เมนู

อรรถถกถามหาสุทัสสนสูตร



มหาสุทัสสนสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้. การพรรณนา
ตามลำดับบทในมหาสุทัสสนสูตรนั้น มีดังนี้ ในคำว่า เอาแก้วทุกอย่างมา
สร้างปนกัน
นั้น อิฐก้อนหนึ่งทำด้วยทอง ก้อนหนึ่งทำด้วยเงิน ก้อนหนึ่ง
ทำด้วยแก้วไพฑูรย์ ก้อนหนึ่งทำด้วยแก้วผลึก ก้อนหนึ่งทำด้วยโกเมน ก้อนหนึ่ง
ทำด้วยบุษราคัม ก้อนหนึ่งทำด้วยรัตนะทุกอย่าง. กำแพงนี้อยู่ภายในกำแพง
ทั้งหมด สูงประมาณ 60 ศอก. แต่พระเถระพวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่านคร เมื่อ
คนยืนอยู่ภายในแลดูก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงที่อยู่ข้างนอกทั้งหมด
จึงสูง 60 ศอก กำแพงที่เหลือจึงต่ำโดยลำดับ. พวกหนึ่งกล่าวว่า นครนี้ เมื่อคน
ยืนอยู่ภายนอกแลดู ก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงในที่สุด จึงสูง 60
ศอก กำแพงที่เหลือจึงต่ำโดยลำดับ. พวกหนึ่งกล่าวว่า นครนี้ เมื่อคนยืนอยู่
ภายในและภายนอกแลดู ก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงในท่ามกล่าว
จึงสูง 60 ศอก กำแพงภายใน 3 แห่ง และภายนอก 3 แห่ง จึงต่ำโดยลำดับ.
บทว่า เอกสิกา คือ เสาระเนียด. บทว่า ติโปริสงฺคา ความว่า
แขนบุรุษคนหนึ่งพันแขนกัน 3 คน รวมกันเป็น 15 แขน. ก็เสาระเนียด
เหล่านั้น ตั้งอยู่อย่างไร. โดยข้างนอกพระนคร ใกล้ปีกพระทวารใหญ่
แต่ละแห่ง มีเสาระเนียดแห่งละ 1 ต้น ใกล้ปีกพระทวารเล็กแต่ละแห่ง มี
เสาระเนียดแห่งละ 1 ต้น ระหว่างพระทวารใหญ่ และพระทวารเล็กแห่งละ
3 ต้น.
บรรดาต้นตาลที่ทำด้วยรัตนะทั้งหมดในแถวตาลทั้งหลาย ตาลต้นหนึ่ง
ทำด้วยทอง เพราะฉะนั้น พึงทราบลักษณะที่กล่าวแล้วในกำแพงนั่นเทียว.

แม้ในใบและผลทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกัน. ก็แถวตาลเหล่านั้น สูง 80 ศอก
ตั้งอยู่ในระหว่างกำแพงแห่งละ 1 แถว ในพื้นที่ราบเรียบซึ่งเกลี่ยด้วยทราย. บทว่า
วคฺคู แปลว่า ฉลาดดี. บทว่า รชนีโย แปลว่า สามารถเพื่อกำหนัด. บทว่า
กมนีโย แปลว่า เมื่อฟังแม้ตลอดวัน ก็ไม่เบื่อ. บทว่า มทนีโย แปลว่า
ทำให้เกิดเมาใจ เมาคน. บทว่า ปญฺจงฺคิกสฺส ความว่า ประกอบด้วยองค์
5 ประการ คือ อาตฏะ วิตฏะ อาตฏวิตฏะ สุริระ ฆนะ. ในองค์ 5
ประการนั้น ดุริยางค์ ที่หุ้มหนังหน้าเดียว ในบรรดากลองเป็นต้น ซึ่งหุ้ม
ด้วยหนัง ชื่อว่า อาตฏะ ดุริยางค์ที่หุ้มทั้ง 2 หน้า ชื่อว่า วิตฏะ ดุริยางค์
ที่หุ้มทั้งหมด ชื่อว่า อาตฏวิตฏะ. ปี่แลสังข์เป็นต้น ชื่อว่า สุสิระ. สัมม-
ตาลเป็นต้น ชื่อว่า ฆนะ. บทว่า สุวินีตสฺส ความว่าขึงดีแล้ว ด้วยทำให้
หย่อนเป็นต้น. บทว่า สุปฏิตาพิตสฺส ความว่า ตีเทียบดีแล้ว เพื่อให้รู้ว่า
พอดี. บทว่า กุสเลหิ สมนฺนาหตสฺส ความว่า บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งสามารถที่จะบรรเลง. บทว่า ธุตฺตา แปลว่า นักเลงการพนัน. บทว่า
โสณฺฑา ความว่า นักเลงสุรา. นักเลงสุราเหล่านั้นเทียว ชื่อว่า นักดื่ม
ด้วยความสามารถดื่มได้บ่อย ๆ. บทว่า ปริจาเรสุํ แปลว่า ถือจังหวะมือ
จังหวะเท้าฟ้อนเล่น. บทว่า สีสนฺหาตสฺส แปลว่า ทรงอาบด้วยน้ำกลิ่นหอม
ทั่วพระเศียร.
บทว่า อุโปสถิกสฺส ความว่า ทรงสมาทานองค์อุโบสถ. บทว่า
อุปริปาสาทวรคตสฺส ความว่า เสด็จขึ้นปราสาทอันประเสริฐ ทรงเสวย
พระกระยาหารแล้ว เสด็จเข้าไปยังห้องศิริ เบื้องบน คือ บนพื้นใหญ่
แห่งพระปราสาทอันประเสริฐ แล้วทรงระลึกถึงศีล. ได้ยินว่า ครั้งนั้น
พระราชาทรงแก้ปัญหาตั้งแสน ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ทรงถวายมหาทาน ทรง
ชำระพระเศียร ด้วยน้ำหอม 16 หม้อ เสวยพระกระยาหารเช้า ทรงสพักสไบ
อันบริสุทธิ์ ประทับนั่งสมาธิในห้องบรรทมบนพระปราสาทอันประเสริฐ ทรง

