เมนู

กินฺนุฆณฺทุ. ชื่อนิฆัณฑุอื่น ก็ชื่อนิฆัณฺฑุด้วย. ( = นิฆัณฑุมีสองตน) พวก
บ่าวมี ( 10 ตน) เท่านี้. ส่วนพวกอื่นจากนี้ก็ได้แก่เทวราชเหล่านี้ คือ :-
ปนาทะ 1 โอปมัญญะ 1 เทวสูตะ 1
มาตลี 1 จิตตเสนะ 1 คนธรรพ์ 1 นโฬ-
ราชะ 1 ชโนสภะ 1 ปัญจสิขะ 1 ติมพรู 1
สุริยวัจฉสา 1 ก็มาแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทวสูตะ คือ เทวสารถี. บทว่า จิตตเสนะ
คือ แยกออกเป็นเทวราชได้ 3 องค์ จิตตะ 1 เสนะ 1 จิตตเสนะ 1.
บทว่า คนธรรพ์ ก็ได้แก่ จิตตเสนะ อันเป็นพวกคนธรรพ์นี้ . ไม่ใช่แต่
จิตตเสนะนี้เท่านั้น ถึงปนาทะเป็นต้นทั้งหมดนี้ ก็เป็นคนธรรพ์ทั้งนั้น. บทว่า
นโฬราชะ ได้แก่เทพองค์หนึ่งชื่อนฬการเทวบุตร. บทว่า ชโนสภะ คือ
เทวบุตรชื่อชนวสภะ. บทว่า และปัญจสิขะ ก็มาเหมือนกัน คือ ปัญจสิขะ
เทวบุตรนั่นเทียวก็มา. บทว่า ติมพรู คือ คนธรรพเทวราช. บทว่า สุริย-
วัจฉสา
ได้แก่ลูกสาวของท้าวติมพรูนั่นเอง. บทว่า เทพเหล่านี้ และคน-
ธรรพ์ผู้เป็นราชาเหล่า อื่นพร้อมกับเหล่าราชา
คือเทพเหล่านี้ เหล่า
พญาคนธรรพ์ที่กล่าวด้วยอำนาจพระนาม และคนธรรพ์จำนวนมากเหล่าอื่น
พร้อมกับพระราชาเหล่านั้น. บทว่า ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่าอันเป็นที่ประชุม
ของภิกษุทั้งหลาย
มีความว่า มีจิตร่าเริงยินดี มาแล้วสู่ป่านี้อันเป็นที่
ประชุมของภิกษุทั้งหลาย.
บทว่าอนึ่งพวกนาคชาวสระนาภสะ และพวกนาคชาวไพศาลี
ก็มาพร้อมกับตัจฉกะ
คือ พวกนาคชาวสระนภสะ และพวกนาคชาวเมือง
ไพศาลี ก็มาพร้อมกับบริษัทของตัจฉกนาคราช. บทว่า กัมพลและอัสดร
คือ กัมพล 1 อัสดร 1. เล่ากันมาว่า นาคเหล่านี้ อยู่ที่เชิงเขาสิเนรุ เป็นนาค

ชั้นผู้ใหญ่ที่แม้พวกสุบรรณ (ครุฑ) ก็พึงฉุดไป (= นำไป จับไป) ไม่ได้.
บทว่า และพวกนาคชาวประยาคะ พร้อมกับหมู่ญาติ คือ และพวกนาค
ที่อยู่ท่าประยาคะ ก็มากับหมู่ญาติ. บทว่า และพวกชาวยมุนาและพวก
ธตรัฏฐ์
คือ พวกนาคที่อยู่ในแม่น้ำยมุนา และพวกนาคที่เกิดในตระกูลธตรัฏฐ์.
