมาบัติตลอด 60 ปีบ้าง 70 ปีบ้าง ไม่ฟุ้งกำเริบ
ดังนี้ก็ดี เว้นบุคคลเศร้าหมองผู้มีความหม่นหมองอันสร้างสมไว้ เพราะไม่ทำ
โดยเคารพ ในเวลาเห็นพระเจดีย์ เห็นโพธิพฤกษ์และเห็นพระเถระ ผู้เป็น
เช่นกับละอองธุลี บนหลังลา เพราะไม่มีความเลื่อมใสรักใคร่ในพระรัตนตรัย
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี ส้องเสพบุคคลผู้หมดจด ผู้มากด้วยควานเลื่อมใสมี
จิตอ่อนโยนในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี พิจารณาความใน
พระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ซึ่งแสดงคุณของพระรัตนตรัยก็ดี มีจิต
โน้มน้อมโอนไป เพื่อให้เกิดปีติ ในอิริยาบถทั้งหลายมี ยืน นั่ง เป็นต้นก็ดี
ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์นั้น ซึ่งเกิดแล้ว
ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตมรรค.

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์



ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดโดยนัยที่มาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายปัสสัทธิ ความสงบกาย

จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในความ
สงบกาย และความสงบจิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิด
แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์
เต็มที่ แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดแล้วดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 7 ประการ ย่อมเป็นทางเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์.
คือ 1. เสพโภชนะอันประณีต 2. เสพฤดูเป็นที่สบาย 3. เสพอิริยาบถเป็นที่
สบาย 4. ประกอบความเป็นกลาง 5. เว้นบุคคลผู้ไม่สงบกาย 6. เสพบุคคล
ผู้สงบกาย 7. น้อมจิตไปในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น.
จริงอยู่ ผู้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เมื่อบริโภคโภชนะเป็นที่สบาย
อันประณีตหมดจดก็ดี. เสพฤดูเป็นที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อน
เสพอิริยาบถ เป็นที่สบายไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถ ยืน เป็นต้นก็ดี ย่อมเกิดความ
สงบได้. แต่คำนั้น ท่านมิได้กล่าวหมายถึงบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ซึ่งทนฤดู
และอิริยาบถ เป็นที่สบาย. เมื่อผู้ที่มีฤดู และอิริยาบถที่ถูกกันและไม่ถูกกัน
เว้นฤดูและอิริยาบถที่ไม่ถูกกันเสียแล้ว เสพฤดูและอิริยาบถที่ถูกกัน ปัสสัทธิสัม-
โพชฌงค์ย่อมเกิดได้. การพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของ ๆ
ตน เรียกว่า ประกอบความเป็นกลาง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ด้วย
ประกอบความเป็นกลางอันนี้. เมื่อเว้นบุคคลผู้มีกายไม่สงบ เช่นเที่ยวเบียดเบียน
สัตว์อื่นด้วยเครื่องประหาร มีก้อนดิน และท่อนไม้เป็นต้น ก็ดี เสพบุคคลผู้
มีกายสงบ สำรวม มือ เท้า ก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดปัสสัทธิ-
สัมโพชฌงค์ในอิริยาบถมี ยืน นั่ง เป็นต้น ก็ดี ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.
ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้
ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตมรรค.

สมาธิสัมโพชฌงค์



สมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้ โดยนัยมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถนิมิต (บาลีว่า สมาธินิมิต)
อัพยัคคนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการ ในนิมิตทั้งสองนั้น นี้เป็น
อาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด หรือ
เป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว
ดังนี้.
ในนิมิตเหล่านั้น สมถะนั่นแล ชื่อว่า สมถนิมิตและอัพยัคคนิมิต
เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน.

ธรรมเป็นเหตุเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นทางเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์
คือ 1. ทำวัตถุให้สละสลวย 2. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ 3. ฉลาด
ในนิมิต 4. ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง 5. ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม
6. ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง 7. เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย
8. เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ 9. คบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ 10. พิจาร-
ณาและวิโมกข์ 11. น้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น.

อธิบายธรรม 11 ประการ



ในธรรม 11 ประการนั้น เฉพาะการทำวัตถุให้สละสลวย และการ
ปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

ความฉลาดในการกำหนดกสิณนิมิต เป็นอารมณ์ ชื่อว่าฉลาดใน
นิมิต. การประคองจิตไว้ ด้วยการตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์.
และปีติสัมโพชฌงค์ในสมัยที่จิตหดหู่ เพราะมีความเพียรย่อหย่อนเกินไป
เป็นต้น ชื่อว่า ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง.
การข่มจิตไว้ ด้วยการตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์
และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในสมัยที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะปรารภความเพียรมากเกิน
ไปเป็นต้น ชื่อว่า ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม.
คำว่า ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรร่าเริง อธิบายว่า สมัยใด จิตไม่แช่ม
ขึ้น เพราะมีปัญญาและความเพียรอ่อนไป หรือเพราะไม่บรรลุสุขที่เกิดแต่ความ
สงบ สมัยนั้น ก็จิตให้สลด ด้วยพิจารณาสังเวควัตถุเรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความสลด 8 ประการ. เรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลด 8 ประการ คือ 1. ชาติ
2. ชรา 3. พยาธิ 4. มรณะ 5. ทุกข์ในอบาย 6. ทุกข์ในอดีตมีวัฏฏะ
เป็นมูล 7. ทุกข์ในอนาคตมีวัฏฏะเป็นมูล 8. ทุกข์ในปัจจุบันมีการแสวงหา
อาหารเป็นมูล. อนึ่ง การทำความเลื่อมใสให้เกิด ด้วยมาระลึกถึงคุณพระรัตน-
ตรัย อันนี้ก็เรียกว่าการทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง.
ชื่อว่า เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย อธิบายว่า สมัยใดจิตอาศัยการ.
ปฏิบัติชอบ ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน แช่มขึ้น เป็นไปสม่ำเสมอในอารมณ์ ดำเนิน
ในสมถวิถี สมัยนั้นไม่ต้องขวยขวายในการประคอง ข่มและทำจิตให้ร่าเริง
เหมือนสารถี ไม่ต้องขวนขวาย ในเมื่อม้าวิ่งเรียบฉะนั้น อันนี้เรียกว่า เพ่งเฉย
ในสมัยที่ควรเพ่งเฉย.
การเว้นบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่บรรลุอุปจาระ หรืออัปปนา ให้
ห่างไกล ชื่อว่า เว้นบุคคลผู้มีจิต ไม่เป็นสมาธิ.

การเสพ คบหา เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิด้วยอุปจาร
ภาวนา หรืออัปปนาภาวนา ชื่อว่า คบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ.
ความเป็นผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดสมาธิ ในอิริยาบถทั้งหลาย
มี ยืน นั่งเป็นต้น ชื่อว่า น้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์.
ด้วยว่า เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น ย่อมเกิดได้.
เมื่อภิกษุรู้ชัดว่า ก็สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อม
เจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

อุเบกขาสัมโพชฌงค์



อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้ตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตต-
นิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความเจริญไพบูลย์ บริบูรณ์
เต็มที่ แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้วดังนี้. ก็ในธรรมเหล่านั้น อุเบกขา
นั่นแล ชื่อว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์

ธรรมเป็นเหตุเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์



อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 5 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งอุเบก-
ขาสัมโพชฌงค์ คือ 1. วางตนเป็นกลางในสัตว์ 2. วางตนเป็นกลางในสังขาร
3. เว้นบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร 4. คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์
และสังขาร 5. น้อมจิตไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น.

อธิบายธรรม 5 ประการ



ในธรรม 5 ประการนั้น ผู้เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมตั้งการวาง
ตนเป็นกลางในสัตว์ด้วยอาการ 2 อย่าง คือด้วยการพิจารณาถึงความที่ตนและ
ผู้อื่นมีกรรมเป็นของ ๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านมาด้วยกรรมของตน ก็จักไปด้วย
กรรมของตน แม้เขาก็มาด้วยกรรมของตน (เขา) จักไปด้วยกรรมของตน
(เขา) เหมือนกัน ท่านจะยึดถืออะไรกันดังนี้ และด้วยการพิจารณาถึงความ
ไม่มีสัตว์อย่างนี้ว่า เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ที่ว่าสัตว์ ๆ มันไม่มี ท่านจะยึดอะไร
กันเล่าดังนี้.
ตั้งการวางตนเป็นกลางในสังขาร ด้วยอาการ 2 อย่างคือ ด้วยการ
พิจารณาโดยความเป็นของไม่มีเจ้าของ อย่างนี้ว่า จีวรนี้จักเข้าถึงความเปลี่ยนสี
และความเก่าคร่ำคร่า เป็นผ้าเช็ดเท้า ต้องเขี่ยทิ้งด้วยปลายไม้เท้า ก็ถ้าว่าจีวร
นั้น พึงมีเจ้าของไซร้ เขาก็ไม่พึงให้มันเสียหายอย่างนี้ ดังนี้ และด้วยการ
พิจารณาโดยความเป็นของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้อยู่ไม่ได้นาน เป็นของ
ชั่วคราวดังนี้. แม้ในบริขารมีบาตรเป็นต้น ก็พึงประกอบความเหมือนอย่างใน
จีวร.
ในข้อว่า เว้นบุคคลผู้ยึดถือในสัตว์และสังขาร มีวินิจฉัยดังนี้
บุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ ก็ยึดถือปิยชน มีบุตร ธิดา เป็นต้น ของตน
หรือเป็นบรรพชิตก็ยึดถือบรรพชิตมีอันเตวาสิก และผู้ร่วมอุปัชฌาย์กันเป็นต้น
ของตน มัวทำกิจกรรมมีปลงผม เย็บจีวร ซักย้อมจีวร ระบมบาตร เป็นต้น
ของชนเหล่านั้น ด้วยมือของตนทีเดียว เมื่อไม่เห็นเพียงครู่เดียว ก็บ่นถึงว่า
สามเณรรูปโน้นไปไหน ภิกษุหนุ่มรูปโน้นไปไหน เหลียวซ้ายแลขวา เหมือน
มฤคตื่นตกใจฉะนั้น แม้ผู้อื่นอ้อนวอนขอว่า โปรดส่งสามเณรชื่อโน้นไปช่วย

ปลงผมเป็นต้น สักครู่เถิดดังนี้ ก็ไม่ยอมให้ ด้วยพูดว่า พวกเราจะไม่ให้ทำ
กิจกรรมของตนบ้างหรือ พวกท่านพาเธอไปจะลำบากดังนี้ บุคคลนี้ชื่อว่า
ยึดถือสัตว์.
ฝ่ายบุคคลใด ยึดถือบริขารมีจีวร บาตร ถลกบาตร ไม้เท้าเป็นต้น
แม้ผู้อื่นจะเอามือจับก็ไม่ให้จับ ถึงขอยืมก็ตอบขัดข้องว่า เราต้องการใช้ทรัพย์
ก็ยังไม่ใช้ จักให้พวกท่านได้อย่างไรดังนี้ บุคคลนี้ชื่อว่า ยึดถือสังขาร.
ฝ่ายบุคคลใด วางตนเป็นกลาง เที่ยงตรงในวัตถุทั้งสองนั้น บุคคล
นี้ชื่อว่าวางตนเป็นกลาง ในสัตว์และสังขาร.
เมื่อเว้นไกลบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขารเห็นปานฉะนี้ก็ดี คบหาบุคคล
ผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขารก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดอุเบกขา
สัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลาย มี ยืน นั่ง เป็นต้นก็ดี อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้
ย่อมเกิดได้ด้วยประการฉะนี้. ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นอัน
เกิดแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.
คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา หรือภายในเป็นต้น ความว่าพิจารณาเห็นธรรม
ในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัมโพชฌงค์ 7 ของตน หรือของคนอื่น
หรือกำหนดสัมโพชฌงค์ 7 ของตนตามกาล หรือของคนอื่นตามกาลอยู่. ก็
ความเกิด และความเสื่อม (แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์) พึงทราบด้วยอำนาจ
ความเกิด และความดับแห่งสัมโพชฌงค์ทั้งหลาย ในโพชฌงคบรรพนี้. ข้อความ
ต่อจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอริยสัจ 4



แต่ในโพชฌงค์บรรพนี้ มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบ
ความอย่างนี้ว่า สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ เป็นต้น แล้ว

พึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดโพชฌงค์เป็น
อารมณ์. คำที่เหลือก็เช่นนั้นเหมือนกัน.
จบโพชฌงคบรรพ

สัจจบรรพ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาโดยโพชฌงค์ 7
ประการ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกสัจจะ 4 ประการ จึงตรัสว่า
ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.

อริยสัจ 4



ในคำเหล่านั้น คำว่า รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์เป็นต้น ความว่า
รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 เว้น ตัณหาว่า นี้ทุกข์ รู้ชัด
ตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งตัณหาที่มีอยู่ก่อน. อันทำทุกข์นั้นนั่นแล ให้เกิด ให้
ปรากฏขึ้น นี้ทุกขสมุทัย รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริงซึ่งความดับคือ หยุดทุกข์
และทุกขสมุทัยทั้งสองว่า นี้ ทุกขนิโรธ รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่ง อริยมรรค
อันเป็นเหตุกำหนดรู้ทุกข์ เป็นเหตุละสมุทัย เป็นเหตุทำให้แจ้งนิโรธว่า นี้ทุกข
นิโรธคามินีปฏิปทา. กถาว่าด้วยสัจจะที่เหลือเว้นกถาว่าด้วยบท ภาชนะ แจก
บทแห่งทุกข์มีชาติเป็นต้น ท่านกล่าวไว้พิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วเทียว.

อธิบายบทภาชนะ



ชาติ



ส่วนในบทภาชนะ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ คำว่า กตมา จ ภิกฺ-
ขเว ชาติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติเป็นอย่างไร ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง

หลาย ก็ชาติอันใด ที่เรากล่าวอย่างนี้ว่า แม้ชาติก็เป็นทุกข์ ชาติอันนั้นเป็น
อย่างไร. พึงทราบอรรถในปุจฉาทั้งปวง อย่างนี้. คำว่า ของสัตว์เหล่านั้น ๆ
อันใดนี้ เป็นคำกำหนดรวมสัตว์ไว้ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนดว่า ของเหล่าสัตว์ชื่อนี้.
แม้คำว่าในหมู่สัตว์นั้นๆนี้ เป็นคำกำหนดรวมหมู่สัตว์ไว้ทั้งหมด. ความเกิดชื่อว่า
ชาติ. คำว่าชาตินี้ เป็นชื่อของขันธ์ที่เกิดจำเพาะทีแรก พร้อมด้วยความเปลี่ยน
แปลง. คำว่าสัญชาตินี้ เป็นไวพจน์ (แทน) ของชาตินั่นเอง แต่ประกอบด้วย
อุปสรรค. ความเกิดนั่นแล ชื่อว่า โอกฺกนฺติ ก้าวลง ด้วยอรรถว่า ก้าวลง
โดยอาการที่เข้าไปโดยลำดับ ชื่อว่า อภินิพฺพตฺติ เกิดจำเพาะ ด้วยอรรถว่า
เกิดเฉพาะ กล่าวคือ เกิด ทั้ง 4 อย่างนี้ ชื่อว่ากล่าวโดยสมมัติ. ส่วนบาลี
ขนฺธานํ ปาตุภาโว ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนี้ กล่าวโดยปรมัตถ์.
ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนั่นแล ที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่ และ ขันธ์ห้า
ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง ไม่ใช่ความปรากฏแห่งบุคคล.
แต่เมื่อความปรากฏแห่งขันธ์นั้นมีอยู่. ก็สมมติเรียกกันว่า บุคคลปรากฏดังนี้.
คำว่า อายตนานํ ปฏิลาโภ ความได้อายตนะทั้งหลาย ความว่า อายตนะ
ทั้งหลายปรากฏอยู่นั่นแล เป็นอันชื่อว่าได้มา นั้นชื่อว่าความได้มาที่กล่าว
ได้ว่าความปรากฏแห่งอายตนะเหล่านั้น.

ชรา



ศัพท์ว่า ชรา เป็นศัพท์แสดงถึงสภาพความเป็นเอง. ศัพท์ว่า ชีรณตา
แสดงถึงภาวะ คืออาการ. ศัพท์ว่า ขณฺฑิจฺจํ เป็นต้น คือแสดงถึงภาวะเปลี่ยน
แปลง จริงอยู่ เวลาเป็นหนุ่มสาว ฟันก็เรียบขาว. ครั้นหง่อมเข้า ฟันเหล่านั้น

ก็เปลี่ยนสีไปโดยลำดับ หลุดตกไปในที่นั้น ๆ. อนึ่ง ฟันหัก หมายถึงฟันที่
หลุดร่วง และที่ยังอยู่ ชื่อว่า ขณฺฑิตา. ภาวะแห่งฟันที่หักเรียกว่า ขณฺฑิจฺจํ
ความที่ฟันหัก. ผมและขน คร่ำคร่าไปโดยลำดับ ชื่อว่าผมหงอก. ผมหงอก
เกิดพร้อมแล้วแก่บุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อว่า มีผมหงอก. ภาวะแห่ง
บุคคลผู้มีผมหงอก ชื่อว่า ปาลิจฺจํ ความที่ผมหงอก. เกลียวที่หนังของบุคคล
นั้น มีอยู่ เพราะมีเนื้อและเลือดแห้งไปด้วยถูกลม คือ ชราประหาร เหตุนั้น
บุคคลนั้นชื่อว่ามีหนังเป็นเกลียว (เหี่ยว). ภาวะแห่งบุคคลผู้มีหนังเป็นเกลียวนั้น
ชื่อว่า วลิตฺตจตา ความที่หนังเหี่ยว. ด้วยถ้อยคำมีประมาณเพียงเท่านี้เป็นอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงชรา ที่เปิดเผย อันปรากฏชัด โดยแสดงความ
เปลี่ยนแปลง ในฟัน ผม ขน หนัง. ทางไปของลม หรือไฟ จะปรากฏได้
ก็เพราะลมพัดถูกหญ้า หรือต้นไม้เป็นต้น หักระเนระนาด หรือไฟไหม้ แต่
ทางไปของลม และไฟนั้นก็หาปรากฏไม่ฉันใด ทางไปแห่งชราก็ฉันนั้นเหมือน
กันจะปรากฏได้ก็โดยภาวะมีฟันหักเป็นต้น แห่งอาการ 32 มีฟันเป็นต้น
แม้บุคคลลืมตาดู ก็จับไม่ได้ ความคร่ำคร่าแห่งอาการมีฟันหักเป็นต้น หาใช่ตัว
ชราไม่ เพราะชราจะพึงรู้ทางจักษุมิได้. แต่เพราะเมื่อถึงชรา อายุเสื่อมไป
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยผลใกล้เคียงว่า ความเสื่อมไปแห่งอายุ
เรียกว่า ชรา. อนึ่ง เพราะเวลาเป็นหนุ่มสาว อินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้น
แจ่มใสดี สามารถรับอารมณ์ของคน แม้ที่ละเอียดได้ให้สะดวกทีเดียว เมื่อถึง
ชรา ก็แก่งอม ขุ่นมัว ไม่ผ่องใสไม่สามารถรับอารมณ์ของตน แม้ที่หยาบได้
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยผลใกล้เคียงว่า ความแก่งอมแห่งอินทรีย์
ทั้งหลายเรียกว่า ชรา ดังนี้บ้าง.