ระลึกถึงเหตุแห่งบุญ ซึ่งสำเร็จด้วยทาน ทมะ และสัญญมะ ของพระองค์. นี้
เป็นธรรมดาของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งปวง. เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเหล่านั้น
ทรงระลึกถึงศีลอย่างนั้น จักรรัตนะอันเป็นทิพย์ เช่นกับก้อนแก้วมณีสีเขียว
อันมีสมุฏฐานจากบุญกรรม ปัจจัยและฤดูดังกล่าวแล้ว ย่อมปรากฏเหมือน
พื้นน้ำสมุทรด้านปราจีน ถูกคลื่นพัด เหมือนอากาศอันประดับประดาแล้ว
ฉะนั้น. จักรรัตนะนั้น ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช
ฉันนั้นเหมือนกัน.
จักรรัตนะนี้นั้น ท่านกล่าวว่าเป็นทิพย์ เพราะประกอบด้วยอานุภาพอัน
เป็นทิพย์. จักรรัตนะมีกำตั้งพัน จึงชื่อว่า สหสฺสารํ. มีกงและมีดุม จึงชื่อ
ว่า สเนมิกํ สนาภิกํ. บริบูรณ์ด้วย อาการทั้งปวง จึงชื่อว่า สพฺพา-
การปริปูรํ.

จักรในมหาสุทัสสนสูตร นั้นด้วย เป็นรัตนะด้วย เพราะอรรถว่า ให้
เกิดความยินดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จักรรัตนะ. ก็จักรรัตนะท่านกล่าวว่า
สนาภิกํ ด้วยดุมใด ดุมนั้น ทำด้วยแก้วมณีสีเขียว. ก็ท่ามกลางแห่งดุม ซึ่ง
ทำด้วยเงินแท้ รุ่งโรจน์เหมือนเบียดเสียดด้วยระเบียบฟันที่ขาวสนิท. ล้อมด้วย
แผ่นเงินทั้งภายนอกและภายใน ทั้งสอง เหมือนมณฑลแห่งจันทร์ที่มีจุดใน
ท่ามกลางฉะนั้น. ก็ลวดลายที่แกะสลักในที่อันสมควรในแผ่นล้อมดุม และซี่
นั้น ปรากฏว่าจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี. ความบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงแห่งดุม
แห่งจักรรัตน์เพียงเท่านี้ก่อน. จักรรัตนะนั้นท่านกล่าวว่า สหสฺสารํ ด้วย
กำเหล่าใด กำเหล่านั้นทำด้วยรัตนะเจ็ดประการ ถึงพร้อมด้วยแสงสว่าง
เหมือนรัศมีแห่งพระอาทิตย์ฉะนั้น. อาการมีลวดลายสลักด้วยก้อนแก้วแห่งกำ
แม้เหล่านี้ ปรากฏเป็นจักร แบ่งเป็นอย่างดีทีเดียว. นี้เป็นความสมบูรณ์โดย
อาการทั้งปวงแห่งกำแห่งจักรรัตนะนั้น. อนึ่ง จักรรัตนะนั้น ท่านกล่าวว่า