บทว่า ช้างใหญ่ชื่อเอราวัณ คือ และเอราวัณเป็นเทวบุตร ไม่ใช่เป็นช้าง
โดยกำเนิด แต่เทวบุตรนั้นถูกเรียกว่าช้าง. บทว่า แม้เขาก็มา คือ แม้
เอราวัณเทวบุตรนั้นก็มา. บทว่า พวกใดนำนาคราชไปได้รวดเร็ว คือ
พวกครุฑเหล่าใด มีความโลภครอบงำแล้วนำ คือจับเอาพวกนาคมีประการที่
กล่าวแล้วนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว. บทว่า เป็นทิพย์ เกิดสองครั้ง มีปีก มีตา
หมดจด
คือ ชื่อว่าเป็นทิพย์ เพราะมีอานุภาพทิพย์ ชื่อว่าเกิดสองครั้ง
เพราะเกิดแล้วสองครั้งคือจากท้องแม่และจากกะเปาะไข่ ชื่อว่ามีปีก เพราะ
ประกอบด้วยปีก ชื่อว่ามีตาหมดจด เพราะประกอบด้วยตาที่สามารถเห็นหมู่
นาคในระหว่างร้อยโยชน์บ้าง พันโยชน์บ้าง. บทว่า พวกเหล่านั้น ไปถึง
กลางป่าทางเวหา
คือ พวกครุฑเหล่านั้น ถึงป่าใหญ่นี้โดยทางอากาศนั่น
เอง. บทว่า ชื่อของพวกเหล่านั้นว่าจิตระและสุบรรณ คือ ครุฑเหล่า
นั้นชื่อจิตระ และสุบรรณ. บทว่า ในครั้งนั้นได้มีการอภัยแก่พวกนาค
ราช พระพุทธเจ้าทรงทำความปลอดภัยจากสุบรรณ
คือ (เพราะเหตุใด)
เพราะเหตุนั้น พวกนาคและครุฑทั้งหมดนั้น ทักกันด้วยวาจาที่สุภาพคุยกัน
เพลิดเพลินเหมือนเพื่อนและเหมือนญาติ สวมกอดกันจับมือกันวางมือบนจงอย
บ่า มีจิตร่าเริงยินดี. บทว่า พวกนาค พวกสุบรรณ ทำพระพุทธเจ้าให้
เป็นสรณะ
คือ พวกเขาเหล่านั้น ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก.
พวกที่อยู่ในทะเลหลวงคือพวกอสูร ผู้อาศัยทะเล ซึ่งถูกพระอินทร์ผู้เป็น
ราชาแห่งเทพ ซึ่งมีพระนามว่าท้าววชิรหัตถ์ (มีวชิราวุธในพระหัตถ์) ปราบ

เมื่อคราวก่อน เพราะเหตุนางสุชาดาลูกสาวของอสูร แม้เหล่าใด แม้เหล่า
นั้นทั้งหมด เป็นพี่น้องของท้าววาสวะ. (พระอินทร์) พวกเหล่านั้นมีฤทธิ์ มียศ-
บทว่า พวกกาลกัญชามีกายใหญ่พิลึก คือ และพวกอสูรกาลกัญชานิรมิต
ร่างใหญ่ น่าสะพึงกลัวแล้วก็มา. บทว่า พวกอสูรตระกูลทานเวฆัส ได้แก่
พวกอสูรถือธนู เหล่าอื่นชื่อทานเวฆัส. บทว่า เวปจิตติ สุจิตติ และ
ปหาราทะกับนมุจี
ได้แก่ และพวกอสูรเหล่านี้ คือ อสูรชื่อเวปจิตติ 1 อสูร
ชื่อสุจิตติ 1.1 บทว่า กับนมุจี ได้แก่ และมาร ชื่อนมุจิ ผู้เป็นเทวบุตร ก็มา
พร้อมกับอสูรเหล่านั้นนั่นแล. อสูรเหล่านี้อยู่ในทะเล แต่นมุจีนี้อยู่ในเทวโลก
ชั้นปรนิมมิต เหตุไรจึงมาพร้อมกับอสูรเหล่านั้น ? เพราะเป็นพวกไม่ถูกใจ
เป็นพวกอภัพ. ส่วนนมุจีนี้ก็เช่นกันนั่นแหละ ธาตุถูกกัน เพราะฉะนั้นจึงมา.
บทว่า และพวกลูกของพลิผู้อสูรหนึ่งร้อย คือ ลูกร้อยหนึ่งของพลีผู้อสูร
ใหญ่ บทว่า ทุกตนชื่อไพโรจน์ คือทรงชื่อราหูผู้เป็นลุงของตนนั่นเอง.
บทว่า ผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง คือ ผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง
ของตนทุกตนกลายเป็นผู้จัดเครื่องสนามเสร็จแล้ว. บทว่า เข้าใกล้ราหุภัทร
แล้ว
คือ เข้าหาจอมอสูรชื่อราหู. บทว่า ท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัย
ของท่าน
คือ ความเจริญจงมีแก่ท่าน บัดนี้เป็นเวลาประชุม. อธิบายว่า
ท่านจงเข้าไปสู่ป่าเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย เพื่อดูหมู่ภิกษุ.