มรณะ



ในมรณนิทเทส มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
ศัพท์ว่า ยํ หมายถึง มรณะ เป็นศัพท์แสดง นุปํสกลิงค์ (ไม่ใช่
เพศชาย เพศหญิง ทางไวยากรณ์). ในคำว่า ยํ นั้น พึงประกอบความดังนี้ว่า
มรณะ ท่านเรียกว่า จุติ เรียกว่า จวนตา. ในศัพท์เหล่านั้น ศัพท์ว่า จุติ
แสดงถึงสภาพที่เป็นเอง. ศัพท์ว่า จวนตา แสดงถึงภาวะ คือ อาการ. เมื่อ
บุคคลถึงมรณะแล้ว ขันธ์ทั้งหลายย่อมแตก และหายไป แลไม่เห็น เพราะ
ฉะนั้น มรณะนั้น จึงเรียกว่า ความแตก ความหายไป ความมอดม้วย. บทว่า
มัจจุมรณะ คือ มัจจุมรณะ มิใช่ ขณิกมรณะ (ตายชั่วขณะ). การทำ
กาละคือ ตาย ชื่อว่า กาลกิริยา. แม้ทั้งหมดนี้ กล่าวโดยสมมติทั้งนั้น. ส่วน
บาลีว่า ขนฺธานํ เภโท นี้ เป็นการกล่าวโดยปรมัตถ์. ความแตกแห่งขันธ์
ทั้งหลาย ที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่ และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มี
ขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง มิใช่ความแตกแห่งบุคคล. แต่เมื่อความประชมพร้อม
แห่งขันธ์มีอยู่ ก็สมมติเรียกว่า บุคคลตาย. การทอดทิ้งอัตตภาพ ชื่อว่าการ
ทอดทิ้งซากศพ. จริงอยู่ เมื่อบุคคลถึงความตาย อัตตภาพก็ตกเป็นเหมือน
ท่อนไม้ ไร้ประโยชน์ฉะนั้น เพราะฉะนั้น มรณะนั้นท่านจึงเรียกว่า การ
ทอดทิ้งซากศพ. ส่วนความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ เมื่อว่าโดยปรมัตถ์
โดยอาการทั้งปวงก็คือมรณะ. มรณะนั้นนั่นแหละ เรียกว่า สมมติมรณะ.
ชาวโลกถือเอาความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เท่านั้น จึงพูดว่า ติสสะ ตาย ผุสสะ
ตาย ดังนี้.

โสกะ



บทว่า พฺยสเนน ด้วยความวิบัติ ความว่า ด้วยความวิบัติอย่างใด
อย่างหนึ่ง บรรดาความวิบัติทั้งหลาย มีความวิบัติจากญาติเป็นต้น. บทว่า
ทุกฺขธมฺเมน อันทุกขธรรม ความว่า อันเหตุแห่งทุกข์ มีการฆ่า และ
จองจำเป็นต้น. บทว่า ผุฏฺฐสฺส ถูกต้องแล้ว ได้แก่ท่วมทับ ครอบงำแล้ว.
คำว่า โสกะ ได้แก่ความโศก อันมีความแห้งใจเป็นลักษณะ ย่อมเกิดแก่
บุคคล ในเมื่อถูกความวิบัติ มีความวิบัติจากญาติเป็นต้น หรือเหตุแห่งทุกข์
มีการฆ่า การจองจำเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ครอบงำแล้ว. ความเป็นผู้
เศร้าโศก ได้แก่ ความเศร้าโศก. ก็ความเศร้าโศกนั้นเกิดขึ้นทำภายในให้แห้ง
ให้แห้งผาก เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ความเศร้าใจ ความแห้งใจภายใน ดังนี้.

ปริเทวะ



คนทั้งหลาย ยึดถืออย่างนี้ว่า ลูกหญิงของเรา ลูกชายของเรา ดังนี้
ย่อมคร่ำครวญรำพัน ด้วยความยึดถือนั้น เหตุนั้น ความยึดถือนั้น จึงชื่อว่า
เป็นเหตุคร่ำครวญ. คนทั้งหลาย รำพันยกยอคุณนั้น ๆ ด้วยเหตุนั้น เพราะ
ฉะนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า เป็นเหตุรำพัน. ศัพท์ทั้งสอง (อาเทวนา ปริเทวนา)
นอกจากอาเทวะ ปริเทวะ นั้น เป็นศัพท์แสดงภาวะแห่งความคร่ำครวญ รำพัน
นั้นนั่นแหละ.

ทุกขโทมนัส



ความทุกข์ อันมีกายประสาท เป็นที่ตั้ง (ที่เกิด) เพราะอรรถว่า
ทนได้ยาก ชื่อว่าทุกข์ทางกาย. คำว่า ไม่ชื่นใจ คือไม่หวานใจ. คำว่า

ทุกข์ที่เกิดแต่กายสัมผัส คือทุกข์ที่เกิดจากสัมผัสทางกาย คำว่า เวทนา
ที่ไม่น่าชื่นใจ
คือ เวทนา ที่ไม่น่าชอบใจ. โทมนัสสัมปยุตกับจิต ชื่อว่า
เจตสิก ได้แก่โทมนัสทางใจ. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วในทุกข์นั่นแล.

อุปายาส



บทว่า อายาโส ได้แก่ ความลำบากทางใจ อันถึงอาการ คือความ
ท้อแท้ห่อเหี่ยว. ความคับใจโดยภาวะมีกำลังแรง ชื่อว่า ความคับแค้นใจ.
ศัพท์ทั้งสอง (อายาสิตฺตกํ อุปายาสิตฺตํ) นอกจาก อายาสะ และอุปายาสะ
นั้น เป็นธรรมเนื่องอยู่ในตน ส่องภาวะ ชี้ภาวะ.

การไม่สมควรปรารถนาเป็นทุกข์



บทว่า ชาติธมฺมานํ มีความเกิดเป็นธรรมดา คือมีความเกิดเป็น
สภาวะ. สองบทว่า อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ ความปรารถนาย่อมเกิด คือตัณหา
ย่อมเกิด. คำว่า อโห วต ได้แก่ความปรารถนา. บทว่า น โข ปเนตํ อิจฺฉาย
ข้อนั้น ไม่พึงได้ด้วยความปรารถนาแล ความว่า ข้อนั้น คือความไม่ต้อง
มาเกิด เว้นมรรคภาวนาเสีย บุคคลไม่พึงบรรลุได้ด้วยปรารถนา. คำว่า อิทํปิ
แม้นี้ คือแม้อันนี้. ปิอักษร ในคำว่า อิทมฺปิ หมายถึงบทที่เหลือข้างหน้า.
บทว่า ยมฺปิจฺฉํ ปรารถนาสิ่งใด ความว่า. บุคคลปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงได้
ย่อมไม่ได้. เพราะธรรมใด ความปรารถนาในสิ่งที่ไม่พึงได้ นั้นก็เป็นทุกข์. ทุกๆ
บทก็นัยนี้เหมือนกัน. ในขันธนิทเทสมีวินิจฉัยดังนี้. รูปนั้นด้วย อุปาทานขันธ์
ด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า รูปูปาทานขันธ์. ทุก ๆ ขันธ์ก็พึงทราบอย่างนี้.

สมุทัยอริยสัจ



คำว่า ยายํ ตณฺหา ตัดเป็น ยา อยํ ตณฺหา แปลว่า ตัณหานี้ใด.
คำว่า โปโนพฺภวิกา มีวิเคราะห์ว่า การทำภพใหม่ ชื่อว่า ภพใหม่ ภพใหม่นั้น
เป็นปกติแห่งตัณหานั้น เหตุนั้น ตัณหานั้น จึงชื่อว่า โปโนพฺภวิกา มี
ความเกิดอีกเป็นปกติ. คำว่า นนฺทิราคสหคตา ได้แก่ตัณหาที่เกิดร่วม
ด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน. ท่านอธิบายว่า โดยอรรถ
ตัณหานั้น ก็เป็นอันเดียวกันกับนันทิราคะนั่นเอง. ในคำเหล่านั้น คำว่า ตตฺรตตฺ-
ราภินนฺทินี
เพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ ความว่า อัตตภาพ เกิดจำเพาะใน
ที่ใด ๆ ตัณหาก็เพลิดเพลินในที่นั้น ๆ. อีกนัยหนึ่ง ตัณหามักเพลิดเพลินใน
อารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น ชื่อว่าในที่นั้น ๆ. อธิบายว่า เพลิดเพลินในรูป
เพลิดเพลินในเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์. ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ
เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ นั้นมีความว่า ถ้ามีคำถามว่า ตัณหานั้น
เป็นไฉน. ความอยากในกาม ชื่อว่ากามตัณหา. คำว่ากามตัณหานั้น เป็นชื่อของ
ความกำหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ 5. ความอยากในภพ ชื่อว่า ภวตัณหา.
คำว่า ภวตัณหานี้เป็นชื่อของความกำหนัด ในรูปภพและอรูปภพ อันเกิดพร้อม
ด้วยสัสสตทิฏฐิ ที่เกิดโดยความปรารถนาภพ และความยินดีในฌาน. ความ
อยากในวิภพ ชื่อว่า วิภวตัณหา. คำว่า วิภวตัณหานี้ เป็นชื่อของความ
กำหนัดที่เกิดพร้อมด้วยอุจเฉททิฏฐิ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดง
วัตถุที่ตั้ง ที่เกิด แห่งตัณหานั้นโดยพิสดาร จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา
ก็ตัณหานี้นั้นแล ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า เกิด. คำว่า นิวีสติ
ได้แก่ ตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อยๆ. คำว่า ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ความว่า

เป็นสภาวะที่รักและสภาวะที่ชอบใจในโลก. ในคำว่า จกฺขุํ โลเก เป็นต้น
มีอธิบายดังนี้ จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ถือมั่นในจักษุเป็นต้นในโลกโดยความ
เป็นของ ๆ เรา ตั้งมั่นอยู่ในสมบัติ ย่อมสำคัญจักษุ (ตา) ของตน อันมี
ประสาททั้ง 5 แจ่มใส เหมือนหน้าต่างแก้วมณี อันเผยขึ้นแล้วในวิมานทอง
ด้วยทำนองถือเอานิมิต ในกระจกเป็นต้น ย่อมสำคัญโสต (หู ) เหมือนหลอดเงิน
และเหมือนด้ายร้อยสังวาลย์ ย่อมสำคัญ ฆานะ (จมูก) ที่ได้โวหารเรียกว่า
ตุงฺคนาสา (จมูกโด่ง) เหมือนขั้วหรดาลที่เขาปั้นตั้งไว้ ย่อมสำคัญ ชิวหา
(ลิ้น) อันอ่อนสะอาดคอยรับรสอร่อย เหมือนพื้นผ้ากัมพลแดง ย่อมสำคัญกาย
เสมือนต้นสาละหนุ่ม และเสมือนเสาระเนียดทอง ย่อมสำคัญ มนะ (ใจ)
อันโอฬาร (ของตน) ไม่เหมือนกับใจของคนอื่น ๆ ย่อมสำคัญรูป ประหนึ่ง
ว่ามีผิวพรรณดังดอกกัณณิการ์ทองเป็นต้น ย่อมสำคัญเสียง ประหนึ่งเสียงนก
การะเวก และดุเหว่า ที่น่าคลั่งไคล้ และเสียงกังวานของปี่แก้วที่เป่าแผ่ว ๆ
ย่อมสำคัญอารมณ์มีคันธารมณ์ (หอม) เป็นต้น อันมีสมุฏฐาน 4 ที่ตนได้แล้ว
ว่าอารมณ์เห็นปานนี้ ของคนอื่นใครเล่า จะมี. เมื่อสัตว์เหล่านั้นสำคัญอยู่อย่างนี้
จักษุเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหา
ของสัตว์เหล่านั้น ที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดในจักษุเป็นต้นนั้น และตัณหาที่เกิด
แล้ว ก็ย่อมตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อย ๆ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ ในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ก็เกิด
ที่จักษุนั้น ดังนี้เป็นต้น. คำว่า ตตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ ความว่า
ตัณหานั้น เมื่อเกิดในกาลใด ก็ย่อมเกิดที่จักษุนี้ในกาลนั้น. ทุก ๆ บทก็นัยนี้.

ทุกขนิโรธอริยสัจ



บททั้งปวงมีบทว่า อเสสวิราคนิโรโธ ความดับด้วยสำรอกโดย
ไม่เหลือเป็นต้น ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของพระนิพพานนั่นเอง. จริงอยู่ ตัณหา

มาถึงพระนิพพานย่อมคลาย ดับไม่เหลือ เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้น จึงตรัส
เรียกว่า ความดับ ด้วยคลายไม่เหลือ แห่งตัณหานั้นนั่นแล. อนึ่ง ตัณหา
มาถึงพระนิพพาน ย่อมละ สละคืน ปล่อย ไม่ติด เพราะฉะนั้น พระนิพพาน
จึงตรัสเรียกว่า เป็นที่ละ สละ ปล่อย ไม่ติด. แท้จริง พระนิพพานก็มี
อย่างเดียวเท่านั้น. แต่ชื่อของพระนิพพานนั้นมีมาก โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของ
สังขตธรรม ทั้งหมด. คืออย่างไร คือธรรมเป็นที่คายไม่เหลือ เป็นที่ดับไม่เหลือ
เป็นที่ละ เป็นที่สละ เป็นที่พ้น เป็นที่ไม่ติด เป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ
เป็นที่สิ้นโมหะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่ไม่เกิด เป็นที่หยุด ไม่มีนิมิต ไม่มี
ที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย ไม่มีปฏิสนธิ ไม่เป็นไป ไม่ไป ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ
ไม่ตาย ไม่โศก ไม่คร่ำครวญ ไม่คับแค้น ไม่เศร้าหมอง ดังนี้เป็นต้น. บัดนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาทั้งปวง ที่มรรคตัด
ได้แล้ว ถึงความหยุด (ไม่เป็นไป) เพราะมาถึงพระนิพพาน ในวัตถุที่
พระองค์ทรงแสดงว่า ตัณหาเกิดนั่นแหละ จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา ก็ตัณหา
นี้นั้นดังนี้ เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังต่อไปนี้ เหมือนอย่างว่า บุรุษพบเถาน้ำ
เต้าขม ที่เกิดในนาแล้ว จับตั้งแต่ยอด ค้นหาโคนพบแล้ว ตัดออกเสีย เถานั้น
ก็เหี่ยวแห้งโดยลำดับ ถึงความไม่ปรากฏ ที่นั้น เขาก็เรียกกันว่า เถาน้ำเต้าขม
ในนานั้น ดับแล้ว ละแล้ว ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนเถาน้ำเต้าขม
ในนา ตัณหานั้น ตัดรากได้ด้วยอรหัตตมรรค ถึงความหยุด (งอก) เพราะมาถึง
พระนิพพาน อนึ่ง ตัณหาอันถึงความหยุดอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุ
เหล่านั้น เหมือนเถาน้ำเต้าขมไม่ปรากฏในนาฉะนั้น. อนึ่ง เปรียบเหมือนพวก
มนุษย์นำโจรมาจากดง พึงฆ่าเสียที่ประตูด้านทิศใต้ แห่งพระนคร แต่นั้น คน
ทั้งหลายจะพึงพูดกันว่าพวกโจรในดง ตายแล้ว หรือถูกฆ่าตายแล้ว ดังนี้ ฉัน ใด

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนโจรในดง ตัณหานั้น
ชื่อว่า ดับไปในพระนิพพานนั่นเอง เพราะมาถึงพระนิพพานแล้วจึงดับไป
เหมือนโจรถูกฆ่าที่ประตูทิศใต้ฉะนั้น อนึ่ง ตัณหาอันดับแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่
ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น เหมือนโจรไม่ปรากฏในดงฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความดับแห่งตัณหานั้น ในจักษุเป็นต้นนั้น
จึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละก็ละได้
ที่จักษุนั้น เมื่อจะดับ ก็ดับที่จักษุนั้นดังนี้เป็นต้น

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ



คำว่า อยเมว เป็นคำกำหนดแน่ชัดเพื่อปฏิเสธมรรคอื่น. คำว่า อริโย
ความว่า มรรคชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย อันมรรคนั้น ๆ พึงฆ่า
และเพราะทำความเป็นพระอริยะ. ทรงแสดงกัมมัฏฐานว่าด้วยสัจจะ 4 ด้วยคำว่า
รู้ในทุกข์ เป็นต้น. ในสัจจะ 4 นั้น 2 สัจจะต้น (ทุกข สมุทัย) เป็นวัฏฏ-
สัจจะ 2 สัจจะหลัง (นิโรธ มรรค) เป็นวิวัฏฏสัจจะ. ในวัฏฏสัจจะ และ
วิวัฏฏสัจจะเหล่านั้น ความตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานของภิกษุ ย่อมมีในวัฏฏสัจจะ
ไม่มีในวิวัฏฏสัจจะ ก็พระโยคาวจรกำหนดสัจจะ 2 เบื้องต้น ในสำนักอาจารย์
โดยย่อ อย่างนี้ว่า ปัญจขันธ์เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย และพิสดารโดยนัย
เป็นต้นว่า ปัญจขันธ์เป็นไฉน คือรูปขันธ์ดังนี้แล้ว ทบทวน (ท่องบ่น) ชื่อว่า
ทำกรรมในสัจจะ 2 เหล่านั้น. ส่วนในสัจจะ 2 นอกนี้ พระโยคาวจร ย่อม
ทำกรรม ด้วยการฟังอย่างเดียว อย่างนี้ว่า นิโรธสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ มรรคสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. พระโยคาวจรนั้น เมื่อทำอยู่
อย่างนี้ ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ด้วยปฏิเวธญาณอันเดียว ย่อมตรัสรู้ด้วย

อภิสมยญาณอันเดียว คือแทงตลอดทุกขสัจจะ ด้วยปฏิเวธ คือปริญญากิจ แทง
ตลอดสมุทัยด้วยปหานกิจ แทงตลอดนิโรธสัจจะ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ แทงตลอด
มรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ. ย่อมตรัสรู้ทุกขสัจจะ ด้วยอภิสมยญาณ คือปริญญากิจ
ตรัสรู้สมุทัยสัจจะ ด้วยปหานกิจ ตรัสรู้นิโรธสัจจะ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ ตรัสรู้
มรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ. ในเบื้องต้น พระโยคาวจรนั้น มีปฏิเวธญาณใน
สัจจะ 2 เบื้องต้น ด้วยการกำหนด การสอบถาม การฟัง การทรงจำ และ
การพิจารณา ส่วนในสัจจะ 2 เบื้องปลาย พระโยคาวจรมีปฎิเวธญาณ ด้วย
อำนาจการฟังอย่างเดียว ในภายหลัง จึงมีปฏิเวธญาณในสัจจะ 3 โดยกิจ มี
ปฏิเวธญาณในนิโรธสัจโดยอารมณ์. ส่วนปัจจเวกขณญาณมีแก่พระโยคาวจร
ผู้บรรลุสัจจะแล้ว. และพระโยคาวจรนี้ เป็นผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร เพราะฉะนั้น
จึงไม่ตรัสปัจจเวกขณญาณนั้นไว้ในที่นี้. อนึ่ง เมื่อภิกษุนี้กำหนดรู้ในเบื้องต้น
ความคำนึง รวบรวมใจ ใส่ใจ และพิจารณาว่า เรากำหนดรู้ทุกข์ เราละสมุทัย
เราทำให้แจ้งนิโรธ เราเจริญมรรค ดังนี้ ยังไม่มี จะมีได้ตั้งแต่การกำหนด
ไป. ส่วนในเวลาภายหลัง ทุกข์ก็เป็นอันชื่อว่ากำหนดรู้แล้ว สมุทัยก็เป็นอัน
ละเสียแล้ว นิโรธก็เป็นอันทำให้แจ้งแล้ว มรรคก็เป็นอันทำให้เกิดแล้ว.
ในสัจจะเหล่านั้น สัจจะ 2 เบื้องต้น ชื่อว่า ลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก
สัจจะ 2 เบื้องหลัง ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง. ความจริง ทุกขสัจปรากฏ
ตั้งแต่เกิดมา ถึงกับกล่าวกันว่า ทุกข์หนอ ในเวลาที่ถูกตอและหนามตำเป็นต้น.
แม้สมุทัยสัจก็ปรากฏตั้งแต่เกิดมา ด้วยอำนาจอยากเคี้ยว อยากกินเป็นต้น. แต่
แม้ทั้งสองสัจจะนั้นก็ชื่อว่าลึกซึ้ง โดยลักษณะ และการแทงตลอด. สัจจะ 2 นั้น
ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากด้วยประการฉะนี้. ส่วนความพยายามเพื่อเห็น
สัจจะ 2 นอกนี้ ก็เป็นเหมือนเหยียดมือจับภวัคคพรหม เหยียดเท้าไปต้องอเวจี-

นรก และเป็นเหมือนเอาปลายขนทราย กับปลายขนทรายที่แยกออก 7 ส่วน
ให้จดติดกัน. สัจจะ 2 เบื้องปลายเหล่านั้น ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง
ด้วยประการฉะนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี้ ความรู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น
ทรงหมายถึงความเกิดญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น ในสัจจะ 4 ที่ชื่อว่าลึกซึ้ง
เพราะเห็นได้ยาก และที่ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง ด้วยอำนาจการกำหนด
เป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. ส่วนในขณะแทงตลอด ญาณ (ปฏิเวธญาณ) นั้น
ก็มีหนึ่งเท่านั้น.