สเนมิกํ ด้วยกงใด กงนั้นทำด้วยแก้วประพาฬอันแดงจัด บริสุทธิ์สนิท เหมือน
กับจะเยาะเย้ยศิริแห่งกลุ่มรัศมีพระอาทิตย์อ่อน ๆ ฉะนั้น. ก็ในที่ต่อแห่งกงนั้น
ลวดลายที่สลักกลม มีศิริเป็นก้อนขาวแดงบริสุทธิ์ดี ดาดาษด้วยชมพูนุทสีแดง
ปรากฏเป็นอันจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี. นี้คือ ความบริบูรณ์ โดยอาการทั้งปวง
แห่งกงจักรรัตนะนั้น. ก็ในระหว่างกำ ทั้งสิบ แห่งจักรรัตนะนั้น ใน
เบื้องหลังแห่งบริเวณกง มีก้อนแก้วประพาฬจับลม แกะสลักเป็นศีรษะภายใน
เหมือนกลุ่มควันฉะนั้น.
จักรรัตนะใดที่ต้องลมแล้ว มีเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง ให้
เคลิบเคลิ้มเหมือนเสียงดนตรีที่ประกอบด้วยองค์ ห้า ที่บรรเลงโดยผู้ชำนาญ
ดีแล้วฉะนั้น ก็จักรรัตนะนั้น ในเบื้องบนแห่งคัน แก้วประพาฬมีฉัตรขาว
ในข้างทั้งสอง มีแถวลวดลายดอกทองคำรวมกันเป็นสองแถว ภายในดุมและ
ซี่แม้ทั้งสอง ล้อมกงซึ่งงามพร้อมด้วยคันแก้วประพาฬร้อยคัน ทรงฉัตรขาวตั้ง
ร้อย มีแถวลวดลายดอกทองคำที่รวมประชุมสองร้อยอย่างนี้เป็นบริวาร มี
มุขสีหะสองมุข มีพวงแก้วมุกดาประมาณเท่าลำตาล 2 พวง อันสวยงามเหมือน
ประกายแสะพระจันทร์เพ็ญ ดาดาษด้วยผ้ากัมพลสีแดงเสมอเหมือนดวงพระ-
อาทิตย์อ่อน ๆ รอน ๆ จะเย้อความงามที่แผ่กระจายในอากาศ และแม่น้ำคงคา
ฉะนั้น ห้อยระย้าอยู่ มีวงจักร 3 วง พร้อมกับจักรรัตนะปรากฏเหมือนหมุน
ในอากาศ พร้อมกันฉะนั้น นี้ ความบริสุทธิ์ทุกอย่างโดยประการทั้งปวงแห่ง
จักรรัตนะนั้น.
ก็จักรรัตนะนี้นั้น สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงดังนี้ เหมือนกับมวล
มนุษย์บริโภคอาหารเย็นตามปกติ นั่งบนอาสนะที่ปูลาด ที่ประตูบ้านของตน ๆ
สนทนากัน เด็ก ๆ กำลังเล่นในทางสี่แพร่ง เป็นต้น ให้อากาศไม่สูงนัก
ไม่ต่ำนัก ประมาณปลายไม้ให้สว่างไสวอยู่ เหมือนให้ได้ยินเสียงสัตว์ทั้งหลาย

ด้วยเสียงไพเราะซึ่งฟังได้ตั้งแต่ปลายกิ่งไม้ ถึงสิบสองโยชน์ ทำให้นัยน์ตา
มองเห็นด้วยสีอันรุ่งเรืองด้วยแสงต่าง ๆ ถึงโยชน์ เหมือนกับโฆษณา บุญญา-
นุภาพแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ กลับมายังราชธานี. ลำดับนั้น ด้วยการฟังเสียง
จักรรัตนะนั่นเอง มวลมนุษย์ที่แลดูทิศตะวันออก มีจิตจดจ่อว่า นี้เป็นเสียง
ของใครจากที่ไหนหนอ ต่างก็กล่าวกะกันว่า ท่านผู้เจริญ ดูอัศจรรย์จริง
แต่กาลก่อนพระจันทร์เพ็ญขึ้นเพียงดวงเดียว แต่วันนี้ ไฉนจึงขึ้นเป็น 2 ดวง
ก็นั่นเป็นพระจันทร์เพ็ญคู่เหมือนราชหงษ์คู่ประดับท้องฟ้า เหมือนอย่างแต่
กาลก่อน. คนอื่นก็กล่าวกะคนนั่นว่า พูดอะไรเพื่อน ท่านเคยเห็นพระจันทร์
2 ดวงขึ้นพร้อมกันแต่ที่ไหน นั่นเป็นพระอาทิตย์ทรงกลดมิใช่หรือ. คนอื่น
ยิ้มแล้วกล่าวกะคนนั้นว่า ท่านเป็นบ้าหรือ พระอาทิตย์พึงตกเดี๋ยวนี้มิใช่หรือ
พระอาทิตย์นั้น จักขึ้นตามพระจันทร์เพ็ญนี้อย่างไร ก็นั่นจักเป็นวิมานของผู้มี
บุญคนหนึ่ง ซึ่งรุ่งโรจน์ด้วยแสงรัตนะ แน่แท้. มนุษย์แม้ทั้งหมด
เหล่านั้น ต่างไม่เชื่อกัน ก็กล่าวกะคนเหล่าอื่นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พูดมาก
ไปทำไม นี้ไม่ใช่พระจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่วิมานของเทพ และ
ไม่ใช่ศิริสมบัติของเหล่าเทพปานนี้ แต่พึงเป็นจักรรัตนะอย่างหนึ่งแน่นอน.
เมื่อชนนั้นสนทนากันอย่างนี้แล้ว จักรรัตนะนั้น ก็ละเสียซึ่งมณฑลแห่งพระ
จันทร์มุ่งตรงต่อราชธานี.
แต่นั้น ถ้าพูดว่า จักรรัตนะนี้ เกิดแก่ใครหนอ ก็จะมีคนพูดว่า
จักรรัตนะนั่นไม่เกิดแก่ใครอื่น แต่เกิดแก่พระเจ้ามหาจักรพรรดิผู้มีพระบารมี
บริบูรณ์ของพวกเรามิใช่หรือ. ลำดับนั้น มหาชนนั้นและชนผู้อื่น ๆ ทั้งหมด
ก็ติดตามจักรรัตนะนั่นเทียว. จักรรัตนะแม้นั้น เหมือนประสงค์จะให้รู้ถึง
ภาวะเป็นไปแห่งตนเพื่อประโยชน์แก่พระเจ้าจักรพรรดิ วนเลียบพระนครสูง
ประมาณกำแพงถึง 7 ครั้ง ทำประทักษิณพระนครของพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว

ประดิษฐานอยู่ในที่เช่นสีหบัญชรด้านเหนือ ภายในแห่งราชธานี ปรากฏเหมือน
ให้มหาชนสะดวกแก่การบูชา ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นฉะนั้น. ก็เมื่อ
จักรรัตนะนั้นตั้งอยู่อย่างนี้แล้ว ก็จะมีพระราชาพระองค์ผู้ประสงค์จะทอดพระ-
เนตรดูจักรรัตนะซึ่งมีกลุ่มแสงทำให้ภายในปราสาทสว่างไสวด้วยแสงรัตนะหลาก
สี ซึ่งพุ่งออกมาทางช่องบานหน้าต่าง. แม้ปริชนผู้มากับพระราชานั้น ก็ปรารภ
ถึงคำน่ารักแห่งจักรรัตนะนั้น จึงประกาศเนื้อความนั้น.
ลำดับนั้น พระราชาทรงมีพระสรีระ ผุดผ่องด้วยพระปีติ และ
ปราโมทย์เป็นกำลัง ทรงเลิกสมาธิเสด็จลุกขึ้นจากพระราชอาสน์ เสด็จไปใกล้
สีหบัญชร ทรงเห็นจักรรัตนะนั้น ทรงพระดำริว่า ก็จักรรัตนะนั้น เราได้ฟัง
แล้ว ดังนี้เป็นต้น. จักรรัตนะนั้นทั้งหมดได้เป็นอย่างนั้น แก่พระเจ้ามหา-
สุทัสสนจักรพรรดิราช. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า รญฺโญ มหา
สุทสฺสนสฺส ฯเปฯ อสฺสํ นุโข อหํ ราชา จกฺกวตฺติ.
ในบทนั้นมีอรรถ
ว่า พระราชาพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. ถามว่า เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นจักรรัตนะพุ่งขึ้นไปสู่อากาศ แม้เพียงหนึ่ง
องคุลีสององคุลี ทรงแสดงกิจจะพึงกระทำ เพื่อยังจักรรัตนะนั้นเป็นไป ณ
บัดนี้ จึงตรัสว่า อถโข อานนฺท เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุฏฺฐายาสนา ความว่า เสด็จลุกจากพระราช-
อาสนะที่ประทับแล้ว เสด็จมาใกล้จักรรัตนะ. บทว่า สุวณฺณภิงฺคารํ คเหตฺวา
ความว่า ทรงยกพระสุวรรณภิงคารมีทะนานเช่นงวงช้าง.
บทว่า อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนาย
ความว่า ก็พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช นั้น ทรงพระนามว่า จักรพรรดิ
ชั่วกาลใกล้เคียงกับจักรรัตนะพุ่งขึ้นเวหาใกล้เคียงกับพระเจ้าพรรดิทั้งหลาย