บทว่า เหล่าอาโปเทพ เหล่าปฐวีเทพ เหล่าเตโชเทพ และ
เหล่าวาโยเทพ ก็มาในครั้งนั้น
คือ เหล่าเทพที่มีชื่อขึ้นต้นว่า น้ำ เพราะ
ทำบริกรรมในกสิณน้ำเป็นต้นจึงเกิดขึ้นมา ก็มาในครั้งนั้น. บทว่า เหล่า
วรุณเทพ เหล่าวารุณเทพ และโสมเทพ กับยศเทพ
ความว่า พวกเทพ
ที่มีชื่ออย่างนี้ คือ วรุณเทพ วารุณเทพ โสมเทพ ก็มาด้วยกัน กับยศเทพ.
1. ปหาราทะ หายไป.

บทว่า พวกเมตตากรุณา คือพวกเทพผู้ทำบริกรรมในฌานที่ประกอบด้วย
ความรัก และในฌานที่ประกอบด้วยความเอ็นดูแล้วจึงเกิดขึ้น. บทว่า เหล่า
เทพผู้มียศมาแล้ว คือ แม้พวกเทพเหล่านั้น เป็นผู้มียศใหญ่ ได้มาแล้ว.
บทว่า หมู่เทพสิบหมู่เหล่านี้ ตั้งอยู่โดยส่วนสิบ ทั้งหมดมีผิวพรรณ
ต่าง ๆ กัน
ความว่า พวกเทพสิบหมู่เหล่านั้นตั้งอยู่โดยส่วนสิบ ทั้งหมดมี
ผิวพรรณต่าง ๆ กัน ด้วยสามารถแห่งสีเขียวเป็นต้น ก็มาแล้ว.
บทว่า และเทพชื่อเวณฑู คือ เวณฑุเทพ 1. บทว่า สหลีด้วย
คือ เทพชื่อสหลี 1. บทว่า เทพชื่ออสมา และยมะทั้งสอง คือ อสมเทพ
และยมกเทพอีก 2. บทว่า พวกเทพที่อาศัยพระจันทร์ เอาพระจันทร์
ไว้ข้างหน้าแล้วก็มา
คือ พวกเทพที่อาศัยพระจันทร์ ทำพระจันทร์ไว้ข้าง
หน้าแล้วก็มา ถึงพวกเทพที่อาศัยพระอาทิตย์ ก็ทำพระอาทิตย์ไว้ข้างหน้าแล้ว
ก็มาเหมือนกัน . บทว่า ทำนักษัตรไว้ข้างหน้า คือ เทวดาทั้งหลายที่อาศัย
นักษัตร (ดาวเคราะห์) ทำหมู่นักษัตรไว้ข้างหน้าแล้วก็มา. บทว่า มันทวลา
หกทั้งหลายก็มา
ความว่า เหล่าวาตวลาหก เหล่าอัพภวลาหก เหล่าอุณห-
วลาหก พวกวลาหกเทพแม้ทั้งหมดนี้ เรียกชื่อว่ามันทวลาหก แม้เหล่ามันท
วลาหกนั้นก็มา. บทว่า ถึงแม้ท้าวสักกะ วาสวะปุรินททะ ผู้ประเสริฐ
กว่าพวกวสุ ก็มา
คือ วาสวะ คือ พระองค์ใดที่เรียกว่า สักกะและ
ปุรินททะ ผู้ประเสริฐกว่าวสุเทพทั้งหลาย แม้ท้าววาสวะนั้น ก็เสด็จมา.
บทว่า พวกเทพ 10 เหล่านี้ คือพวกเทพ 10 เหล่านี้ มาแล้วโดยส่วน 10.
บทว่า ล้วนแต่มีผิวพรรณแตกต่างกัน คือ มีผิวพรรณต่าง ๆ กันด้วย
สามารถสีเขียวเป็นต้น.
บทว่า ต่อมา พวกสหภูเทพก็มา คือ ลำดับต่อมา พวกเทวดา
ชื่อสหภูก็มา. บทว่า ชลมคฺคิสิขาริว คือ รุ่งเรืองอยู่ดุจเปลวไฟ. ท่าน