สัมมาสังกัปปะ



ความดำริมีความดำริออกจากกามเป็นต้น ต่างกันในเบื้องต้น เพราะ
สัญญาในอันงดเว้นจากกามพยาบาทและวิหิงสาต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรค
ความดำริฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์มรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จ
ความไม่เกิดแห่งความดำริฝ่ายอกุศล ที่เกิดแล้วในฐาน 3 เหล่านี้ เพราะตัดทาง
แห่งความดำริฝ่ายอกุศลนั้นได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ.

สัมมาวาจา



แม้กุศลธรรมมีเจตนางดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้น ก็ต่างกันในเบื้องต้น
เพราะสัญญาในการงดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้นต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรค
เจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์มรรคบริบูรณ์ โดยให้
สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว ในฐานะ 4 เหล่านี้
เพราะตัดทางแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลนั้นได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาวาจา.

สัมมากัมมันตะ



แม้กุศลธรรม มีเจตนางดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ก็ต่างกันใน
เบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ต่างกัน. แต่ในขณะ
แห่งมรรค เจตนางดเว้นฝ่ายกุศล อันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรค
บริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิด แห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว
ในฐานะ 3 เหล่านี้ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ.

สัมมาอาชีวะ



คำว่า มิจฉาอาชีวะ ได้แก่กายทุจริตและวจีทุจริต ที่เป็นไปเพื่อต้อง
การของเคี้ยวของกินเป็นต้น. คำว่า ละ คือเว้น. คำว่า ด้วยสัมมาอาชีวะ
คือด้วยอาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ. คำว่า สำเร็จชีวิต คือดำเนินการ
เลี้ยงชีพ. ที่ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้น
จากทุจริตมีมุสาวาทเป็นต้น ต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรคเจตนางดเว้นฝ่ายกุศล
อันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่ง
เจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นมิจฉาอาชีวะ ที่เกิดแล้วในฐานะเจ็ด (กายทุจริต
3 วจีทุจริต 4) เหล่านี้แหละ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ.

สัมมาวายามะ



คำว่า ที่ยังไม่เกิด คือที่ยังไม่เกิดแก่ตนในภพหนึ่ง หรือในอารมณ์
เห็นปานนั้น. แต่พระโยคาวจรเห็นบาปอกุศลธรรม ที่กำลังเกิดแก่คนอื่น ย่อม
ยังฉันทะให้เกิด ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้เกิดบาปอกุศล

ที่ยังไม่เกิด ด้วยคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ บาปอกุศลธรรม เห็นปานนั้น ไม่พึง
เกิดแก่เราดังนี้. คำว่า ฉนฺทํ ชเนติ ย่อมยังฉันทะให้เกิด คือ ให้เกิดความ
พอใจในความเพียรที่ให้สำเร็จข้อปฏิบัติอันไม่ให้เกิดบาปอกุศลเหล่านั้น. คำว่า
วายมติ พยายาม คือ ทำความพยายาม. คำว่า วิริยํ อารภติ ปรารภ
ความเพียร คือดำเนินความเพียร. คำว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ประคองจิต
คือ ทำการประคองจิตด้วยความเพียร. คำว่า ปทหติ ตั้งไว้ คือดำเนินการ
ตั้งความเพียรว่า จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามทีเถิด ดังนี้. คำว่า
อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือที่เคยเกิดแล้วแก่ตน โดยการกำเริบขึ้น ย่อมให้
เกิดฉันทะ เพื่อละบาปอกุศล เหล่านั้นว่า บัดนี้เราจักไม่ให้บาปอกุศลเช่นนั้น
เกิดขึ้นละ. คำว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ กุศลที่ยังไม่เกิด คือ กุศลธรรม
มีปฐมฌานเป็นต้น ที่ตนยังไม่ได้. คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือกุศลธรรม
เหล่านั้นนั่นแหละที่ตนได้แล้ว. คำว่า ฐิติยา เพื่อตั้งมั่น คือ เพื่อตั้งอยู่
โดยการเกิดต่อเนื่องกันบ่อย ๆ. คำว่า อสมฺโมสาย เพื่อไม่ขาดสาย คือเพื่อ
ไม่ให้สูญเสีย. คำว่า ภิยฺโยภาวาย เพื่อมียิ่ง ๆ คือ เพื่อเจริญยิ่งขึ้นไป.
คำว่า เวปุลฺลาย คือเพื่อความไพบูลย์. คำว่า ภาวนาย ปาริปูริยา คือเพื่อ
ความมีบริบูรณ์. แม้สัมมาวายามนี้ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะจิตที่คิดไม่ให้เกิด
อกุศลที่ยังไม่เกิดเป็นต้นต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรค วิริยะฝ่ายกุศลอันเดียว
เท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจ ในฐานะ 4 เหล่านี้
เหมือนกัน นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ.

สัมมาสติ



แม้สัมมาสติ ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะจิตที่กำหนดอารมณ์มีกาย
เป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้นให้องค์แห่ง
มรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจในฐานะ 4 นี้ชื่อว่า สัมมาสติ.

สัมมาสมาธิ



ฌานทั้งหลาย ต่างกัน ทั้งในเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรค. ใน
เบื้องต้นต่างกันโดยสมาบัติ. ในขณะแห่งมรรค ต่างกัน โดยมรรค. จริงอยู่
มรรคที่ 1 แห่งมรรคขณะหนึ่ง มีปฐมฌานเป็นบาท แม้มรรคที่ 2 เป็นต้น
มีปฐมฌานเป็นบาทบ้าง มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น เป็น
บาทบ้าง. มรรคที่ 1 แห่งมรรคขณะแม้อันหนึ่งมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่ง
ทุติยฌานเป็นต้นเป็นบาท แม้มรรคที่ 2 เป็นต้น ก็มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง
แห่งทุติยฌานเป็นต้น เป็นบาทบ้าง มีปฐมฌานเป็นบาทบ้าง. มรรคทั้ง 4 ว่า
โดยฌานเหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี เหมือนกันบางแห่งก็มี ด้วยประการฉะนี้.
นี้เป็นความแผกกันแห่งมรรคนั้น โดยกำหนดโดยฌานที่เป็นบาท. พึงทราบ
อธิบายโดยกำหนดด้วยฌานเป็นบาทก่อน มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ได้
ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน เจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีปฐมฌานเป็นบาท.
ก็องค์แห่งมรรค และโพชฌงค์ ย่อมบริบูรณ์ในปฐมฌานนี้โดยแท้. มรรคที่เกิด
แก่พระโยคาวจรผู้ได้ทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เจริญวิปัสสนาอยู่ชื่อว่า
มีทุติยฌานเป็นบาท. ส่วนองค์มรรคในทุติยฌานนี้ มี 7 ประการ. มรรคที่เกิด
แก่พระโยคาวจรผู้ออกจากตติยฌานแล้วเจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีตติยฌานเป็น
บาท. ส่วนองค์มรรคในตติยฌานนี้มี 7 แต่โพชฌงค์มี 6 ประการ. สำหรับพระ-
โยคาวจรผู้ออกจากจตุตถฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็นัยนี้เหมือนกัน.
ฌานหมวด 4 และหมวด 5 ย่อมเกิดในอรูป และฌานนั้นท่านกล่าวว่า เป็น
โลกุตตระ ไม่ใช่โลกิยะ. ถามว่าในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นนี้เป็นอย่างไร. ตอบว่า
ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นแม้นี้ พระโยคาวจรนั้น ออกจากฌานใดแล้ว ได้โสดา-
ปัตติมรรค เจริญอรูปสมาบัติแล้วเกิดในอรูปภพ มรรคทั้ง 3 มีฌานนั้นเป็นบาท

เกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้น ในอรูปภพนั้น. ท่านกำหนดมรรคที่มีฌานเป็นบาท
อย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้. แต่พระเถระบางเหล่ากล่าวว่า กำหนดขันธ์เป็น
อารมณ์แห่งวิปัสสนา. บางเหล่าก็ว่ากำหนดอัธยาศัยบุคคล. บางเหล่าก็ว่า กำหนด
วิปัสสนา อันเป็นวุฏฐานคามินี. วินิจฉัยวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบ
ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คัมภีร์วิสุทธิมรรค.
คำว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
สัมมาสมาธิ ความว่าธรรมนี้ เบื้องต้นเป็นโลกิยะ เบื้องหลัง เรียกว่า
โลกุตตระ สัมมาสมาธิ.
คำว่า อิติ อชฺญตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็น
ธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัจจะ 4 ของตน ของคนอื่น หรือ เพราะ
กำหนดสัจจะ 4 ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลอย่างนี้อยู่. ส่วนความ
เกิดและความเสื่อมในสัจจบรรพนี้ พึงทราบโดยความเกิดและความหมดไปแห่ง
สัจจะ 4 ตามเป็นจริง. คำอื่นนอกจากนี้ มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดสัจจะ 4 เป็นอริยสัจ



แต่ในสัจจบรรพนี้ ต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความอย่างนี้ว่า
สติกำหนดสัจจะ 4 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้น แล้วพึงทราบว่า เป็น
ทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดสัจจะเป็นอารมณ์. คำที่เหลือก็
เหมือนกันแล.
จบสัจจบรรพ

สรุปความ



ด้วยลำดับคำมีประมาณเพียงเท่านี้ กัมมัฏฐาน 21 คือ อานาปาน-
บรรพ 1 จตุอิริยาบถบรรพ 1 จตุสัมปชัญญบรรพ 1 ทวัตดึงสาการ 1 จตุธาตุ-
ววัฏฐานะ 1 สีวถิกา 9 เวทนานุปัสสนา 1 จิตตานุปัสสนา 1 นีวรณปริคคหะ 1
ขันธปริคคหะ 1 อายตนปริคคหะ 1 โพชฌงคปริคคหะ 1 สัจจปริคคหะ 1.
บรรดากัมมัฏฐาน 21 นั้น กัมมัฏฐาน 11 คือ อานาปาน 1 ทวัตดึง-
สาการ 1 สีวถิกา 9 เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน. แต่พระมหาสิวเถระ ผู้รจนาคัมภีร์
ทีฆนิกาย กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส สีวถิกา 9 โดยอาทีนวานุปัสสนา.
เพราะฉะนั้น ตามมติของท่าน อานาปานะ และ ทวัตดึงสาการ 2 เท่านั้น
เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน. ที่เหลือเป็น อุปจารกัมมัฏฐาน ถามว่า ความตั้งมั่น
เกิดในกัมมัฏฐานนั้นทั้งหมดหรือไม่เกิด ตอบว่า ไม่ใช่ไม่เกิด ความตั้งมั่นไม่เกิด
ในอิริยาบถสัมปชัญญะ นีวรณ์ และโพชฌงค์ เกิดในกัมมัฏฐานที่เหลือ. ส่วน
พระมหาสิวเถระ กล่าวว่า ความตั้งมั่นย่อมเกิดในกัมมัฏฐานแม้เหล่านั้น
(ทั้งหมด) เพราะพระโยคาวจรนี้ ย่อมกำหนดอย่างนี้ว่า อิริยาบถ 4 มีแก่เรา
หรือไม่หนอ สัมปชัญญะ 4 มีแก่เราหรือไม่หนอ นีวรณ์ 5 มีแก่เราหรือไม่
หนอ โพชฌงค์ 7 มีแก่เราหรือไม่หนอดังนี้ เพราะฉะนั้น ความตั้งมั่นย่อม
เกิดในกัมมัฏฐานทั้งหมด.

อานิสงส์



คำว่า โย หิ โกจิ ภิกฺขเว ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใด
ผู้หนึ่ง ไม่ว่า ภิกษุหรือภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา. คำว่า เอวํ ภาเวยฺย
ความว่า พึงเจริญตามลำดับภาวนาที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น. คำว่า ปาฏิกงฺขํ
ความว่า พึงหวังได้ พึงปรารถนาได้ เป็นแน่แท้. คำว่า อญฺญา หมายถึง

พระอรหัต. คำว่า สติ วา อุปาทิเสเส ความว่า เมื่ออุปาทิเสสวิบากขันธ์
ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้าไปยึดไว้เหลืออยู่ ยังไม่สิ้นไป. คำว่า อนาคามิตา
แปลว่า ความเป็นพระอนาคามี. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดง ความที่
คำสั่งสอนเป็นธรรมนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์โดย 7 ปี อย่างนี้แล้ว เมื่อจะ
ทรงแสดงเวลา (ปฏิบัติ) ที่น้อยไปกว่านั้นอีก จึงตรัสว่า ติฏฺฐนฺตุ ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 7 ปี จงยกไว้ดังนี้เป็นต้น. ก็คำนั้นแม้ทั้งหมดตรัสโดย
เวไนยบุคคลปานกลาง. แต่ที่ตรัสว่าบุคคลรับคำสั่งสอนเวลาเช้า บรรลุคุณวิเศษ
เวลาเย็น รับคำสั่งสอนเวลาเย็น บรรลุคุณวิเศษเวลาเช้า ดังนี้ ทรงหมายถึง
บุคคลผู้มีปัญญาเฉียบแหลม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า คำสั่งสอนของเรา
นำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงยังเทศนาที่ทรงแสดง ด้วยธรรม
อันเป็นยอด คือพระอรหัตให้จบลงในฐานะ 21 ประการ จึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางดำเนินอันเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงโสกะ และปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน นี้คือ สติปัฏฐาน 4 ด้วยประการฉะนี้ คำอันใด
อันเรากล่าวแล้วอย่างนี้ คำนั้นเราอาศัยทางอันเอกนี้กล่าวแล้ว. คำที่เหลืออรรถ
ตื้นทั้งนั้นแล.
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุสามหมื่นรูป ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล.
จบอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรที่ 9

10. ปายาสิราชัญญสูตร



ว่าด้วยประวัติพระกุมารกัสสปเถระ



[ 301] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระกุมารกัสสป จาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป มาถึงเสตัพยนครแห่งแคว้นโกศล อาศัย
อยู่ ณ ป่า สีสปาวัน ด้านทิศเหนือ เสตัพยนคร. สมัยนั้น พระยาปายาสิ
ครอบครองเสตัพยนคร ซึ่งมีปศุสัตว์มาก มีหญ้าไม้ และน้ำ มีธัญญาหารบริบูรณ์
เป็นพระราชโภคทรัพย์ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานให้เป็นบำเหน็จ
ความชอบ ครั้งนั้น พระยาปายาสิเกิดความเห็นชั่วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้
โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ดังนี้
พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนครได้ทราบว่า พระสมณกุมารกัสสป
สาวกของพระสมณโคดม จาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป มาถึงเสตัพยนคร อาศัยอยู่ ณ ป่าสีสปาวัน ด้าน
ทิศเหนือ เสตัพยนคร. กิตติศัพท์อันงามของพระสมณกุมารกัสสปขจรไปว่า
ท่านเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต กล่าวธรรมได้วิจิตร มีปฏิภาณดี
เป็นผู้ตรัสรู้และเป็นพระอรหันต์ การพบเห็นพระอรหันต์เช่นนั้น เป็นการดี.
ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนครออกจากเสตัพยนคร พากันไป
เป็นหมู่ ๆ บ่ายหน้าไปทางด้านทิศเหนือ ซึ่งสีสปาวันตั้งอยู่.

ทิฏฐิของพระยาปายาสิ



[302] สมัยนั้น พระยาปายาสิพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน
เห็นพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนคร ออกจากเสตัพยนครเป็นหมู่ ๆ พากัน
เดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จึงเรียกคนสนิทมาถามว่า นี่แน่ะพ่อ พราหมณ์
และคฤหบดี ชาวเสตัพยนครเป็นหมู่ ๆ พากันมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งสีสปาวัน
ตั้งอยู่ทำไมกัน. คนสนิทเรียนตอบว่า ท่านเจ้าข้า มีสมณะชื่อกุมารกัสสป สาวก
ของพระสมณโคดม จาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ประมาณ 500 รูป มาถึงเสตัพยนคร อาศัยอยู่ ณ สีสปาวัน ทางทิศเหนือ
เสตัพยนคร กิตติศัพท์อันงามของพระสมณกุมารกัสสปนั้น ขจรไปว่า ท่าน
เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต กล่าวธรรมได้วิจิตร มีปฏิภาณดี
เป็นผู้ตรัสรู้และเป็นพระอรหันต์ พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น เข้าไปเพื่อ
พบเห็นท่านพระกุมารกัสสปนั้น เจ้าข้า. พระยาปายาสิ จึงสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า
ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงเข้าไปหาพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนคร บอกเขาว่า
จงรออยู่ก่อน พระยาปายาสิจักเข้าไปพบท่านสมณกุมารกัสสปด้วย แต่ก่อน
ท่านพระสมณกุมารกัสสปสอนพวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนครผู้เขลา
ไม่ฉลาด ให้เข้าใจว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบาก
ของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี นี่แน่ะเจ้า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบาก
ของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่ว ไม่มี. คนสนิทนั้นรับคำของพระยาปายาสิแล้วก็ไป
บอกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนคร. ครั้งนั้น พระยาปายาสิอันพวก
พราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนครห้อมล้อมแล้วก็ไปยังสีสปาวันเข้าไปหาท่าน
กุมารกัสสป ชื่นชมสนทนาปราศรัยกับท่านพระกุมารกัสสปตามสมควรแล้ว ก็นั่ง
ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. ส่วนพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนคร บางพวก
กราบท่านพระกุมารกัสสป แล้วนั่ง ณ ที่ส่วนหนึ่ง บางพวกชื่นชมสนทนา

ปราศรัยกับท่านพระกุมารกัสสป แล้วก็นั่ง บางพวก ก็นอบน้อมอัญชลี ไป
ยังท่านพระกุมารกัสสป แล้วนั่ง บางพวกประกาศชื่อและสกุลตนแล้ว ก็นั่ง
บางพวกก็นิ่งแล้วนั่ง. พระยาปายาสิ นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เรียนท่านพระกุมาร-
กัสสปอย่างนี้ว่า ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้
เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว
ไม่มี. พระกุมารกัสสปกล่าวว่า ท่านพระยา อาตมานั้นได้เห็นได้ยินว่า
ท่านพระยามีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ เหตุไร ท่านพระยาจึงกล่าวว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ที่ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว
ไม่มี ถ้าอย่างนั้น อาตมาจะย้อนถามท่านพระยาในข้อนี้บ้าง ท่านพระยาพึง
ตอบตามที่เห็นควร ท่านพระยาจะพึงเข้าใจข้อนี้อย่างไร พระจันทร์พระอาทิตย์
มีอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่น เป็นเทวดาหรือมนุษย์.
พระยาปายาสิตอบว่า ท่านกัสสป พระจันทร์พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกอื่น
ไม่ใช่ในโลกนี้ เป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา โดยปริยายนี้แหละ จงเห็นเถิดว่า
แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.
[303] พระยาปายาสิ. ถึงท่านพระกัสสปกล่าวอยางนี้ ก็ตาม แต่
ในข้อนี้ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุด-
เกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายที่ยืนยันความเห็นของ
ท่านพระยาอยู่หรือ.
พระยาปายาสิ. มีอยู่ซิ ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. มีอยู่เหมือนอย่างไรเล่า ท่านพระยา.