ทรงรินน้ำแล้วตรัสว่า ขอจักรรัตนะจงอภิชิตจักรภพ. ก็ครั้นจักรรัตนะเป็นไป
แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จติดตามจักรรัตนะนั้น เสด็จไปยังยานอันประเสริฐ
แล้ว พุ่งขึ้นสู่เวหาส. ลำดับนั้น ปริชนและอันใดชนของพระราชานั้น ถือ
ฉัตรและจามรเป็นต้น ต่อจากนั้น หมู่อุปราชและเสนาบดีพร้อมกับพลกำลัง
ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าเกราะเป็นต้น รุ่งเรืองด้วยแสงอาภรณ์ต่าง ๆ ตกแต่ง
ด้วยธงปฏากอันสวยงาม พุ่งขึ้นสู่เวหาสแวดล้อมพระราชา. ก็บรรดาเภรีราชยุต
ก็ให้ตีเที่ยวไปในถนนพระนคร เพื่อสงเคราะห์ชนว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย จักร
รัตนะได้บังเกิดแก่พระราชาของพวกเราแล้ว ท่านทั้งหลายจงตกแต่งประดับ
ประดา ตามสมควรแก่ทรัพย์ของตน ๆ แล้วมาประชุม. และแม้มหาชนละกิจ
ทั้งปวงตามปกติด้วยเสียงจักรรัตนะนั่นเทียว ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น
ประชุมกันแล้ว. มหาชนแม้นั้นทั้งหมด เหาะขึ้นเวหาสแวดล้อมพระราชานั่น
เทียว. ก็มหาชนใด ๆ ประสงค์จะไปกับพระราชา มหาชนนั้น ๆ ก็ไปสู่อากาศ
เทียว. บริษัทยาวกว้างประมาณสิบสองโยชน์อย่างนี้. ในบริษัทนั้น แม้คน
หนึ่ง จะมีสรีระขาดแตก หรือผ้าเปื้อนก็ไม่มี. จริงอยู่ พระเจ้าจักรพรรดิทรง
มีราชบริวารอันสะอาด. ขึ้นชื่อว่า บริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิ เหาะได้
เหมือนวิทยาธร เป็นเช่นกับแก้วมณีที่เกลื่อนกล่นในท้องฟ้าสีเขียว. บริษัทแม้
ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนาย.
ก็จักรรัตนะนั้น ย่อมพุ่งไปบนท้องฟ้าเหนือยอดไม้โดยไม่สูงนัก ไม่
ต่ำนัก เหมือนคนต้องการดอกผล และเถาวัลย์ ของต้นไม้ ก็อาจจับดอกผล
เหล่านั้นได้ง่าย และเหมือนคนยืนอยู่บนแผ่นดิน ก็อาจจะสังเกตว่า นั่นพระ-
ราชา นั่นอุปราช นั่นเสนาบดี. ก็ในบรรดาอิริยาบถมียืนเป็นต้น ผู้ใดต้อง
การอิริยาบถใด ผู้นั้นก็ดำเนินไปด้วยอิริยาบถนั้นได้. ก็ในที่นี้ผู้ขวนขวาย

ศิลปะมีจิตรกรรมเป็นต้น เมื่อทำกิจของตน ๆ ไป กิจทั้งปวงของชนเหล่านั้น
ก็ย่อมสำเร็จในอากาศนั้นเทียวเหมือนแผ่นดิน จักรรัตนะนั้น พาบริษัท
พระเจ้าจักรพรรดิไปด้วยอาการอย่างนี้ และละเขาพระสุเมรุทางเบื้องซ้ายไปสู่
ปุพพวิเทหประเทศ ประมาณแปดพันโยชน์ในส่วนเบื้องบนแห่งมหาสมุทร.
ในที่นั้น ภูมิภาคใดส่วนกว้างล้อมรอบได้ 12 โยชน์ ควรแก่การอยู่อาศัยของ
บริษัท 16 โยชน์ มีอาหารเครื่องอุปกรณ์หาได้ง่าย สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ
มีภาคพื้นสะอาดสม่ำเสมอ น่ารื่นรมย์ จักรรัตนะนั้น ตั้งอยู่เหมือนไม่หวั่นไหว
ในส่วนเบื้องบนแห่งภูมิภาคนั้น ๆ ลำดับนั้น ด้วยสัญญาณนั้น มหาชนนั้นก็ลง
ทำกิจทั้งปวงมีการอาบและการกินเป็นต้น ตามใจชอบ สำเร็จการอยู่. จักรรัตนะ
ทั้งปวงได้เป็นเช่นนั้น แม้ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิก็เป็นเช่นนั้น ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ ก็จักรรัตน์ประดิษฐ์อยู่ในประเทศใด
พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ก็เสด็จเข้าไปประทับอยู่ในประเทศนั้น พร้อม
ด้วยจตุรงคเสนา.
ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิประทับอยู่อย่างนี้แล้ว พระราชาทั้งหลายใน
ประเทศนั้น แม้ได้ฟังแล้วว่า จักรมาแล้ว ก็ย่อมไม่ประชุมกำลังพลเตรียมรบ.
เพราะในระหว่างอุบัติขึ้นแห่งจักรรัตนะ ธรรมดาสัตว์ที่จะพยายามยกอาวุธต่อ
พระราชานั้น ด้วยสำคัญว่าเป็นศัตรูไม่มีเลย. นี้เป็นอานุภาพแห่งจักรรัตนะ.
ก็ข้าศึกศัตรูที่เหลือของพระราชานั้น ย่อมเข้าถึงการฝึกด้วยอานุภาพแห่งจักร.
ธรรมดาการฝึกศัตรูเป็นหน้าที่ของพระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งคน ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวถึงจักรของพระราชานั้น. เพราะฉะนั้น พระราชาเหล่านั้นแม้ทั้ง
หมดทรงถือบรรณาการอันสมควรแก่ราชศิริสมบัติของตน ๆ เสด็จเข้าเฝ้า
พระราชานั้น ทรงน้อมพระเศียร ทำการบูชาพระบาทแห่งพระราชานั้น ด้วย
อภิเษกแห่งรัศมีแก้วมณีพระโมลีของตนถึงซึ่งการต้อนรับพระราชานั้นด้วยพระ
วจนะว่า ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงเสด็จมาดังนี้เป็นต้น. พระราชา