ว่าด้วยโทษของอกุศลกรรมบถ



พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป ข้าพเจ้ามีมิตรสหาย ญาติสาโลหิตของ
ข้าพเจ้าในโลกนี้ที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มักได้ ปองร้ายเขา เห็นผิด ต่อมา เขาล้มป่วย
ประสบทุกข์ เจ็บหนัก ข้าพเจ้ารู้ว่า เวลานี้ เขาจักไม่หายป่วยแน่ จึงเข้าไป
หาเขาพูดว่า ท่านผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีความเห็น
อย่างนี้ว่า คนที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มักได้ ปองร้ายเขา เห็นผิด ตายแล้วจักเกิดในอบาย
ทุคคติ วินิบาต นรก ตัวท่านก็ประพฤติอย่างนั้น ถ้าถ้อยคำของสมณพราหมณ์
พวกนั้นเป็นความจริงไซร้ ตัวท่านตายแล้วก็จักเกิดในอบาย ทุคคติ วินิบาต
นรก ถ้าตัวท่านตายแล้ว พึงไปเกิดในอบายภูมินั้นจริงไซร้ ขอท่านพึง
กลับมาบอกข้าพเจ้าทีเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผล
วิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี ด้วยว่าข้าพเจ้าเชื่อถือท่านอย่างสนิทใจว่า
สิ่งใดที่ท่านเห็นก็เหมือนข้าพเจ้าเห็นเอง สิ่งนั้นก็จักเป็นอย่างนั้นแน่ คนเหล่านั้น
รับคำข้าพเจ้าแล้วก็ไม่เคยกลับมาบอกเองทั้งไม่ส่งคนมาบอกด้วย ท่านกัสสป
ปริยายนี้นี่แล ที่เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้
โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยโจร



[304] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจะ
ย้อนถามท่านพระยาในข้อนั้นบ้าง ท่านพระยาพึงตอบตามที่เห็นสมควร ท่าน-
พระยาจะเข้าใจข้อนั้นอย่างไร พวกเจ้าหน้าที่ของท่านพระยาจับโจรที่ทำผิดมา

แสดงด้วยกล่าวว่า ท่านขอรับ คนนี้เป็นโจรทำผิด ขอได้โปรดสั่งลงโทษ
แก่โจรผู้นี้ตามต้องการด้วย ท่านพระยาจะพึงสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเอา
เชือกที่มั่นคงจับมัดมัน เอามือไพล่หลังให้แน่นหนา โกนหัว ตีบัณเฑาะว์
พาตระเวนไปทุกถนนทุกทาง 4 แพร่ง ออกทางประตูด้านทิศใต้ แล้วจงตัดหัว
เสียที่ตะแลงแกง ทางด้านทิศใต้พระนคร พวกเจ้าหน้าที่รับคำสั่งแล้ว กระทั่ง
นำโจรมานั่งบนตะแลงแกงเตรียมตัดศีรษะ โจรจะพึงได้รับการขอร้องผ่อนผัน
จากเจ้าหน้าที่ฆ่าโจรว่า ขอนายท่านจงรอจนกว่าข้าพเจ้าไปแจ้งแก่มิตรสหาย
ญาติสาโลหิตที่บ้านหรือนิคมโน้นเสียก่อน หรือ เจ้าหน้าที่ฆ่าโจรจะพึงตัดศีรษะ
ของโจร ทั้งที่กำลังอ้อนวอนอยู่.
พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป โจรนั้นจะไม่พึงได้รับการผ่อนผันให้รอ
ตัดศีรษะไว้ก่อน ที่แท้ เจ้าหน้าที่ฆ่าโจร ก็จะพึงตัดศีรษะของโจร ทั้งที่ร้อง
ขออยู่เลยทีเดียว.
พระกุมารกัสสป. (ท่านพระยา ทั้งโจร ก็เป็นมนุษย์ ทั้งเจ้าหน้าที่
ฆ่าโจร ก็เป็นมนุษย์) โจรนั้น ก็ยังไม่ได้รับการผ่อนผันให้รอการตัดศีรษะ
ไว้ก่อน มิตรสหายญาติสาโลหิตของท่านพระยา ซึ่งกระทำกรรมชั่วเห็นปานนั้น
ไปบังเกิดในอบายภูมิแล้ว ไฉนจักได้รับการผ่อนผันจากอบาย นิรยบาล ซึ่งไม่ใช่
มนุษย์ ให้รอการลงโทษไว้จนกว่ามิตรสหาย ญาติสาโลหิตนั้น นำความไปบอก
ท่านพระยาแล้วกลับมา เสียก่อนเล่า. โดยปริยายแม้นี้ท่านพระยาจงเห็นเถิดว่า
แม้เพราะเหตุนี้โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.
[305] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนี้ก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น
ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นในข้อนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุด-
เกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

พระกุมารกัสสป. ก็ท่านพระยายังมีปริยายยืนยันความเห็นอย่างนั้น
อยู่อีกหรือ.
พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา มีเหมือนอย่างไรเล่า.

ว่าด้วยอานิสงส์กุศลกรรมบถ



พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป ข้าพเจ้ามีมิตรสหาย ญาติสาโลหิตในโลกนี้
ที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มักได้ ไม่ปองร้ายเขา มีความเห็นชอบ ต่อมา
เขาล้มป่วยประสบทุกข์ เจ็บหนัก ข้าพเจ้ารู้ว่า เวลานี้เขาไม่หายป่วยแน่ จึง
เข้าไปหาเขาพูดว่า ท่านผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะมีความเห็น
อย่างนี้ว่า คนที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มักได้ ไม่ปองร้ายเขา มีความเห็นชอบ
ตายแล้วจักเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ตัวท่านก็พระพฤติอย่างนั้น ถ้าถ้อยคำของ
สมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นความจริงไซร้ ท่านตายไปแล้วก็จักเกิดในสุคติ
โลกสวรรค์แน่ ถ้าท่านไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จริง ก็ขอท่านพึงกลับมาบอก
ข้าพเจ้าทีเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของ
กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี ด้วยว่า ข้าพเจ้าเชื่อถือท่านอย่างสนิทใจว่า สิ่งใด
ที่ท่านเห็นก็เหมือนเราเห็นเอง สิ่งนั้นก็จักเป็นอย่างนั้นแน่ คนเหล่านั้น
รับคำข้าพเจ้าแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาบอกเอง ทั้งไม่ส่งคนมาบอกด้วย ท่านกัสสป
ปริยายนี้นี่แล ที่เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้
โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยคนตกบ่อคูถ



[306] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก
อุปมาให้ฟัง วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิตด้วยข้อ
อุปมา ท่านพระยา เปรียบเหมือนบุรุษจมบ่อคูถ (อุจจาระ) มิดศีรษะ ท่าน-
พระยาจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงบุรุษนั้นขึ้นมาจากบ่อคูถ แล้วให้เอาซีกไม้ไผ่
ครูดคูถออกจากตัวของบุรุษนั้น ให้เอาดินสีเหลืองขัดตัวสามครั้ง ให้เอาน้ำมัน
ชะโลมตัวแล้วเอาจุณ (ผง) ละเอียดลูบไล้ให้สะอาดหมดจดสามครั้ง ให้แต่ง
ผมและหนวดแล้ว ให้นำเอาพวงดอกไม้เครื่องลูบไล้และผ้าที่มีค่ามากมอบแก่
บุรุษนั้นแล้วนำเขาขึ้นไปยังปราสาทอันดีชั้นบน จัดกามคุณ 5 ไว้บำเรอ ท่าน-
พระยาจะเข้าใจข้อนั้นอย่างไร บุรุษนั้นอาบน้ำลูบไล้ดีแล้ว แต่งผมและหนวด
ประดับอาภรณ์แก้วมณีแล้วนุ่งห่มผ้าขาวสะอาดอยู่ปราสาทอันดีชั้นบน เพียบ-
พร้อมบำเรอด้วยกามคุณ 5 เขายังประสงค์จะจมลงในบ่อคูถนั้นอีกหรือ.
พระยาปายาสิ. ไม่หรอก ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. เพราะเหตุไรเล่า.
พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป เพราะบ่อคูถไม่สะอาดเป็นทั้งสิ่ง
ไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด กลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ากลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด
ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูล. พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา
ข้อนั้นเปรียบฉันใด ข้อนี้ก็เปรียบฉันนั้นเหมือนกัน พวกมนุษย์ทั้งไม่สะอาด
ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งกลิ่นเหม็นทั้งนับว่ากลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่า
น่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูล. ท่านพระยา กลิ่นมนุษย์คลุ้งขึ้นไปถึงเทวดา
ตั้งร้อยโยชน์. ก็มิตรสหาย ญาติสาโลหิตของท่านพระยาประพฤติดีเห็นปานนั้น
ตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ยังจะกลับมาบอกท่านพระยาอีกหรือ ท่าน
พระยา โดยปริยายนี้แล จงเห็นเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมีสัตว์ผุดเกิดมี
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.

[307] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้น ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น
ในข้อนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี
สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายที่ยืนยันความเห็นของ
ท่านพระยาอยู่อีกหรือ มีเปรียบเหมือนอย่างไรเล่า.
พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป ข้าพเจ้ามีมิตรสหาย ญาติสาโลหิต
ที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และงดเว้น
จากที่ตั้งแห่งความประมาท คือ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย ต่อมาเขา
ล้มป่วยประสบทุกข์เจ็บหนัก ข้าพเจ้ารู้ว่า เขาจักไม่หายป่วยแน่แล้ว จึงเข้าไป
หาเขาพูดว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าถ้อยคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นความจริง
ว่า เมื่อคนประพฤติดีเห็นปานนั้น ตายแล้ว จักเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็น
สหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ดังนี้ไซร้ ท่านผู้เจริญ ท่านประพฤติเห็นปานนั้น
ตายแล้ว ก็พึงบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์แน่-
นอน ขอท่านพึงกลับมาบอกข้าพเจ้าทีเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้โลกอื่นมี สัตว์-
ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี ด้วยว่าข้าพเจ้าเชื่อถือท่าน
อย่างสนิทใจว่า สิ่งใดที่ท่านเห็นก็เหมือนเราเห็นเอง สิ่งนั้นจักเป็นอย่างนั้นแน่
คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้วก็ไม่เคยกลับมาบอกเอง ทั้งไม่ส่งคนมาบอกด้วย
ท่านกัสสป ปริยายนี้นี่แล เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่าแม้เพราะ
เหตุนี้โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

ว่าด้วยอานิสงส์ศีล 5



[308] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก
ย้อนถามท่านพระยาในข้อนี้บ้าง ท่านพระยาพึงตอบตามที่เห็นสมควรเถิด.

ร้อยปีของมนุษย์เป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ สามสิบราตรีโดย
ราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง สิบสองเดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง โดยปีนั้น
พันปีทิพย์เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ มิตรสหายญาติสาโลหิตของ
ท่านพระยา ที่มีศีล 5 เห็นปานนั้น ตายไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหาย
ของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ถ้าพวกเขาคิดว่า ต่อเมื่อพวกเขาเพรียบพร้อมบำเรอ
อยู่ด้วยกามคุณ 5 สักสองวันสองราตรีหรือสักสามวันสามราตรี แล้วค่อยกลับ
ไปบอกท่านพระยา ดังนี้ไซร้ คนเหล่านั้นจะพึงกลับไปบอกท่านพระยาว่า แม้
เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี
ดังนี้หรือ.
พระยาปายาสิ. ไม่หรอกท่านกัสสป. เพราะพวกข้าพเจ้าคงจะตายกัน
ไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ใครเล่าบอกท่านกัสสปว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือ
เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่านกัสสปดอก.

อุปมาด้วยคนตาบอดแต่กำเนิด



พระกุมารกัสสป. เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด ไม่เห็น
สีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด ไม่เห็นที่เรียบและไม่เรียบ
ไม่เห็นรูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ บุรุษผู้นั้นพูดว่า รูปดำ รูปขาว
รูปเหลือง รูปแดง รูปแดงฝาด ที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์
พระอาทิตย์ ไม่มี ผู้เห็นรูปดำ รูปขาว รูปเขียว รูปเหลือง รูปแดง รูปแดงฝาด
ที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ไม่มี ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น สิ่งดังว่านั้น ไม่มี ดังนี้ ท่านพระยา บุรุษผู้นั้น พูดอย่างนั้น
ชื่อว่าพูดถูกหรือ. พระยาปายาสิ. พูดไม่ถูกดอก ท่านกัสสป เพราะรูปดังกล่าวนั้น

มีอยู่ ผู้เห็นก็มีอยู่ บุรุษผู้นั้นพูดว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น ดังนี้ จึงชื่อว่าพูด
ไม่ถูก.
พระกุมารกัสสป. ข้อนี้ก็เปรียบเหมือนฉันนั้น ท่านพระยา อุปมา
ด้วยคนตาบอดแต่กำเนิด จึงกล่าวว่า ใครเล่าบอกท่านกัสสปว่า เทวดาชั้น
ดาวดึงส์มีอยู่ หรือเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่าน-
กัสสปดอก. ท่านพระยา โลกอื่นอันใคร ๆ ไม่พึงเห็นได้ด้วยมังสจักษุอย่างที่
ท่านพระยาเข้าใจดอก. สมณพราหมณ์ที่อาศัยเสนาสนะป่าอันสงัด เป็นผู้ไม่
ประมาทมีความเพียร มีใจมุ่งมั่นต่อพระนิพพานอยู่ ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์
ย่อมเห็นโลกนี้โลกอื่น ทั้งหมู่สัตว์ที่ผุดเกิดได้ ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
เกินจักษุมนุษย์ ท่านพระยา โลกอื่นอันผู้มีทิพยจักษุพึงเห็นได้อย่างนี้ อันใครๆ
ไม่พึงเห็นด้วยมังสจักษุอย่างที่ท่านพระยาเข้าใจดอก โดยปริยายนี้นี่แล ท่าน-
พระยาจงเห็นเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของ
กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.
[309] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ใน
ข้อนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี
สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายยืนยันความเห็นของท่าน
พระยาอยู่อีกหรือมีเปรียบเหมือนอย่างไรเล่า

ว่าด้วยสมณพราหมณ์ผู้มีศีลธรรม



พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป ข้าพเจ้าเห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้
ที่มีศีลมีกัลยาณธรรมอยากเป็นไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ ข้าพเจ้านั้นเห็น
ว่า ถ้าสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ รู้ว่า เราตายไปเสียจากโลก

นี้ จักประเสริฐไซร้ ก็จะพึงกินยาพิษ ใช้ศัสตราฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย หรือ
โดดเหวตายเสีย แต่เพราะเหตุที่สมณพราหมณ์เหล่านี้ ไม่รู้ว่าเราตายไปเสีย
จากโลกนี้ จักประเสริฐดังนี้ ฉะนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงอยากเป็นไม่
อยากตาย จึงรักสุขเกลียดทุกข์ ท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล ที่เป็นเครื่องยืน
ยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยพราหมณ์มีเมียสอง



[310] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจักอุปมา
ให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถแห่งคำภาษิตได้ด้วย
ข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์ผู้หนึ่งมีภรรยาสองคน
ภรรยาคนหนึ่งมีบุตรอายุ 10 ขวบ หรือ 12 ขวบ ภรรยาอีกคนหนึ่งมีครรภ์
แก่ ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้สามีก็ตายลง. บุตรวัยรุ่นก็พูดกะแม่เลี้ยงว่า แม่จ๋า
ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน ทองทั้งหมด เป็นของฉันนะแม่นะ แม่ไม่มีสิทธิ
อะไร ๆ ในทรัพย์เหล่านั้น เพราะเป็นทรัพย์ของบิดาฉัน แม่โปรดมอบมฤดก
แก่ฉันเถิด. แม่เลี้ยงจึงบอกบุตรเลี้ยงว่า พ่อ จงรอจนกว่าแม่จะคลอดเถิดนะ
ถ้าทารกในท้องแม่เป็นชาย ก็จักมีสิทธิได้ส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิงก็จักตกเป็น
ปริจาริกา ที่เจ้าต้องใช้สอย ครั้งที่สอง บุตรเลี้ยงก็อ้อนวอนแม่เลี้ยงให้มอบ
มฤดกให้ แม่เลี้ยงก็ตอบยืนอยู่อย่างนั้น ครั้งที่สาม แม่เลี้ยงขัดใจก็คว้ามีดเข้า
ห้องน้อยแหวะท้อง เพื่อจะรู้ว่า ทารกในท้องเป็นชายหรือหญิง หญิงแม่เลี้ยง
นั้น ก็ทำลายทั้งตนเอง ทั้งชีวิต ทั้งทารกในครรภ์ ทั้งทรัพย์มฤดก เพราะนาง
เป็นคนเขลา ไม่ฉลาด แสวงหาทายาทโดยอุบายไม่แยบคาย ก็ถึงความย่อยยับ

ฉันใด อุปมัยข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยาเป็นคนเขลาไม่ฉลาด แสวงหา
โลกอื่น โดยอุบายไม่แยบคาย ก็จักถึงความย่อยยับ เหมือนพราหมณีผู้นั้น.
ท่านพระยา เหล่าสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิง
สุกก่อนห่าม แต่รอเวลาสุกเต็มที่ต่างหาก ท่านพระยา ชีวิตของสมณพราหมณ์
ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ยังดำรงชีวิตอยู่ ยั่งยืนยาวนานเพียงใด ก็ได้ประสบบุญ
เป็นอันมากเพียงนั้น เพราะปฏิบัติตนเพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอัน
มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย ท่านพระยาโดยปริยายแม้นี้แล จงเห็นเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลก
อื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.
[311] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้น ก็จริงดอก ถึง
กระนั้น ในข้อนี้ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี
สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายที่ยืนยันความเห็นของ
ท่านพระยาอยู่อีกหรือ มีปรียาย เหมือนอย่างไรเล่า.

ว่าด้วยค้นหาชีวะจากโจร



พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป เจ้าหน้าที่ของข้าพเจ้าจับโจรผู้กระทำ
ผิดมาแสดงแก่ข้าพเจ้า ขอให้สั่งลงโทษข้าพเจ้าจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้เอาโจรที่ยังเป็น
อยู่ใส่ลงในหม้อ ปิดปากหม้อเสียเอาหนังสดรัด เอาดินสดพอกปากหม้อยาให้
หนา แล้วให้เขายกหม้อขึ้นตั้งเตาติดไฟต้ม. เมื่อข้าพเจ้ารู้ว่า โจรนั้นตายแล้ว
ก็สั่งให้เขายกหม้อลงจากเตา กะเทาะดินแก้สายหนังออก เปิดปากหม้อ ค่อย ๆ
สำรวจดูด้วยหมายใจว่าจะเห็นชีวะของโจรนั้นออกไป ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นชีวะออก

ไปเลย ท่านกัสสป ปริยายนี้นี่แล เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของข้าพเจ้า ที่
ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำ
ดีทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยคนนอนฝัน



พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจักย้อนถาม
ท่านพระยา ในข้อนั้นบ้าง ท่านพระยาพึงตอบตามที่เห็นสมควรเถิด. ท่าน
พระยานอนพักกลางวันรู้สึกฝันเห็นสวนที่น่ารื่นรมย์ ป่าที่น่ารื่นรมย์ ภูมิภาค
ที่น่ารื่นรมณ์ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์บ้างไหม.
พระยาปายาสิ. รู้สึกฝันเห็นซิ ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. เวลานั้นทั้งหญิงค่อมหญิงเตี้ย เด็กหญิงเล่นของเล่น
ทั้งหญิงวัยรุ่น เฝ้าท่านพระยาอยู่หรือ.
พระยาปายาสิ. อย่างนั้นซิ ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. หญิงเหล่านั้นเห็นชีวะของท่านพระยาที่กำลังเข้าไป
หรือกำลังออกไปบ้างไหมเล่า.
พระยาปายาสิ. ไม่เห็นดอก ท่านกัสสป.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ก็เมื่อท่านพระยายังเป็นอยู่ หญิง
เหล่านั้นก็ยังเป็นอยู่ยังไม่แลเห็นชีวะของท่านพระยา ที่กำลังเข้าไปหรืออกไป
ดังนั้น ท่านพระยาจักแลเห็นชีวะของคนตาย ที่กำลังเข้าไปหรือออกไป อย่างไร
ได้เล่า. ท่านพระยา โดยปริยาย แม้นี้แลจงเห็นเกิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่น
มี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.

[312] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้น ก็จริง ถึงอย่างนั้น
ในข้อนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์
ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยายังมีปริยายที่เป็นเครื่องยืนยันความเห็น
ของท่านพระยาอยู่อีกหรือ มีปริยายเหมือนอย่างไรเล่า.

ว่าด้วยชั่งน้ำหนักคนตายกับคนเป็น



พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป เจ้าหน้าที่ของข้าพเจ้าจับโจรที่กระทำ
ผิดมาแสดงแก่ข้าพเจ้า ขอให้สั่งลงโทษ ข้าพเจ้าจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้เอาโจรที่ยัง
เป็นอยู่มาชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่ง. ให้เอาสายธนู มารัดคอ หายใจไม่ออกจนตาย
แล้วให้ชั่งด้วยตาชั่งอีกครั้งหนึ่งปรากฏว่า ขณะที่โจรนั้นยังเป็นอยู่ น้ำหนักเบา
อ่อน และควรแก่งาน แต่เมื่อโจรนั้นตายแล้ว น้ำหนักกลับหนัก แข็งทื่อ
ไม่ควรแก่งาน ท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของ
ข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของ
กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยเหล็กร้อนและเย็น



[313] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจักอุปมา
ให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจชัดอรรถของคำภาษิต
แม้ด้วยอุปมา. ท่านพระยา เปรียบเหมือนก้อนเหล็กร้อนอยู่ทั้งวัน ที่เขาเผาไฟ
จนลุกโชนโชติช่วงแล้วชั่งด้วยตาชั่ง ต่อมา ก้อนเหล็กนั้นก็เย็นสนิท แล้วชั่ง
ด้วยตาชั่ง เมื่อใดก้อนเหล็กจึงเบา อ่อน หรือควรแก่งาน เมื่อถูกเผาร้อน
โชนโชติช่วง หรือเมื่อเย็นสนิทแล้ว.

พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป เมื่อใด ก้อนเหล็ก ยังมีเตโชธาตุ และ
วาโยธาตุ ถูกเผาร้อนโชน โชติช่วง เมื่อนั้น มันจะเบาอ่อน และควรแก่งาน
แต่เมื่อใดก้อนเหล็กนั้น ไม่มีเตโชธาตุ และวาโยธาตุ เย็นสนิท เมื่อนั้น
มันจะหนัก แข็งกระด้าง ไม่ควรแก่งาน.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ข้อนี้ก็เปรียบเหมือนฉันนั้นนั่นแล
เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้นกายนี้จะเบาอ่อน
และควรแก่งาน แต่เมื่อใดกายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น
กายนี้ก็จะหนัก แข็งทื่อ และไม่ควรแก่งาน. ท่านพระยา โดยปริยายแม้นี้แล
จงเห็นเถิดว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรม
ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.

ว่าด้วยค้นหาชีวะของโจรผู้ตายแล้ว



[314 ] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้น ก็จริง ถึงอย่างนั้น
ในข้อนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่น
ไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายที่ยืนยันความเห็นของ
ท่านพระยาอีกหรือ มีปริยายเหมือนอย่างไรเล่า.
พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป เจ้าหน้าที่ของข้าพเจ้าจับโจรผู้กระทำ
ผิดมาแสดง ขอให้ข้าพเจ้าสั่งลงโทษ ข้าพเจ้าจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้ฆ่าโจรนั้นมิให้
ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก บอบช้ำ เมื่อโจรนั้นเริ่มจะตาย
ข้าพเจ้าก็สั่งเจ้าหน้าที่ให้ผลักโจรนั้นล้มลงนอนหงาย ด้วยหมายใจว่า จะได้เห็น
ชีวะของเขาออกมาบ้าง แต่พวกเราก็มิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย ข้าพเจ้า

จึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้จับเขาพลิกคว่ำลงบ้าง พลิกนอนตะแคงข้างหนึ่งบ้าง พลิก-
นอนตะแคงอีกข้างหนึ่งบ้าง จักพยุงให้ยืนขึ้นบ้าง จับเอาหัวลงบ้าง ทุบด้วย
ฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาสตราบ้าง ลากมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น
ลากไปลากมาบ้าง พวกเราก็มิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย จักษุของเขาก็อันนั้น
รูปก็อันนั้น จักษุนั้นก็มิได้รับรู้รูป โสตะก็อันนั้น เสียงก็อันนั้น โสตะนั้นก็
มิได้รับรู้เสียง ฆานะก็อันนั้น กลิ่นก็อันนั้น ฆานะนั้นก็มิได้รับรู้กลิ่น ชิวหา
ก็อันนั้น รสก็อันนั้น ชิวหานั้นก็มิได้รับรู้รส กายก็อันนั้น สิ่งที่พึงถูกต้องก็อันนั้น
กายนั้นก็มิได้รับรู้สิ่งที่พึงถูกต้องเลย ท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเครื่อง
ยืนยัน ความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี
ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยการเป่าสังข์



[315] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก
อุปมาให้ฟัง วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิตได้ด้วย
ข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้วคนเป่าสังข์ผู้หนึ่ง ถือสังข์ไปยังชนบท
ชายแดน เข้าไปยังบ้านตำบลหนึ่ง ยืนอยู่กลางบ้านแล้วก็เป่า สังข์ 3 ครั้ง
แล้ววางสังข์ไว้ที่พื้นดิน นั่งลง ณ ที่แห่งหนึ่ง คราวนั้น พวกผู้คนชนบท
ชายแดนก็คิดกันว่า พวกเราเอ่ย นั่นมันเสียงอะไรหนอ จึงน่ารักใคร่มัวเมา
น่าจับใจ ต้องใจอย่างนี้ ชุมนุมกันแล้วก็ได้ถามคนเป่าสังข์ว่า พ่อมหาจำเริญ
นั่นเสียงอะไรหนอ จึงน่ารักใคร่มัวเมาน่าจับใจ ต้องใจอย่างนี้. คนเป่าสังข์
ตอบว่า เสียงที่น่ารักใคร่มัวเมา น่าจับใจต้องใจนั่นน่ะ เขาเรียกว่าเสียงสังข์จ๊ะ
คนเหล่านั้นก็จับสังข์หงายขึ้นแล้วสั่งว่า พูดซิ พ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์. สังข์นั้น

ก็ไม่ออกเสียงตามที่เขาสั่ง คนเหล่านั้นก็จับสังข์คว่ำลงบ้าง ตะแคงซ้าย ตะแคง
ขวาบ้าง ยกขึ้นตั้งบ้าง ตั้งเอาหัวลงบ้าง ทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วย
ท่อนไม้ ด้วยศัสตราบ้าง ลากมาทางนี้ ลากไปทางโน้น ลากไปลากมาบ้าง สั่งว่า
พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์. สังข์นั้นก็ไม่ออกเสียงอยู่นั่นเอง. ท่านพระยา
คนเป่าสังข์คิดอยู่ในใจว่า คนชาวชนบทชายแดนพวกนี้ ช่างเขลาแท้ ค้นหา
เสียงสังข์โดยไม่ถูกทาง จักพบได้อย่างไร. เมื่อคนเหล่านั้นกำลังเพ่งพินิจอยู่
คนเป่าสังข์ก็จับสังข์เป่า 3 ครั้งแล้ววางสังข์เดินไปเสีย. ท่านพระยา คนชาว
ชนบทชายแดนเหล่านั้น ก็คิดได้ว่า เมื่อใด สังข์ประกอบด้วยคน 1 ความ
พยายาม 1 และลม 1 เท่านั้น สังข์จึงจะออกเสียงได้ แต่ว่า เมื่อใด สังข์ไม่
ประกอบด้วยคน ความพยายามและลม เมื่อนั้น สังข์นี้ก็ไม่ออกเสียง ข้อ
อุปมานั้นฉันใด ท่านพระยา ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เมื่อใดร่างกายนี้ ประกอบ
ด้วยอายุ 1 ไออุ่น 1 และวิญญาณ 1 เมื่อนั้น ร่างกายนี้ ก็เดินไปข้างหน้าบ้าง
ถอยกลับบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เห็นรูปทางจักษุบ้าง ฟังเสียงทาง
โสตบ้าง สูดกลิ่นทางฆานะบ้าง ลิ้มรสทางชิวหาบ้าง ถูกต้องสิ่งที่พึงถูกต้อง
ทางกายบ้าง รู้เรื่องทางมนะบ้าง แต่ว่าเมื่อใด ร่างกายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ
ไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้นร่างกายนี้ก็ก้าวไปไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้ ยืนไม่ได้
นั่งไม่ได้ นอนไม่ได้ เห็นรูปทางจักษุไม่ได้ ฟังเสียงทางโสตะไม่ได้ สูดกลิ่น
ทางฆานะไม่ได้ ลิ้มรสทางชิวหาไม่ได้ ถูกต้องสิ่งที่พึงถูกต้องทางกายไม่ได้
รู้เรื่องทางมนะไม่ได้ ท่านพระยา โดยปริยายนี้นี่แล จงเห็นเถิดว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี.
จบปฐมภาณวาร

ว่าด้วยการค้นหาชีวะโจรอีกเรื่องหนึ่ง



[316] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น
ในข้อนี้ ข้าพเจ้ายังยืนยันความเห็นที่ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุด-
เกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ยังมีปริยายที่ยืนยันความเห็นของ
ท่านพระยาอีกหรือ มีปริยายเหมือนอย่างไรเล่า.
พระยาปายาสิ. มีซิ ท่านกัสสป เจ้าหน้าที่ของข้าพเจ้าจับโจรผู้กระ-
ทำผิดมาแสดงแก่ข้าพเจ้า และขอให้ข้าพเจ้าสั่งลงโทษ ข้าพเจ้าก็สั่งเจ้าหน้าที่
ให้เฉือนผิวหนังของโจรนั้นด้วยหมายจะดูชีวะของมัน ก็ไม่เห็น ให้เฉือนหนัง
เฉือนเอ็น เฉือนกระดูก เฉือนเยื่อในกระดูก ก็ไม่เห็นชีวะของมันเลย. ท่าน-
กัสสป ปริยายนี้นี่แล เป็นเครื่องยืนยันความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี.

อุปมาด้วยชฏิลบำเรอไฟ



[317] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก
อุปมาให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิต
ได้ด้วยข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว. ชฏิลผู้บำเรอไฟผู้หนึ่ง อาศัย
อยู่ ณ กุฏีมุงใบไม้ ใกล้ชายป่า. ครั้งนั้น ชนบทแห่งหนึ่งกลายเป็นที่พักของ
หมู่เกวียน ไปเสียแล้ว. หมู่เกวียนนั้นพักแรมอยู่คืนหนึ่ง ใกล้ ๆ อาศรมของ
ชฏิลผู้บำเรอไฟนั้นแล้วก็ไป. ชฏิลนั้นคิดว่า ถ้ากระไร เราจะเข้าไปยังที่หมู่
เกวียนพักอยู่ อาจพบอุปกรณ์บางอย่างในที่นั้นก็ได้. ชฏิลนั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
เข้าไปยังที่ ๆ หมู่เกวียนพักอยู่ ก็พบกุมารเล็ก ยังสดใสนอนหงายอยู่

ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้ ณ ที่หมู่เกวียนพัก ครั้นแล้วก็คิดว่า จะปล่อยให้มนุษย์ตาดำๆ
ตายเสียต่อหน้าเรา ซึ่งกำลังพบเห็นอยู่ ไม่เป็นการสมควร ถ้ากระไร เราจะ
นำทารกนี้ไปชุบเลี้ยงให้เจริญเติบโต ดังนี้แล้วก็นำทารกนั้น ไปยังอาศรมไปชุบ
เลี้ยงเจริญเติบโต กระทั่งทารกนั้นอายุได้ 10 ขวบ หรือ 12 ขวบ. ต่อมา ชฏิล
ผู้บำเรอไฟนั้น เกิดมีกิจธุระบางอย่างในชนบท จึงสั่งเสียว่าลูกเอ๋ย พ่อประสงค์
จะไปยังชนบท อยู่ทางนี้ เจ้าบำเรอไฟไว้นะลูก อย่าให้ไฟของเจ้าดับได้ ถ้า
ไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ไม้ นี้ไม้สีไฟ จงติดไฟบำเรอไฟไว้นะลูก. ชฏิลนั้นพร่ำ
สอนทารกนั้นอย่างนี้แล้ว ก็ไปยังชนบท. เมื่อเด็กนั้นเล่นเพลินไป ไฟก็ดับ
เด็กนั้นก็คิดว่าพ่อสอนเราไว้อย่างนี้ว่า บำเรอไฟไว้นะลูก อย่าไห้ไฟของเจ้า
ดับนะ ถ้าไฟดับ นี้มีด นี้ไม้ นี้ไม้สีไฟจงติดไฟ บำเรอไฟไว้ ถ้ากระไร เราจะ
ติดไฟ บำเรอไฟไว้ ดังนี้แล้ว. เด็กนั้นก็เอามีดถากไม้สีไฟ ด้วยหมายใจว่าจะ
พบไฟบ้าง. แต่เด็กนั้นก็ไม่พบไฟจึงผ่าไม้สีไฟเป็น 2 ซีก 3 ซีก 4 ซีก 5 ซีก
10 ซีก 20 ซีก ทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเอาใส่ครกโขลก ครั้นโขลก
แล้ว ก็โปรยที่ลมแรง ๆ ด้วยหมายใจว่า จะพบไฟบ้าง. แต่เด็กนั้นก็ไม่พบไฟ
อยู่นั่นเอง. คราวนั้น ชฏิลผู้บำเรอไฟนั้น ทำกิจธุระนั้นในชนบทเสร็จแล้วก็
กลับมา เข้าไปยังอาศรมถามเด็กนั้นว่า ไฟของเจ้าดับเสียแล้วหรือลูก. เด็กนั้น
ก็ตอบว่า จ๊ะพ่อ ข้ามัวเล่นเสียเพลินไฟเลยดับ ข้าคิดว่าพ่อสั่งให้ข้าบำเรอไฟ
ไว้ และสอนว่าเมื่อไฟดับ นี้มีด นี้ไม้ นี้ไม้สีไฟ ให้ติดไฟบำเรอไฟไว้ ข้าตั้ง
ใจจะติดไฟบำเรอไฟ จึงเอามีดถากไม้สีไฟ ก็ไม่พบไฟ จึงผ่าไม้สีไฟเป็น 2
ซีก 3 ซีก 4 ซีก 5 ซีก 10 ซีก 20 ทำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเอาโขลก
ในครกโขลกแล้ว ก็โปรยในที่ ๆ มีลมแรง ๆ ก็ไม่พบไฟจนแล้วจนรอด.
ชฏิลผู้บำเรอไฟนั้น ก็คิดว่า เจ้าเด็กนี้เขลา ไม่ฉลาดเสียเลย จักค้นหาไฟโดย
อุบายไม่แยบคายได้อย่างไร จึงจับไม้สีไฟติดไฟต่อหน้าเด็ก ซึ่งจ้องมองดูอยู่แล้ว

พูดกะเด็กนั้นว่า เขาติดไฟกันอย่างนี้ไม่เหมือนเจ้าซึ่งยังเขลาไม่ฉลาด ค้นหาไฟ
โดยอุบายไม่แยบคาย อย่างลูกดอก. ท่านพระยา ข้ออุปมานั้นฉันใด ข้ออุปมัยนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยา เขลาไม่ฉลาด ค้นหาโลกอื่น โดยอุบาย
ไม่แยบคาย โปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ท่านพระยา โปรดสละความ
เห็นชั่วนั้นเสียเกิด ท่านพระยา ขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยา
เพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย.
[318] พระปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ดี
ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสละความเห็นชั่วนี้ได้ดอก ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งพระ-
ราชาภายนอก ย่อมรู้จักข้าพเจ้าว่า พระยาปายาสิ มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า
แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำ
ดีทำชั่วไม่มี ดังนี้. ท่านกัสสป ถ้าหากว่าข้าพเจ้าจักสละความเห็นชั่วนี้ไซร้ ทั้ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลทั้งพระราชาภายนอกก็จักกล่าวเอากับข้าพเจ้าได้ว่า พระยา-
ปายาสิ ช่างเขลา ไม่ฉลาด ยึดถือความเห็นแต่ที่ชั่ว ข้าพเจ้าก็จักใช้ทิฏฐินั้น
ด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง.