ทั้งหลายก็ได้กระทำอย่างนั้น แก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราชเหมือนกัน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เย โข ปนานนฺท ปุรตฺถิมาย ทิสาย ฯเปฯ
อนุสาส มหาราช
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาคตํ แปลว่า เสด็จมาดีแล้ว. ท่าน
กล่าวว่า ก็ครั้นพระราชาองค์หนึ่งเสด็จมา ราชศัตรูก็เศร้าโศก ครั้นเสด็จไป
ก็ทรงเพลิดเพลิน ครั้นพระราชาบางองค์เสด็จมา ราชศัตรูก็ทรงเพลิดเพลิน
ครั้นเสด็จไป ก็ทรงเศร้าโศก พระองค์ก็เป็นเช่นนั้น ทรงเสด็จมาเพลิดเพลิน
เสด็จไปเศร้าโศก เพราะฉะนั้น การเสด็จมาของพระองค์ จึงเป็นการเสด็จมา
ดี ก็ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิจะไม่ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจง
นำพลีอันสมควร มีประมาณเท่านี้ให้แก่เราบ้าง จะไม่ตัดเอาโภคะของพระราชา
องค์อื่นไป พระราชทานแก่พระราชาอีกองค์บ้าง แต่จะทรงหยิบยกคำว่า
ปาณาติปาตา เป็นต้น ขึ้นกล่าวด้วยปัญญาอันสมควร แก่ความที่พระองค์
เป็นธรรมราชา ทรงแสดงพระธรรมด้วยพระวจนะอันเป็นที่รัก อันละเอียด
อ่อน โดยนัยเป็นอาทิว่า ดูกรพ่อทั้งหลาย ท่านจงดู ขึ้นชื่อว่า การฆ่าสัตว์
นั่น อันเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก ย่อมพระ
ราชทานพระโอวาทเป็นอาทิว่า ไม่พึงฆ่าสัตว์ดังนี้. แม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักร
พรรดิ ก็ทรงกระทำอย่างนี้เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พระเจ้า
มหาสุทัสสนจักรพรรดิตรัสอย่างนี้ว่า ท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ฯลฯ และท่านพึง
บริโภคตามสมควร.
ถามว่า ก็พระราชาแม้ทั้งหมด ทรงถือเอาพระโอวาทนี้ของพระราชา
หรือไม่. ตอบว่า พระราชาแม้ทั้งหมด ยังไม่ถือเอาพระโอวาทแม้ของพระ
พุทธเจ้า จักถือเอาพระโอวาทของพระราชาได้อย่างไร. เพราะฉะนั้น พระ
ราชาเหล่าใด ทรงเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา พระราชาเหล่านั้น