อุปมาด้วยนายกองเกวียน



[319] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก-
อุปมาให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิต
ด้วยข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว. พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ มีเกวียน
ประมาณพันเล่ม ออกจากชนบททิศตะวันออก เดินทางไปทิศตะวันตก. กอง
เกวียนกำลังเดินอยู่นั้น หญ้าน้ำและไม้ ใบไม้สด ก็สิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว. ใน
กองเกวียนนั้น มีนายกองเกวียนสองคน คุมกองเกวียนคนละห้าร้อยเล่ม. สอง

นายกองเกวียนปรึกษากันว่า กองเกวียนนี้ใหญ่ มีเกวียนถึงพันเล่ม จำเราจะ
แบ่งกองเกวียนนี้ออกเป็นสองกอง กองละห้าร้อยเล่ม. แล้วทั้งสองนายกอง
เกวียนก็แบ่งกองเกวียนออกเป็นสองกองเท่า ๆ กัน. นายกองเกวียนคนหนึ่ง ก็
บรรทุกหญ้าไม้ และน้ำเป็นอันมากพากองเกวียนเดินทางไปก่อน. กองเกวียน
นั้น เดินทางไปสอง-สามวัน ก็พบบุรุษตัวดำตาแดงสะพายแล่งธนู คล้องพวง
มาลัยดอกโกมุท มีผ้าเปียกผมเปียก กำลังเดินส่วนทางมาด้วยรถคันงาม มีล้อ
เปื้อนโคลน ครั้นแล้วจึงถามเขาว่าพ่อมหาจำเริญ ท่านมาแต่ไหน. บุรุษตัวดำ
ตอบว่าข้ามาแต่ชนบทโน้น. ถามว่า จะไปไหนล่ะ. ตอบว่า จะไปยังชนบท
โน้น. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ในทางกันดารข้างหน้าฝนตกชุกบ้างใหม่ พ่อ
มหาจำเริญ. ตอบว่า อย่างนั้นจ๊ะ ในทางกันดารข้างหน้า ฝนตกชุก หนทางก็
มีน้ำบริบูรณ์ หญ้าไม้และน้ำก็มีมาก โปรดทิ้งหญ้าไม้และน้ำของเก่าเสียเถิดนาย
เกวียนมีภาระเบา จะไปได้เร็ว ๆ ยานพาหนะอย่าลำบากเลย. นายกองเกวียน
นั้นก็เรียกพวกลูกเกวียนมาปรึกษาว่า พ่อคุณ บุรุษผู้นี้พูดว่า ทางกันดารข้าง
หน้า ฝนตกชุก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้าไม้และน้ำมีมาก ให้เราทิ้งหญ้า
ไม้และน้ำของเก่าเสีย เกวียนบรรทุกเบาจะไปได้เร็ว ยานพาหนะก็ไม่ลำบาก
ดังนี้แล้ว สั่งลูกเกวียนให้ทิ้งหญ้าไม้และน้ำของเก่าเสีย เกวียนก็มีภาระบรรทุก
เบา พากองเกวียนเดินทางไปในที่พักกองเกวียนระยะแรก พวกเขาก็ไม่เห็น
หญ้าไม้และน้ำในที่พักกองเกวียนระยะที่สอง-สาม-สี่-ห้า-หก แม้ระยะที่เจ็ด
ก็ไม่พบเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดต้องถึงความพินาศย่อยยับไป ผู้คนหรือ
ปศุสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่ในกองเกวียนนั้น. ยักษ์ผู้เป็นอมนุษย์นั้นก็กินเป็นภักษา
หมด. เหลือแต่กระดูกเท่านั้น. นายกองเกวียนคนที่สอง รู้ว่ากองเกวียนที่หนึ่ง
นั้นไปนานแล้วก็บรรทุกหญ้าไม้และน้ำเป็นอันมาก พากองเกวียนเดินทางไป
กองเกวียนที่สองนั้นเดินทางไปได้สอง-สามวัน ก็ได้พบบุรุษตัวดำตาแดง

สะพายแล่งธนู คล้องพวงมาลัยดอกโกมุท ผ้าเปียกผมเปียก เดินสวนทางมา
ด้วยรถคันงาม มีล้อเปื้อนโคลน ครั้นแล้วจึงถามบุรุษตัวดำนั้นว่า พ่อมหา-
จำเริญ ท่านมาแต่ไหน. บุรุษตัวดำตอบว่า ข้ามาแต่ชนบทโน้น. ถามว่าจะ
ไปไหนล่ะ. ตอบว่า จะไปยังชนบทโน้น. ถามว่า ทางกันดารข้างหน้า มีฝน
ตกชุกไหม. ตอบว่า ฝนตกชุกเชียวละ หนทางก็มีน้ำบริบูรณ์ หญ้าไม้และน้ำ
ก็มีมาก โปรดทิ้งหญ้าไม้และน้ำของเก่าเสียเถิดจะนาย เกวียนมีภาระเบา ก็จะ
ไปได้เร็ว ๆ อย่าให้ยานพาหนะลำบาก. ครั้งนั้นนายกองเกวียนคนนั้น จึง
เรียกพวกลูกเกวียนมาปรึกษาว่า พ่อคุณ บุรุษผู้นี้บอกว่า ทางกันดารข้างหน้า
มีฝนตกชุก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้าไม้และน้ำมีมากขอให้ทิ้งหญ้าไม้และน้ำ
ของเก่าเสีย เกวียนมีภาระเบา จะไปได้เบา จะไปได้เร็วๆ อย่าให้ยานพาหนะ
ลำบาก ดังนี้ พ่อคุณ บุรุษผู้นี้ไม่ได้เป็นมิตร ญาติสาโลหิตของเรา ๆจักเชื่อเขา
ได้อย่างไร เราไม่ควรทิ้งหญ้าไม้และน้ำของเก่า แล้วสั่งบรรดาลูกเกวียนให้พา
กองเกวียนไปด้วยสิ่งของตามที่บรรทุกไว้แล้ว ห้ามไม่ให้ทิ้งหญ้าไม้และน้ำของ
เก่าเป็นอันขาด. พวกลูกเกวียนรับคำสั่งแล้ว. ก็พากองเกวียนไปพร้อมด้วยสิ่ง
ของที่บรรทุกไว้. ไม่ทิ้งของเก่าเลย ในที่ที่พักกองเกวียนระยะแรก พวกเขาก็
ไม่พบหญ้าไม้และน้ำ แม้ในระยะที่สอง-สาม-สี่-ห้า-หก และแม้ระยะที่เจ็ด
ก็ไม่เห็นหญ้าไม้และน้ำ พบแต่กองเกวียนนั้นประสบความพินาศย่อยยับสิ้น.
พบแต่กระดูกของมนุษย์และปศุสัตว์ ที่มีอยู่ในกองเกวียนนั้นเท่านั้น พวกเขา
ถูกยักษ์ผู้เป็นอมนุษย์นั้นกินเป็นภักษาเสียหมดสิ้น. ครั้งนั้น นายกองเกวียน
นั้นจึงเรียกบรรดาลูกเกวียนมาปรึกษาว่า พ่อคุณเอ๋ย กองเกวียนนั้นนั่นแล
มีนายกองเกวียนโง่เขลาเป็นผู้นำ จึงประสบความพินาศย่อยยับ พ่อคุณเอ๋ย ถ้า
อย่างนั้น สิ่งของอันใดในกองเกวียนของเรามีสาระน้อย ก็จงทิ้งมันเสีย สิ่งใด
อันใดในกองเกวียนที่หนึ่งนี้มีสาระมาก พวกเราก็จงช่วยกันขนมันไป. พวกลูก

เกวียนก็ปฏิบัติตามด้วยดี ทิ้งของที่มีสาระน้อยเสีย ขนไปแต่สิ่งของที่มีสาระ
มาก ก็ข้ามทางกันดารไปโดยสวัสดี เพราะมีนายกองเกวียนผู้ชาญฉลาดเป็นผู้
นำ. ท่านพระยา ข้ออุปมานั้นฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่าน
พระยาเป็นผู้เขลาไม่ฉลาด ค้นหาโลกอื่นโดยอุบายไม่แยบคายก็จักถึงความพินาศ
ย่อยยับ เปรียบเหมือนบุรุษนายกองเกวียนนั้น แม้พวกคนที่เชื่อฟังท่านพระยา
ก็จักพลอยถึงความพินาศย่อยยับไปเหมือนพวกลูกเกวียนฉะนั้น ท่านพระยา
โปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยา
เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานเลย.
[320] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสละความเห็นชั่วนี้ได้ดอก ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งพระราชา
ภายนอก ก็ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่าพระยาปายาสิ มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้
เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว
ไม่มี ท่านกัสสป ถ้าหากว่าข้าพเจ้าจักสละความเห็นชั่วนี้เสียไซร้ ทั้งพระเจ้า
ปเสนทิโกศล ทั้งพระราชาภายนอก ก็จักทรงว่ากล่าวเอาแก่ข้าพเจ้าว่า พระยา
ปายาสิ ช่างเขลา ไม่ฉลาด ยึดถือเอาแต่ความเห็นที่ชั่ว ข้าพเจ้าก็จะใช้ทิฏฐิ
นั้นด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง.

อุปมาด้วยคนเทินห่อคูถ



[321] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้นอาตมาจัก-
อุปมาให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิต
ด้วยข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่ง ออก
จากบ้านไปยังบ้านตำบลอื่น พบคูถที่แห้งเป็นอันมากเขาทิ้งไว้ในหมู่บ้าน

นั้น ครั้นแล้วจึงคิดว่าคูถแห้งที่เขาทิ้งไว้นี้มากพอจะเป็นอาหารของสุกรของเรา
ได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะขนคูถแห้งไปจากบ้านนี้ ดังนี้แล้วก็คลี่ผ้าห่มลง
เอาคูถแห้งใส่แล้วผูกเป็นห่อยกเทินไว้บนศีรษะ ออกเดินไป. ในระหว่างทาง
เกิดเมฆฝนที่มิใช่ฤดูกาลตกลงมาห่าใหญ่. เขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถตลอดถึง
ปลายเล็บเขาเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลเดินไปเรื่อย ๆ พวกผู้คนเห็นเขาก็พากันพูดว่า
พ่อคุณเจ้านี่เป็นบ้าหรือ เสียจิตไปแล้วหรือ เจ้าเปรอะเปื้อนด้วยคูถจนถึงปลาย
เล็บ ยังจะนำห่อคูถที่ไหลเลอะไปอีก. เขาก็ตอบไปบ้างว่า พวกเจ้านะซิเป็น
บ้าหรือเสียจิต ก็นี่มัน เป็นอาหารสุกรของข้านี่นา. ท่านพระยา ก็ข้ออุปมานั้น
ฉันใด แม้ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยาน่าจะรู้ตัวว่า ท่านเหมือน
คนเทินห่อคูถ ท่านพระยาโปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ท่านพระยาโปรด
สละความเห็นซั่วนั้นเสียเถิดขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยา เพื่อสิ่ง
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานเลย.
[322] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสละความเห็นชั่วนี้ได้ดอก ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งพระราชา
ภายนอก ย่อมรู้ว่าพระยาปายาสิ มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้
โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี. ท่าน-
กัสสป ถ้าหากข้าพเจ้าจักสละความเห็นชั่วนี้เสียไซร้ ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล
ทั้งพระราชาภายนอก ก็จักว่ากล่าวเอาแก่ข้าพเจ้าว่าพระยาปายาสิ ช่างเขลา ไม่
ฉลาด ยึดถือความเห็นแต่ที่ชั่วดังนี้ ข้าพเจ้าก็จักใช้ทิฏฐินั้นด้วยความโกรธบ้าง
ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง.

อุปมาด้วยนักเลงสะกา



[323] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่านั้นอาตมาจักอุปมา
ให้ฟัง ด้วยว่า วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถของคำภาษิตด้วยข้อ

อุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว นักเลงสะกาสองคนเล่นการพนันสะกา
กัน นักเลงสะกาคนหนึ่ง กลืนเบี้ยแพ้ที่ทอดมาแล้วมาอีกเสีย. นักเลงสะกาคน
ที่สอง เห็นดังนั้น จึงกล่าวกะนักเลงสะกาคนที่หนึ่งว่า เพื่อน เจ้าชนะข้างเดียว
โปรดให้ลูกสะกาแก่ข้าเถิด ข้าจักเซ่นบูชา. นักเลงสะกาคนที่สองก็รับคำว่า ได้
ซิเพื่อน แล้วมอบลูกสะกาให้เพื่อนนักเลงสะกาคนที่หนึ่งไป. นักเลงสะกา
คนหนึ่งก็เอายาพิษอาบลูกสะกา แล้วพูดชวนว่า มาซิ เพื่อน มาเล่นพนันสะกา
กัน. นักเลงสะกาคนที่สองก็รับคำว่า ได้ซิเพื่อน. เพื่อนนักเลงสะกาทั้งสอง
ก็เล่นพนันสะกากันเป็นหนที่สอง. แม้ในหนที่สอง นักเลงสะกาคนที่สองก็กลืน
เบี้ยแพ้ที่ทอดมาแล้วมาเล่าอีก. เพื่อนนักเลงสะกาคนที่หนึ่งเห็นดั่งนั้น จึงกล่าว
กะเพื่อนนั้นว่า
[324] ลิตฺตํ ปรเมน เตชสา
คิลมกฺขํ ปุริโส น พุชฺฌติ
คิลเร ปาปธุตฺตา กปณา
เต กฏุกํ ภวิสฺสติ.
บุรุษกลืนกินลูกสะกา ซึ่งอาบด้วย
ยาพิษ มีฤทธิ์ร้ายแรงหารู้สึกตัวไม่ นักเลง
ชั่วผู้น่าสงสารกลืนกินยาพิษเข้าไป ความ
เร่าร้อนจักต้องม่แก่เจ้า ดังนี้.

[325] ท่านพระยา ข้ออุปมานั้นฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เหมือน
กัน ท่านพระยาน่าจะรู้ตัวว่า ท่านพระยาเปรียบเหมือนนักเลงสะกา ท่านพระยา
โปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ท่านพระยาโปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด
ขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยา เพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความทุกข์ตลอดกาลนานเลย.

[326] พระยาปายาสิ. ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสละความเห็นชั่วนี้ได้ดอก ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งพระราชา
ภายนอก ก็ย่อมรู้จักว่าพระยาปายาสิ มีวาทะ มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ท่านกัสสป ถ้าหากข้าพเจ้าจักสละความเห็นชั่วนี้เสียไซร้ ทั้งพระเจ้าปเสนทิ-
โกศล ทั้งพระราชาภายนอก จักว่ากล่าวเอาแก่ข้าพเจ้าว่า พระยาปายาสิ ช่างเขลา
ไม่ฉลาด ยึดถือความเห็นแต่ที่ชั่ว ดังนี้ ข้าพเจ้าก็ใช้ทิฏฐินั้นด้วยความโกรธ
บ้าง ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง.

อุปมาด้วยคนหอบป่าน



[327] พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาจัก-
อุปมาให้ฟัง ด้วยว่าวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมเข้าใจอรรถแห่งคำภาษิต
ด้วยข้ออุปมา. ท่านพระยา เรื่องเคยมีมาแล้ว ชนบทแห่งหนึ่งตั้งขึ้นแล้ว. ครั้ง
นั้น สหายคนหนึ่งพูดชวนสหายคนหนึ่งว่า มาเถิดเพื่อน เราจักไปทางชนบทนั้น
ถ้าโชคดีคงจะพบทรัพย์อะไร ๆ ที่ชนบทแห่งนั้นกันบ้าง. สหายก็รับคำว่า ไป
ซิเพื่อน. สองสหายเข้าไปยังทางหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชนบท ได้พบป่านเป็น
อันมากที่เขาทิ้งไว้ ณ หมู่บ้านนั้น ครั้นแล้ว ก็เรียกเพื่อนมาบอกว่า เพื่อนนี้
ป่านเป็นอันมาก เขาทิ้งแล้ว เจ้าจงมัดห่อป่านของเจ้า ข้าก็จักมัดห่อป่านของข้า
เราสองคนจักหอบห่อป่านไปกันนะ. สหายก็รับคำ เอาซิเพื่อน แล้วหอบห่อ
ป่านไป. สองสหายหอบห่อป่านเข้าไปยังทางหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง พบด้ายป่าน
เป็นอันมาก ที่เขาทิ้งไว้ ณ บ้านแห่งนั้น. ครั้นแล้ว สหายก็เรียกสหายมาบอกว่า
เพื่อน เราปรารถนาป่านเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนี้ก็คือ ด้ายป่านที่เขา

ทิ้งมากมาย เพื่อน ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงทิ้งห่อป่านเสีย ข้าก็จักทิ้งห่อป่านเหมือนกัน
เราทั้งสองจักแบกมัดด้ายป่านไปกันนะ. สหายอีกคนหนึ่งบอกว่า เพื่อน ห่อป่านนี้
เราหอบมากันไกลแล้ว ทั้งก็มัดไว้ดีแล้วด้วย ข้านะพอแล้วละ เจ้าจงรู้ไว้ด้วย.
สหายคนนั้น ก็ทิ้งห่อป่านเสียแล้ว ถือเอาด้ายป่านไป. สองสหายเข้าไปยัง
หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง พบผ้าป่านเป็นอันมาก ที่เขาทิ้งไว้ ณ บ้านแห่งนั้น.
ครั้นแล้ว สหายก็เรียกสหายมาบอกว่า เพื่อน เราปรารถนาป่านหรือด้าย
ป่านเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนี้ก็คือผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย เพื่อน
ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงทิ้งห่อป่านเสีย เราก็จักทิ้งมัดด้ายป่านเสียเหมือนกัน เรา-
ทั้งสองจักถือเอาห่อผ้าป่านไปกันนะ. สหายอีกคนหนึ่งก็บอกว่า เพื่อน ห่อป่าน
ของข้านี้ ข้าหอบมาไกลแล้วทั้งก็มัดไว้ดีแล้วด้วย ข้านะพอแล้ว เจ้าจงรู้ไว้ด้วย.
สหายคนนั้น ก็ทิ้งมัดด้ายป่านเสียแล้ว หอบห่อผ้าป่านไป. สองสหายเข้าไปยังทาง
หมู่บ้าน อีกแห่งหนึ่ง ก็พบเปลือกไม้เป็นอันมาก ที่เขาทิ้งไว้ ณ บ้านแห่งนั้น.
แล้วก็พบด้ายเปลือกไม้ที่เขาทิ้งไว้มากมาย พบผ้าเปลือกไม้ พบฝ้าย พบด้าย
ฝ้าย พบผ้าฝ้าย พบเหล็ก พบโลหะ พบดีบุก พบสำริด พบเงิน ในที่สุด
พบทอง. สหายคนที่หนึ่งจึงเรียกสหายคนที่สองชวนว่า นี่แน่ะ เพื่อน เรามา
แสวงโชคเพื่อประโยชน์แก่สิ่งอันใด ไม่ว่าจะเป็นป่าน ด้ายป่าน ผ้าป่าน
เปลือกไม้ ด้ายเปลือกไม้ ผ้าเปลือกไม้ ฝ้าย ด้ายฝ้าย ผ้าฝ้าย หรือเหล็ก
โลหะ ดีบุก สำริด หรือเงิน ทองที่เขาทิ้งไว้มากมายถ้าอย่างนั้น
เจ้าจงทิ้งห่อป่านเสียเถิด ข้าก็จักทิ้งห่อเงิน เราทั้งสองก็จะแบก
ห่อทองพากัน ไป. สหายคนที่สองพูดว่า เพื่อนเอ๋ย ห่อป่านนี้นะ ข้าหอบมา
ไกลแล้วทั้งก็มัดไว้ดีด้วย ข้าน่ะพอแล้ว เจ้าจงรู้ไว้ด้วย. คราวนั้น สหายคนที่-
หนึ่ง จึงทิ้งห่อเงินเสียแล้ว แบกเอาห่อทองไป. ทั้งสองสหายก็พากันกลับบ้าน
ของตน. ในสองสหายนั้น สหายคนที่สองนั้นแบกห่อป่านไปบ้าน บิดามารดา

ของเขามิได้ดีใจด้วยเลย บุตรภริยา มิตรสหายก็ไม่ดีใจ เขาไม่ได้ประสบ
ความสุขโสมนัส เพราะห่อป่านของเขานั้น. ส่วนสหายคนที่หนึ่ง แบกห่อทอง
ไปบ้าน บิดามารดาของเขาก็ดีใจ ทั้งบุตรภริยา ทั้งมิตรสหาย ก็พากันดีใจ
ไปด้วย เขาได้ประสบความสุขโสมนัสเพราะห่อทองของเขานั้น. ท่านพระยา
ข้ออุปมานั้นฉันใด แม้ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยาน่าจะรู้ตัวดีว่า
ท่านพระยาเปรียบเหมือนสหายคนหอบห่อป่าน ท่านพระยาโปรดสละความเห็น
ชั่วนั้นเสียเถิด ขอความเห็นชั่วนั้น อย่าได้มีแก่ท่านพระยา เพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์
เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานเลย.