ก็จะทรงถือเอา. แต่พระราชาทั้งหมดทรงตามเสด็จ เพราะฉะนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เยโข ปนานนฺท ดังนี้เป็นต้น.
ลำดับนั้น จักรรัตนะนั้น ครั้นพระราชาให้พระโอวาทแก่ชาวบุพพ-
วิเทหะ อย่างนี้แล้ว ก็พุ่งขึ้นสู่เวหาสพร้อมกับกำลังของจักรพรรดิที่ได้รับ
ประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ย่างเข้าสู่สมุทรด้านปุรัตถิมทิศผ่านคลื่นอันกว้าง
ขวาง เหมือนนาคราชได้กลิ่นงูแล้วแผ่พังพานฉะนั้น บินเหนือน้ำมหาสมุทร
ประมาณหนึ่งโยชน์ตั้งอยู่ภายในมหาสมุทรประดุจระเบียบแก้วไพฑูรย์ ฉะนั้น.
และในขณะนั้น รัตนนานาชนิดเกลื่อนกล่นในพื้นมหาสมุทร ดุจประสงค์จะเห็น
บุญศิริของพระราชาพระองค์นั้น มาจากที่นั้นๆ เต็มประเทศนั้น ๆ ลำดับนั้น
บริษัทแห่งพระราชานั้น เห็นพื้นมหาสมุทรเต็มด้วยรัตนนานาชนิดนั้น ก็ถือ
เอาด้วยกอบเป็นต้นตามใจชอบ. ก็เมื่อบริษัทได้ถือเอารัตนะตามชอบ จักร
รัตนะนั้น ก็กลับ. ก็ครั้นจักรรัตนะนั้นกลับ บริษัทไม่ได้ไป พระราชาอยู่ใน
ท่ามกลาง จักรรัตนะอยู่ในที่สุด. จักรรัตนะนั้นกระทบรอบ ๆ กงโดยการแยกนั้น
เหมือนกระทบพื้นน้ำทะเล และเหมือนข่มด้วยจักรรัตนศิริเข้าไปชั่วนิรันดร.
พระเจ้าจักรพรรดิทรงชำนะ ปุพพวิเทหประเทศ ซึ่งมีมหาสมุทรด้านทิศตะวัน
ออกเป็นขอบเขตอย่างนี้แล้ว ทรงประสงค์จะชำนะชมพูทวีป ซึ่งมีสมุทรด้าน
ทิศใต้เป็นขอบเขต เสด็จไปมุ่งตรงต่อสมุทรด้านทิศใต้ ตามทางที่จักรรัตนะ
แสดงนำไป. แม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิก็เสด็จไปเช่นนั้นเหมือนกัน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ ลำดับนั้นแล จักรรัตนะนั้นข้าม
ไปยังสมุทรทิศตะวันออกแล้ว กลับไปยังทิศใต้ดังนี้.
ก็เมื่อจักรรัตนะนั้นเป็นไปอย่างนี้ คำว่า วิธีกลับ การพักอยู่แห่ง
เสนา การเสด็จมาแห่งพระอริราช การพระราชทานอนุสาสนีแก่เหล่าพระ
อริราชนั้น ๆ การข้ามไปยังสมุทรด้านทิศใต้ การขึ้นไปเหนือน้ำสมุทร การ

ถือเอารัตนนานาชนิดทั้งหมด พึงทราบโดยนัยก่อนนั้นเทียว. ก็ทรงชำนะ
ชมพูทวีปประมาณหนึ่งโยชน์นั้นแล้ว กลับจากสมุทรทางทิศใต้ เสด็จไปโดย
นัยกล่าวแล้วในบทก่อน เพื่อชำนะอมรโดยานมีเจ็ดพันโยชน์ เป็นประมาณ
ทรงชนะอมรโดยานแม้นั้น ซึ่งมีสมุทรเป็นขอบเขตอย่างนั้น เสด็จข้ามไปจาก
สมุทรทางทิศตะวันตกเสด็จไปอย่างนั้น เพื่อชำนะอุตรกุรุ ซึ่งมีแปดพันโยชน์
เป็นประมาณ ทรงชนะอุตรกุรุแม้นั้น ซึ่งมีสมุทรเป็นขอบเขตเช่นกัน แล้ว
เสด็จกลับจากสมุทรทางทิศเหนือ. พระจ้าจักรพรรดิทรงบรรลุความเป็นผู้ยิ่ง
ใหญ่แห่งปฐพี ซึ่งมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ด้วยประการฉะนี้.
พระราชาพระองค์นั้น ทรงชนะวิเศษด้วยอันชำนะแล้วอย่างนี้ มีบริษัท
เพื่อแสดงถึงศิริราชสมบัติของพระองค์ ทรงแหงนดูท้องฟ้าเบื้องบน ทรงแลดู
มหาทวีปสี่ ซึ่งมีเกาะเล็กประมาณ 500 ๆ เป็นบริวาร เหมือนสระเกิดขึ้นเอง
ทั้งสี่ ที่วิจิตรด้วยป่าปทุม อุบล กุมุท และบุณฑริก ที่บานแย้มดีแล้วฉะนั้น
เสด็จกลับไปสู่ราชธานี ของพระองค์ตามลำดับ ตามทางที่จักรรัตนะแสดงแล้ว
นั่นเทียว. ลำดับนั้น จักรรัตนะนั้นก็ตั้งอยู่เหมือนยังภายในประตูแห่งบุรีให้
งดงามฉะนั้น. ก็ครั้นจักรรัตนะนั้นประดิษฐานอยู่อย่างนี้แล้ว กิจอันจะพึงกระทำ
บางอย่างด้วยคบเพลิง หรือด้วยประทีปภายในราชบุรี ก็ไม่มี. แสงสว่างแห่ง
จักรรัตนะนั่นเทียว ย่อมกำจัดความมืดแห่งราตรี. แต่บุคคลเหล่าใด ต้อง
การความมืด ความมืดนั่นเทียวก็ย่อมมีแก่บุคคลเหล่านั้น. จักรรัตนะนั้นทั้งหมด
ได้มีแล้วอย่างนี้ แม้แก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ทกฺขิณสมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ฯเปฯ เอวรูปํ จกฺกรตนํ ปาตุร-
โหสิ.