พระยาปายาสิขอคำแนะนำบูชามหายัญ



[328] พระยาปายาสิ. ด้วยข้ออุปมาข้อแรกของท่านกัสสป ข้าพเจ้า
ก็เริ่มดีใจอย่างยิ่งแล้ว แต่ข้าพเจ้าประสงค์จะฟังปฏิภาณแห่งปัญหาอันวิจิตร
เหล่านั้น จึงทำท่าทีโต้แย้งคัดค้านท่านกัสสป ปัญหาปฏิภาณช่างไพเราะจับใจ
จริง ๆ ท่านกัสสปประกาศธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก แจ่มแจ้งเหมือนหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วย
หมายใจจะให้ผู้มีจักษุมองเห็นรูป ได้ชัด เจนฉะนั้น ท่านกัสสปข้าพเจ้านี้ขอถึง
ท่านพระโคดม ทั้งพระธรรมทั้งพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอท่านกัสสป โปรด
ทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสก ถึงสรณะตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
อนึ่ง ข้าพเจ้าประสงค์จะบูชามหายัญ ขอท่านกัสสปโปรดสั่งสอนแนะข้าพเจ้า
ในเรื่องที่จะพึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลความสุขแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลนานด้วยเถิด.
พระกุมารกัสสป. ท่านพระยา ในยัญเห็นปานใด เหล่าโคจะต้อง
ถูกฆ่า เหล่าแพะแกะจะต้องถูกฆ่า ไก่และสุกรจะต้องถูกฆ่า เหล่าสัตว์มีชีวิต

ต่าง ๆ จะต้องถึงฆาต ทั้งปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด พูดผิด
ทำผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด. ท่านพระยา ยัญเห็น
ปานนั้นแล ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีผลรุ่งเรืองมาก ไม่มีผลไพศาล.
ท่านพระยา เปรียบเหมือนชาวนา ถือเมล็ดพืชและไถเข้าไปป่า ในป่านั้น เขา
พึงปลูกเมล็ดพืชที่หัก ที่เสียต้องลมและแดด ไม่มีแก่น แห้งไม่สนิท ลงใน
นาเลวที่มีดินเลว ยังไม่ได้แผ้วถางตอและหนามออก ทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตาม
ฤดูกาล พืชเหล่านั้นจะพึงเจริญงอกงามเต็มที่ หรือชาวนาพึงประสบผลไพบูลย์
ได้หรือ.
พระยาปายาสิ. ท่านกัสสป ไม่พึงประสบผลไพบูลย์อย่างนั้นดอก.
ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยา ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร
หรือเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด
ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้
ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่.
ดูก่อนท่านพระยา ส่วนยัญที่มิต้องฆ่า แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือ
เหล่าสัตว์ต่าง ๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ
ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ
จงใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่
หลายใหญ่ เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่ไม่
หัก ไม่เสีย ไม่ถูกลมแดดแผดเผา อันมีแก่นแห้งสนิท ลงในนาไร่อันดี เป็น
พื้นที่ดี แผ้วถางตอและหนามหมดดีแล้ว ทั้งฝนก็ตกชะเชยโดยชอบตาม
ฤดูกาล พืชเหล่านั้นจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึง
ได้รับผลอันไพบูลย์หรือ.

เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสป.
ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านพระยา ยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร
หรือเหล่าสัตว์ต่างๆไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ
ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ
ดังใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่
หลายใหญ่.

การให้ทานของพระยาปายาสิ



[329] ครั้งนั้น ท่านพระยาปายาสิ ตั้งทานสำหรับสมณพราหมณ์
คนเข็ญใจ คนเดินทางวณิพก และยาจกทั้งหลาย. แต่ในทานนั้นแล เขาให้
โภชนะเป็นข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับ และผ้า ผืนเล็ก ๆ ผ้าเปื้อน
น้ำอ้อย. อนึ่ง ในทานนั้น อุตตรมาณพเป็นผู้จัดการให้ทานอุทิศแล้วอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ขอข้าพเจ้าได้พบกับพระยาปายาสิเฉพาะในโลกนี้เท่านั้น อย่าพบ
ในโลกอื่นเลย. พระยาปายาสิได้ยินว่า เขาว่าอุตตรมาณพให้ทานอุทิศอย่างนี้ว่า
ด้วยทานนี้ ข้าพเจ้าพบพระยาปายาสิในโลกนี้เท่านั้นเถิด อย่าพบในโลกอื่นเลย.
ครั้งนั้นพระยาปายาสี จึงเรียกอุตตรมาณพมาถามว่า พ่ออุตตรมาณพ เขาว่า
เจ้าให้ทานเสร็จแล้ว อุทิศอย่างเขาว่านั้นจริงหรือ. อุตตรมาณพ ตอบว่า
จริงขอรับ. ถามว่า เพราะเหตุไร พ่ออุตตรมาณพ เจ้าให้ทานแล้วจึงอุทิศ
อย่างนั้น ข้าไม่ต้องการบุญ หวังผลของทานเท่านั้นหรือ. ตอบว่า ท่านขอรับ
ท่านพระยาให้โภชนะ คือข้าวปลายเกรียน มีน้ำส้มพะอูมเป็นกับในทาน ท่าน
พระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า ท่านพระยาจะบริโภคได้อย่างไร
ทั้งผ้าก็ผืนเล็ก ๆ เปื้อนน้ำอ้อย ท่านพระยายังไม่ปรารถนาจะแตะต้องแม้แต่เท้า

ไฉนจะนุ่งห่มได้เล่า ก็ท่านพระยาเป็นที่รักที่พึงใจของพวกเรา พวกเราจะช่วย
ท่านพระยาผู้น่ารักน่าพึงใจ โดยอาการที่ไม่น่าพึงใจอย่างไรได้. ท่านพระยา-
ปายาสิกล่าวว่า พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงจัดโภชนะอย่างที่ข้าบริโภค
จงจัดผ้าผ่อนอย่างที่ข้านุ่งห่ม. อุตตรมาณพ รับคำของพระยาปายาสิแล้วจัด
โภชนะอย่างที่ท่านพระยาปายาสิบริโภค จัดผ้าผ่อนอย่างที่ท่านพระยาปายาสิ
นุ่งห่ม. ครั้งนั้น พระยาปายาสิ ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช่ให้ด้วย
มือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้น
ตายแล้ว ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่า. ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการในทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทาน
โดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ใช่ทิ้ง ๆ
ขว้างๆ ครั้นตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์.

เรื่องพระควัมปติเถระ - เทพบุตรปายาสิ



[330] สมัยนั้น ท่านพระควัมปติ ไปพักกลางวัน ณ เสรีสกวิมาน
อันว่างเปล่าเนือง ๆ. ครั้งนั้น ปายาสิเทพบุตร เข้าไปหาท่านพระควัมปติ
กราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระควัมปติจึงถามปายาสิเทพบุตร
ว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร. ปายาสิเทพบุตร ตอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
คือ พระยาปายาสิ. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านที่ได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ
เหตุนี้ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ดังนี้นะหรือ. ตอบว่า จริงเจ้าข้า แต่ข้าพเจ้าถูกพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสป
เปลื้องเสียจากความเห็นอันชั่วนั้นแล้ว. ถามว่า ผู้มีอายุ ท่านอุตตรมาณพ
ผู้จัดการในทานของท่านแล้ว เขาไปเกิดเสียที่ไหน. ตอบว่า ท่านเจ้าข้า

อุตตรมาณพผู้จัดการทานของข้าพเจ้าให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของ-
ตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานโดยไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้วก็เข้า
ถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ ท่านเจ้าข้า ส่วน
ข้าพเจ้า ให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานโดยมิใช่โดยมือของตนเอง ให้ทานโดย
ไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ครั้นตายแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายของ
เหล่าเทพชั้นจาตุเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า ท่านพระควัมปติ เจ้าข้า ถ้าอย่างนั้น
พระคุณเจ้ากลับมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกกล่าวคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พวกท่าน
จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานโดยมือของตนเอง จงให้ทานโดยนอบน้อม
จงให้ทานอย่าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พระยาปายาสิให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานไม่ใช้
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึง ความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราช มีเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า
ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการทานของพระยาปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทาน
ด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตายแล้ว
ก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์. ครั้งนั้น ท่าน
ควัมปติกลับมนุษยโลกแล้วก็บอกกล่าวแก่คนทั้งหลาย อย่างที่ปายาสิเทพบุตร
ส่งเสียทุกประการแล.
จบปายาสิราชัญญสูตร ที่ 10

อรรถกถาปายาสิราชัญญสูตร



ปายาสิราชัญญสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
ในปายาสิราชัญญสูตรนั้น พรรณนาตามลำดับบท ดังต่อไปนี้.

ประวัติท่านพระกุมารกัสสป



คำว่า อายสฺมา ผู้มีอายุ นี้เป็นคำที่น่ารัก. คำว่า กุมารกัสสป
เป็นชื่อของท่าน. ก็เพราะท่านบวชครั้งยังเป็นเด็กรุ่น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า พวกเธอจงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้นี้บ้าง ของเคี้ยวนี้
บ้างแก่กัสสป ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย สงสัยว่ากัสสปองค์ไหน (เพราะพระที่ชื่อ
กัสสปมีหลายองค์ ) จึงพากันขนานนามว่า กุมารกัสสป. ตั้งแต่นั้นมา แม้
ครั้งท่านแก่เฒ่า ก็ยังเรียกกันว่า กุมารกัสสป อยู่นั่นเอง. อีกนัยหนึ่ง
เพราะท่านเป็นบุตรเลี้ยงของพระเจ้าปเสนทิโกศล คนทั้งหลาย จึงจำหมาย
เรียกท่านว่ากุมารกัสสป. จะกล่าวเรื่องของท่านให้แจ่มแจ้ง ตั้งแต่ปุพพประโยค
ดังต่อไปนี้.
เล่ากันว่า พระเถระ ( กุมารกัสสป ) เป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระผู้มี-
พระภาคพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ. ต่อมาวันหนึ่ง ท่านเห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งพระสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้กล่าวธรรมได้
วิจิตรไว้ในตำแหน่ง ( เอตทัคค ) จึงถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า 7 วัน
กระทำความปรารถนาว่า แม้ข้าพเจ้าผู้มีโชคก็จะเป็นพระสาวกผู้กล่าวธรรมอย่าง
วิจิตร เหมือนพระเถระองค์นี้ ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล

กระทำบุญทั้งหลาย บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป
ไม่สามารถทำคุณวิเศษให้บังเกิดได้. นัยว่า ครั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระศาสนากำลังเสื่อม ภิกษุ 5 รูป ทำบันได
ขึ้นไปยังภูเขา กระทำสมณธรรม. ภิกษุผู้เป็นสังฆเถระ (หัวหน้า) บรรลุ
พระอรหัต ในวันที่ 3. ภิกษุผู้เป็นอนุเถระ ได้เป็นพระอนาคามี ในวันที่
4. อีก 3 รูปไม่สามารถทำคุณวิเศษให้บังเกิดได้ ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.
บรรดาภิกษุ 3 รูป ที่เสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดร
หนึ่งนั้น รูปหนึ่งไปบังเกิดในราชตระกูลในกรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระ-
นามว่า ปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มุ่งมายังกรุงราชคฤห์ ได้สดับ
พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ ก็บรรลุอนาคามิผล.
รูปหนึ่งไปบังเกิดในเรือนของตระกูลที่ท่าเรือชื่อ สุปัฏฏนะใกล้ทะเลแห่งหนึ่ง
โดยสารเรือ ๆ แตกต้องเอาไม้ทำผ้านุ่ง ได้ลาภสักการะ (ที่คนเขาหลงผิดคิดว่า
เป็นพระอรหันต์บูชา) ตัวเองก็เกิดคิดว่าตัวเป็นพระอรหันต์ เทวดาผู้หวังดี
ต้องเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ดอก จงไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามปัญหา
ก็กระทำตามเทวดาเตือน ได้บรรลุพระอรหัตผล. รูปหนึ่งไปเกิดในครรภ์
ของกุลสตรีผู้หนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์. กุลสตรีผู้นั้น อ้อนวอนมารดาก่อน
ก็ไม่ได้บวช จนมีสามี ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เอาใจสามี ๆ ก็อนุญาต จึงบวช
เป็นภิกษุณีอยู่ในสำนักภิกษุณี. ภิกษุณีทั้งหลาย เห็นนางมีครรภ์ จึง ถามพระ-
เทวทัต. พระเทวทัตก็บอกว่า นางไม่เป็นสมณะ. แล้ว (ยังสงสัย) ก็ไปทูลถาม
พระทศพลเจ้า. พระศาสดารับสั่งให้พระอุบาลีเถระรับเรื่องไปวินิจฉัย. พระเถระ
เชิญตระกูลชาวกรุงสาวัตถี และนางวิสาขา อุบาสิกาให้ตรวจ (ได้ข้อเท็จจริง
แล้ว) จึงวินิจฉัยว่า นางตั้งครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดา
ประทานสาธุการรับรองแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณี

นั้นคลอดบุตร เช่นกับหล่อด้วยแท่งทองคำ. พระเจ้าปเสนทิโกศลโปรดให้
รับทารกนั้นมาชุบเลี้ยง. พระราชทานนามว่ากัสสป ต่อมา ทรงเลี้ยง
กัสสปเติบโตพอแล้ว จึงทรงนำไปฝากไว้ยังสำนักพระศาสดาให้บรรพชา คน
ทั้งหลายจึงจำหมาย เรียกท่านว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา
ด้วยประการฉะนี้. วันหนึ่ง ท่านกระทำสมณธรรมอยู่ที่ป่าอันธวัน เทวดา
ผู้หวังดี จึงให้ท่านเรียนปัญหาแล้วบอกให้ท่านไปทูลถามปัญหาเหล่านี้กะพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. พระเถระทูลถามปัญหาแล้วก็บรรลุพระอรหัต ตอนจบการ
วิสัชนาปัญหา. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร.
คำว่า เสตพฺยา เป็นชื่อของนครนั้น. คำว่า อุตฺตเรน เสตพฺยํ
คือ ทิศด้านเหนือของเสตัพยนคร. คำว่า ราชญฺโญ คือเจ้าผู้มิได้รับมุรธาภิเษก.
คำว่า ทิฏฺฐิคตํ ก็คือ ทิฏฐิ ความเห็นนั่นเอง. เมื่อมีคำที่กล่าวกันว่า คูถคตํ
มุตฺตคตํ
ดังนี้ ของสิ่งอื่นนอกจากคูถเป็นต้น ย่อมไม่มี ฉัน ใด ทิฏฐินั่นแล
ก็คือ ทิฏฐิคตะฉันนั้น. คำว่า แม้เพราะเหตุนี้ จึงไม่มี ดังนี้ ความว่า
พระยาปายาสิกล่าวว่า ถึงจะอ้างเหตุนั้นๆ อย่างนี้ โลกอื่น ฯลฯ ก็ไม่มี. คำว่า
ปุรา ฯเปฯ สญฺญาเปติ ความว่า ยังเข้าใจกันไม่ได้เพียงใด.
คำว่า อิเม โภ กสฺสป จนฺทิมสุริยา ความว่า นัยว่า พระยาปายาสิ
นั้นถูกพระเถระถามแล้ว คิดว่า สมณะผู้นี้นำเอาพระจันทร์พระอาทิตย์มาอุปมา
ก่อน จักเป็นผู้ที่คนอื่นครอบงำไว้ไม่ได้ด้วยปัญญา เช่นเดียวกับพระจันทร์
พระอาทิตย์ ก็ถ้าเราจักตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกนี้ สมณะผู้นี้
ก็จักทำให้เราตื่นด้วยปัญหากรรมเป็นต้นว่า พระจันทร์พระอาทิตย์เหล่านั้น
อาศัยอะไร กว้างยาวเท่าไร สูงเท่าไร เราก็ไม่สามารถจะผูกเธอไว้ได้ จัก
ตอบเธอว่า มีอยู่ในโลกอื่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระยาปายาสิ จึงกล่าว

ตอบอย่างนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสุธาโภชนียชาดกมาเมื่อไม่นาน ก่อน
ปายาสิราชัญญสูตรนั้น. ในสุธาโภชนียชาดกนั้น พระจันทร์เป็นจันทรเทพบุตร
พระอาทิตย์เป็นสุริยเทพบุตร. ชาดกหรือพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ปรากฏรู้กันทั่วชมพูทวีป. ด้วยเหตุนั้น พระยาปายาสินั้นคิดว่า เราไม่อาจ
กล่าวว่า เทพบุตรทั้งหลายที่อยู่ประจำในดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั้นไม่มี จึงกล่าว
ตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์นั้นเป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์.
คำว่า อตฺถิ ปน ราชญฺญ ปริยาโย ความว่า พระเถระถามว่า
เหตุยังมีอยู่หรือ. คำว่า อาพาธิกา คือผู้ประกอบด้วยความเจ็บป่วย กล่าวคือ
ผู้มีเวทนาที่ไม่ถูกกัน. คำว่า ทุกฺขิตา คือถึงทุกข์. คำว่า พาฬฺหคิลานา
คือ เป็นไข้ มีประมาณยิ่ง. คำว่า สทฺธายิกา ความว่า เราเชื่อพวกท่าน ๆ
เป็นผู้ควรเชื่อ มีวาจาที่เชื่อถือได้ของเรา. คำว่า ปจฺจยิกา ความว่า เรา
ไว้ใจพวกท่าน ๆ ก็เป็นผู้ที่น่าไว้ใจ น่าเชื่อใจของเรา.
คำว่า อุทฺทิสิตฺวา ความว่า แสดงตัวและสิ่งของที่เก็บงำไว้แก่คน
เหล่านั้น ให้รับไว้. คำว่า วิปฺปลปนฺตสฺส คือ พร่ำรำพันว่า ลูกชาย
ของเรา ลูกหญิงของเรา ทรัพย์ของเรา. คำว่า นิรยปาเลสุ คือ ผู้ลงโทษ
สัตว์ในนรก. ก็คนพวกใดกล่าวว่า กรรมนั้นแหละลงโทษ นายนิรยบาลไม่มี
คนพวกนั้นก็ค้านเทวทูตสูตร ที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายนิรยบาลจับคน
ผู้นั้นดังนี้เป็นต้น. นายนิรยบาลมีอยู่ในนรก เหมือนมนุษย์ผู้ลงโทษ ประจำ
ราชตระกูลในมนุษยโลก ฉะนั้น.
คำว่า เวฬุโปสิกาหิ แปลว่า ด้วยซีกไม้ไผ่. คำว่า สุนิมฺมชฺชิตํ
ความว่า คูถ เป็นของครูดออกด้วยดีโดยประการใด ก็ครูดออกไปโดยประการ
นั้น. อธิบายว่า จงครูดออก นำออกไปโดยประการนั้น. คำว่า อสุจิ คือ

ไม่น่าพอใจ. คำว่า อสุจิสํขโต คือ ที่เป็นส่วนไม่สะอาด หรือที่รู้กันว่า
เป็นของไม่สะอาด. คำว่า ทุคฺคนฺโธ คือกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ. คำว่า
ชคุจฺโฉ คือ ควรเป็นของน่ารังเกียจ. คำว่า ปฏิกูโล คือนำความขัดใจ
มาด้วยการเห็นเท่านั้น. คำว่า อุพฺพาธติ ความว่า กลิ่นของพวกมนุษย์
แม้จะเป็นจักรพรรดิ เป็นต้น ซึ่งอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เปลี่ยนผ้าวัน ละ 3 ครั้ง
ตกแต่งประดับประดาแล้ว ก็ยังคลุ้งไปเหมือนซากศพที่ห้อยคอเทวดาซึ่งอยู่ไกล
ตั้งร้อยโยชน์ คำว่า ตาวตึสานํ ความว่า ท่านกล่าวอีก ด้วยอำนาจคนที่สมาทาน
ศีล 5 มีเว้นปาณาติบาตเป็นต้น ประพฤติอยู่. และกล่าวอธิบายคำว่า แห่งเทวดา
ชั้นดาวดึงส์ว่า เทวดาผู้เกิดในที่ไกล อย่ามาก่อนเพราะเหตุไร เทวดา เหล่านี้
จึงไม่มา. คำว่า ชจฺจนฺธูปโม มญฺเญ ปฏิภาสิ คือ ปรากฏประหนึ่ง
คนตาบอด แต่กำเนิด.
คำว่า อรญฺญฺวนปฏฺฐานิ อธิบายว่า ที่ชื่อว่าอรัญ เพราะประกอบ
ด้วยองคคุณของผู้อยู่ป่า ที่ชื่อว่าแนวป่า เพราะเป็นแนวป่าใหญ่. คำว่า ปนฺตานิ
คือไกล. คำว่า กลฺยาณธมฺเม คือมีธรรมอันดี เพราะศีลนั้นนั่นแหละ. คำว่า
ทุกฺขปฏิกูเล คีอผู้ไม่ปรารถนาทุกข์. คำว่า เสยฺโย ภวิสฺสติ อธิบายว่า จัก
มีสุคติสุข ในโลกอื่น. คำว่า อุปวิชญฺญา คือ เวลาคลอดใกล้เข้ามาแล้ว ครรภ์
แก่แล้ว. อธิบายว่า จักคลอดไม่นานเทียว. บทว่า อุปโภคา ภวิสฺสติ คือ
จักเป็นนางบำเรอ. บทว่า อนยพฺยสนํ ได้แก่ ทุกข์ใหญ่. สุขชื่อว่า อยะ
ไม่ใช่อยะ ชื่อว่าอนยะ คือทุกข์ ทุกข์นั่นนั้น ย่อมขับ คือ เขี่ยสุขออกไป
โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อ พยสนะ พยสนะ คือทุกข์
ชื่อว่า อนพยสนะ อธิบายว่า ทุกข์ใหญ่ ด้วยประการ ฉะนี้. คำว่า อโยนิโส
คือโดยไม่ใช่อุบาย. คำว่า อปกฺกํ น ปริปาเจนฺติ อธิบายว่า เข้าไปตัดอายุ
ที่ยังไม่เปลี่ยน ยังไม่สิ้นให้ขาดในระหว่าง หามิได้. คำว่า ปริปากํ
อาคเมนฺติ
คือรอเวลาที่อายุงอม. แม้ท่านพระธรรมเสนาบดีก็กล่าวไว้ว่า

นาภินนฺทามิ มรณํ นาภิกงฺขามิ ชีวิตํ
กาลญฺจ ปฏิกงฺขามิ นิพฺเพสํ ภฏโก ยถา
เราไม่ยินดีความตาย ไม่ปรารถนา
ความเป็น แต่เรารอเวลา (แตกดับ ) เหมือน
ลูกจ้างรอค่าจ้างฉะนั้น.

คำว่า อุพฺภินฺทิตฺวา คือ กระเทาะดินที่ยาไว้. คำว่า. รามเณยฺยกํ คือ
น่ารื่นรมย์. คำว่า เจลาวิกา คือ เด็กหญิงที่ง่วนด้วยการเล่น. คำว่า โกมาริกา
คือ เด็กหญิงวัยรุ่น. คำว่า ตุยฺหํ ชีวํ ความว่า หญิงเหล่านั้นแล เห็นชีวะที่
ออกไป ที่เข้าไป ขณะที่ท่านพระยาฝันเห็นบ้างไหม. พระเถระถือว่า ชีวะเป็น
อาการเที่ยวไปแห่งจิต จึงกล่าวไว้ในที่นี้. ก็ท่านมีความเข้าใจในอาการเที่ยว
ไปแห่งจิตนั้นว่าชีวะ.
คำว่า ชิยาย ความว่า รัดชีวะไว้ด้วยสายธนู. คำว่า ปตฺถินฺนตโร
กระด้าง คือ แข็งทื่อ. พระยาปายาสิแสดงอะไรด้วยคำนี้. พระปายาสิแสดง
ความข้อนี้ว่า ท่านทั้งหลาย กล่าวว่า เวลายังเป็นอยู่ สัตว์มีขันธ์ 5 แต่เวลา
ตายเหลืออยู่เพียงรูปขันธ์เท่านั้น ขันธ์ 3 ก็เป็นไปไม่ได้ วิญญาณขันธ์ก็ไป รูป
ขันธ์ที่ยังเหลือ ควรจะเบา แต่กลับหนัก เพราะฉะนั้น อะไร ๆ ไปที่ไหน
ไม่มีดังนี้. คำว่า นิพฺพุตํ คือมี เตโชธาตุ อันสงบแล้ว.
คำว่า อนุปหจฺจ คือไม่ให้เสียหาย. คำว่า อทฺธมโต โหติ คือเริ่ม
ตายช้า ๆ คำว่าโอธุนาถ แปลว่า ลากมาข้างนี้. คำว่า สนฺธุนาถ แปลว่า
ลากไปข้างโน้น. คำว่านิทฺธุนาถ แปลว่า ลากไปลากมา. คำว่า ตญฺจายตนํ
น ปฏิสํเวเทติ
ความว่า รูปายตนะนั้น ไม่รู้แจ้งด้วยจักษุนั้น. ทุกบทก็นัยนี้.
คำว่า สงฺขธโม แปลว่า คนเป่าสังข์. คำว่า อุปฬาสิตฺวา แปลว่า เป่า.
คำว่า อคฺคิโก แปลว่า ผู้บำเรอไฟ. คำว่า อาปาเทยฺยํ คือ พึงให้
สำเร็จ หรือพึงถึงอายุ. คำว่า โปเสยฺยํ คือ พึงเลี้ยงด้วยโภชนะ เป็นต้น.
คำว่า วฑฺเฒยฺยํ คือ พึงถึงความเติบโต. คำว่า อรณีสหิตํ คือ คู่ไม้สีไฟ.

คำว่า ติโรราขาโน พระราชาภายนอก ความว่า พระราชาทั้งหลาย
ในภายนอกแคว้น คือในชนบทอื่น ก็รู้. คำว่า อพฺยตฺโต คือ ผู้ไม่มีปัญญา
กล้า ผู้ไม่ฉลาด. คำว่า โกเปนปิ ความว่า คนเหล่าใด กล่าวกะเราอย่างนี้
ข้าพเจ้าก็จักชัก จักนำ จักพาเขา ซึ่งมีทิฏฐิอย่างนั้นเที่ยวไป ด้วยความโกรธ
ที่เกิดในคนเหล่านั้น. คำว่า มกฺเขน ด้วยมักขะ คือ ความลบหลู่ ที่มีลักษณะ
ลบหลู่เหตุที่ท่านกล่าวแล้ว. คำว่า ปลาเสน ด้วยปลาสะ คือ ความตีตนเสมอ
อันมีลักษณะที่ถือว่าเป็นคู่ (เคียง) กับท่าน.
คำว่า หรีตกปณฺณํ ในสมอ คือ สมอ ชนิดใดชนิดหนึ่ง. อธิบายว่า
โดยที่สุด แม้ใบหญ้าอ่อนก็ไม่มี. คำว่า อาสนฺนทฺธกลาปํ คือ ผู้มีแล่งธนูอัน
ผูกสอดไว้แล้ว. คำว่า อาสิตฺโตทกานิ วฏุมานิ คือ หนทางและห้วยละ
หาร มีน้ำบริบูรณ์. คำว่า โยคฺคานิ คือ ยานเทียมโคงาน. คำว่า พหุนิกฺข-
นุตโร
ความว่า ออกไปมาก ออกไปนานแล้ว. คำว่า ยถาภเตน ภณฺเฑน
ความว่า สิ่งของ คือหญ้าไม้และน้ำอันใด ที่พวกท่านบรรทุกมา ก็จงยังหมู่
เกวียนให้เป็นไป ด้วยสิ่งของที่ท่านนำมา บรรทุกมา พามา นั้นเถิด. คำว่า
อปฺปสารานิ คือมีค่าน้อย. คำว่า ปณิยานิ แปลว่า สิ่งของทั้งหลาย.
คำว่า มม จ สูกรภตฺตํ ความว่า นี้เป็นอาหารแห่งสุกรทั้งหลาย ของ
ข้าพเจ้า. คำว่า อุคฺฆรนฺตํ แปลว่า ไหลขึ้น. คำว่า ปคฺฆรนฺตํ แปลว่า ไหล
ลง. คำว่า ตุมฺเห เขฺวตฺถ ภเณ แปลว่า แนะพนาย พวกท่านต่างหาก เป็นบ้า
เสียจริต ในเรื่องนี้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. คำว่า ตถา หิ ปน
เม สูกรภตฺตํ
แปลว่า แต่ถึงอย่างนั้น คูถนี้ก็เป็นอาหารแห่งสุกรทั้งหลายของ
ข้าพเจ้า.
คำว่า อาคตาคตฺ กลึ แปลว่า กลืนเบี้ยแพ้ที่ทอดมาถึง ๆ เสีย. คำว่า
ปโชหิสฺสามิ ความว่า ข้าพเจ้าจักกำการเส้น จักทำการบวงสรวง. คำว่า

อกฺเขหิ ทุพฺพิสฺสามิ แปลว่า จักเล่นด้วยลูกสะกาทั้งหลาย คือเล่นด้วยลูกบาด
ทั้งหลาย.
คำว่า ลิตฺตํ ปรเมน เตชสา แปลว่า ที่อาบด้วยยาพิษมีฤทธิ์ร้ายแรง.
ประเทศแห่งบ้านที่อยู่ ท่านเรียก คามปัชชะ บาลีว่า คามปท ก็มี.
ความก็อย่างนี้เหมือนกัน. คำว่า ห่อป่าน คือ ห่อเปลือกป่าน. คำว่า สุสนฺนทฺ-
โธ
แปลว่า ผูกไว้ ดีแล้ว. คำว่า ตฺวํ ปชานาหิ แปลว่า ท่านจงรู้. อธิบายว่า
ท่านจงรับไว้ ถ้าท่านต้องการจะถือเอา ก็ถือเอาได้. คำว่า โขมํ แปลว่า เปลือก
ไม้. คำว่า อยสํ แปลว่า เหล็ก (โลหะดำ). คำว่า โลหํ แปลว่า ทองแดง
(โลหะแดง) คำว่า สชฺฌุ แปลว่า เงิน. คำว่า สุวณฺณํ แปลว่าทองมาสก.
คำว่า อภินนฺทึสุ แปลว่า ยินดีแล้ว.
คำว่า อตฺตมโน แปลว่า มีใจของตน คือมีจิตยินดีแล้ว. คำว่า
อภิลทฺโธ แปลว่า เลื่อมใสยิ่งแล้ว. คำว่า ปญฺหปฏิภาณาน แปลว่า ความ
ปรากฏชัดแห่งปัญหา. คำว่า ปจฺจนีกํ กาตพฺพํ ความว่ากระทำประหนึ่งว่า
เป็นข้าศึก คือผู้ทำผิด ๆ. คำว่า อวมญฺญิสฺสํ ความว่า ยืนหยัดถือกลับกันเสีย.
คำว่า สงฺฆาตํ อาปชฺชนฺติ แปลว่า ถึงฆาต พินาศ มรณะ. คำว่า
น มหปฺผโล ความว่า ไม่มีผลมากโดยผลวิบาก. คำว่า น มหานิสํโส ความ
ว่า ไม่มีอานิสงส์มาก โดยอานิสงส์คือคุณ. คำว่า น มหาชุติโก ความว่า ไม่มี
ความรุ่งเรือง โดยความรุ่งเรืองด้วยอานุภาพ. คำว่า น มหาวิปฺผาโร ความ
ว่า ไม่มีความแผ่ไพศาล โดยความแผ่ไปแห่งวิบาก. คำว่า พีชนงฺคลํ
แปลว่า พืช (เมล็ดพันธุ์) และไถ. คำว่า ทุกฺเขตฺเต แปลว่า ในนาเลว นาไร้
สาระ. คำว่า ทุพฺภูเม แปลว่า พื้นดินไม่สม่ำเสมอ. คำว่า ปติฏฺฐาเปยฺย แปลว่า
พึงทรงไว้. คำว่า ขณฺฑานิ คือ หักและแตก. คำว่า ปูตีนิ คือ ไร้สาระ.
คำว่า วาตาตปหตานิ คือ ถูกลมและแดดกระทบอบอ้าว. คำว่า อสารทานิ

คือ เขียวสด จนเว้นที่จะให้เมล็ดข้าวสารได้. คำว่า อสุขสยิตานิ คือ พืช
เหล่าใด ที่เขาทำให้แห้งแล้ว เกลี่ยไว้ในยุ้งฉาง พืชเหล่านั้น ชื่อว่าสุขสยิต.
แต่พืชเหล่านั้นไม่เป็นเช่นนั้น. คำว่า น อนุปฺปเวจฺเฉยฺย คือ ฝนไม่หลั่ง
ลงมา คือ ไม่ตกโดยชอบ (ถูกต้องตามฤดูกาล). อธิบายว่า ไม่ตกทุก
กึ่งเดือน ทุกสิบวัน ทุกห้าวัน. คำว่า อปิ นุ ตานิ ความว่า เมื่อนามี
พืชแลฝนเป็นโทษอยู่อย่างนี้ พืชเหล่านั้น จะพึงเติบโตสูงขึ้น งอกงามลงราก
และแผ่ไพบูลย์โดยรอบ ด้วยหน่อรากและใบเป็นต้น ได้หรือ. คำว่า เอวรูโป
โข ราชญฺญ ยญฺโญ
ความว่า ดูก่อนท่านพระยา ท่านเห็นปานนี้ ย่อมไม่มี
ผลมาก เพราะไม่บริสุทธิ์โดยปัจจัยที่การทำร้ายผู้อื่นก่อให้เกิดขึ้นบ้าง โดย
ทายกบ้าง โดยปฏิคาหกบ้าง. คำว่า เอวรูโป โข ราชญฺญ อญฺโญ ความว่า
ดูก่อนท่านพระยา ทานเห็นปานนี้ ย่อมมีผลมาก โดยปัจจัยที่เกิดขึ้น เพราะ
การไม่ทำร้ายผู้อื่นบ้าง โดยทายกผู้มีศีลเพราะไม่ทำร้ายผู้อื่นบ้าง โดยปฏิคาหก
ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นบ้าง. ก็ถ้าทาน ได้ปฏิคาหกผู้ออกจาก
นิโรธ ยิ่งยวดด้วยคุณ (คุณาติโรกสัมปทา) และเจตนาของทายก ไพบูลย์ไซร้
ก็จะให้วิบากทันตาเห็นทีเดียว. ก็ท่านพระยาปายาสิ สดับธรรมกถาของพระเถระ
นิมนต์พระเถระถวายมหาทาน 7 วัน ตั้งทานประจำแก่คนทั้งปวงตั้งแต่นั้นมา.
ท่านหมายถึงทานนั้น จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระยาปายาสิเป็นต้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาณาชิกํ คือข้าวที่หุงจากข้าวสารหักมีรำ.
คำว่า พิลงฺคทุติยํ แปลว่า มีน้ำส้ม (พะอูม) เป็นที่สอง. คำว่า โจรกานิ
จ วตฺถานิ
แปลว่า ผ้าที่มีเส้นด้ายหยาบ. คำว่า คุฬวาลกานิ คือ ผ้าที่คลุก
ชิ้นน้ำอ้อยงบ อธิบายว่า ผ้าผืนใหญ่ที่วางไว้เป็นกอง ๆ. คำว่า เอวมนุทฺทิสติ
คือ ชี้แจงไว้อย่างนี้. คำว่า ปาทหาปิ แปลว่า แม้ด้วยเท้า. คำว่า กสกฺกจฺจํ

คือ เว้นศรัทธา ให้ทานด้วยไม่มีศรัทธา. คำว่า อสหตฺถา. แปลว่า ไม่ใช่
ด้วยมือของตนเอง. คำว่า อจิตฺ ตีกตํ คือเว้นการกระทำความยำเกรงให้ทาน.
เข้าไปตั้งการกระทำความยำเกรง หามิได้ ให้ทานกระทำให้ประณีตหามิได้.
คำว่า อปวิทฺธํ คือ ทิ้งขว้างตกแตกเรี่ยราด. คำว่า สุญฺญํ เสรีสกํ ความว่า
เข้าไปสู่วิมานเงินที่ว่างเปล่า วิมานหนึ่ง ชื่อเสรีสกะ. นัยว่า มีต้นซึกขนาดใหญ่
อยู่ใกล้ประตูวิมานนั้น เพราะเหตุนั้น วิมานนั้นจึงเรียกกันว่า เสรีสกะ.

เรื่องท่านพระควัมปติ



เล่ากันว่า พระเถระ เป็นหัวหน้าเด็กเลี้ยงโค ในมนุษยโลก ในชาติ
ก่อน แผ้วถางโคนต้นซึกขนาดใหญ่ เกลี่ยทรายไว้ นิมนต์พระเถระผู้ถือ
ปิณฑปาติกธุดงค์รูปหนึ่ง ให้นั่งที่โคนต้น ถวายอาหารที่ตนได้มา จุติจากมนุษย์
โลกนั้น ไปบังเกิดในวิมานเงินนั้น ด้วยอานุภาพของบุญนั้น. ต้นซึกตั้งอยู่ใกล้
ประตูวิมาน. 50 ปี ต้นซึกนั้นจึงผลิตผล. แต่นั้นเทพบุตรก็ถึงความสลดใจว่า
ล่วงไป 50 ปีแล้ว. สมัยต่อมา เทพบุตรนั้นไปบังเกิดในหมู่มนุษย์ ในสมัยของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ฟังธรรมกถาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัต.
แต่ด้วยอำนาจความเคยชิน พระเถระก็ไปยังวิมานนั้นนั่นแหละอยู่เนือง ๆ เพื่อ
พักกลางวัน. นัยว่าวิมานนั้น เป็นที่มีสุขตามฤดูกาล ของพระเถระนั้น ท่าน
หมายเอาเหตุอันนั้น จึงกล่าวว่า สมัยนั้นแล ท่านพระควัมปติ ดังนี้เป็นต้น.
คำว่า โส สกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา ความว่า อุตตรมานพนั้น ให้ทานแม้
เป็นของ ๆ ผู้อื่นก็โดยเคารพ. คำว่า เอวมาโรเจหิ ความว่า ท่านจงบอก
(มนุษย์) ด้วยนัยเป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ ดังนี้. ก็แล
มหาชนฟังการบอกกล่าวของพระเถระนั้นแล้ว ก็ให้ทานโดยเคารพไปบังเกิด

ในเทวโลก. ส่วนนางบำเรอ (ปริจาริกา) ของพระยาปายาสิ. แม้ให้ทานโดย
เคารพ ก็ไปบังเกิดในสำนักของพระยาปายาสินั่นแล ด้วยอำนาจความปรารถนา
นัยว่าเสรีสกวิมานนั้น เป็นวิมานสำหรับเทพผู้จาริกมาแต่ทุกทิศมีอยู่ในดงชื่อ
วัฏฏนี (ลับแล). ก็ในวันหนึ่ง ปายาสิเทพบุตรแสดงตัวแก่เหล่าพ่อค้าทั้งหลาย
แล้วกล่าวกรรมที่ตนกระทำไว้แล้วแล.
จบอรรถกถาปายาสิราชัญญสูตรที่ 10 แห่งอรรถกถาทีมนิกาย ชื่อ
สุมังคลวิลาสินี ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถามหาวรรค

รวมพระสูตรในเล่มนี้


6. มหาโควินทสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
7. มหาสมัยสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
8. สักกปัญหสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
9. มหาสติปัฏฐานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
10. ปายาสิราชัญญสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
ตั้งแต่มหาปทานสูตรถึงปายาสิราชัญญสูตรนี้
รวมเรียกว่า มหาวรรค
จบ มหาวรรค