อำมาตย์ทั้งหลาย ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีจักรรัตนะปรากฏอย่างนี้
ก็ให้กระทำสถานที่อยู่ของช้างมงคลปกติให้เป็นภูมิภาคสม่ำเสมอบริสุทธิ์สะอาด

ประพรมด้วยกลิ่นสุรภี มีจันทน์แดงเป็นต้น ตบแต่งให้สวยงามเหมือนวิมาน
เทพภายใต้เกลื่อนกล่นด้วยดอกสุรภีดอกกุสุมอันมีสีวิจิตร เบื้องบนมีเพดาน
ประดับประดาด้วยลายกุสุมอันพึงพอใจรวบรวมภายในดวงดาวทองแล้วทูลว่า
ข้าแต่สมติเทพ ขอพระองค์จงพระดำริการมาแห่งหัตถีรัตนะมีรูปปานนี้.
พระราชานั้นก็ทรงถวายมหาทาน โดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลก่อน และทรง
สมาทานศีลแล้วประทับนั่งระลึกถึงบุญสมบัตินั้น. ลำดับนั้น ช้างประเสริฐอัน
อานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว เหมือนจะครอบงำสักการะพิเศษ
นั้นจากตระกูลฉัททันต์ หรือจากตระกูลอุโบสถ มีสรีระขาวปลอดตกแต่งการ
เดิน คอและปากมีสีแดงดุจมณฑลแห่งพระอาทิตย์อ่อน ๆ มีที่ประดิษฐ์
เจ็ดประการ มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ตั้งไว้อย่างดี มีนม เล็บ และปลายงวง
แดงแย้ม สามารถเหาะได้เหมือนโยคีผู้มีฤทธิ์ ใหญ่ขาว เหมือนบริเวณที่
ย้อมด้วยจุณแห่งมโนสิลา มายืนอยู่ในประเทศนั้น. ช้างนั้นมาจากตระกูลช้าง
ฉัททันต์ ย่อมเล็กกว่า ช้างทั้งหมด. ช้างที่มาจากตระกูลช้างอุโบสถ ย่อม
ใหญ่กว่า ช้างทั้งปวง. แต่ในบาลี ย่อมมาว่า นาคราชชื่อ อุโบสถ ดังนี้.
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าช้างนาคราช ไม่คู่ควรแก่ใครๆ
เป็นช้างเล็กกว่าช้างทั้งหมด ย่อมมาดังนี้. ช้างนี้นั้นย่อมมาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ
ผู้มีวัตรแห่งจักรพรรดิ ทรงดำริโดยนัยกล่าวแล้วนั่นเทียว. ก็ช้างนาคราชมา
สู่โรงช้างมงคลปกติเองไม่กำจัดช้างมงคล ยืนอยู่ในที่นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ปุน จปรํ อานนฺท ฯเปฯ นาคราช ดังนี้.
ก็บุคคลทั้งหลายมีคนเลี้ยงช้างเป็นต้น เห็นหัตถีรัตนะที่ปรากฏอย่าง
นั้นแล้ว รื่นเริงดีใจรีบไปทูลแด่พระราชา. พระราชารีบเสด็จมาดู หัตถี-
รัตนะนั้น ทรงมีพระราชหฤทัยผ่องใส ทรงคิดว่า หัตถียานประเสริฐหนอ
ถ้าสมควรนำเข้าฝึก ดังนี้. ทรงเหยียดพระหัตถ์ ลำดับนั้น ช้างนั้นเหมือน

กับช้างแม่นม สยายหูแสดงเสียงร้องเข้าไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงใคร่จะ
เสด็จขึ้นประทับช้างนั้น. ลำดับนั้น ปริชนของพระราชานั้นรู้พระประสงค์ ทำ
ธงทอง เครื่องประดับทองคลุมด้วยข่ายทองนำเข้าหาหัตถีรัตนะนั้น. พระราชา
ไม่ให้ประทับนั่งช้างนั้น เสด็จขึ้นบันไดที่ทำด้วยรัตนะเจ็ดประการ มีพระราช
หฤทัยน้อมไปในอากาศ. พร้อมด้วยจิตตุบาท ของพระราชานั้น หัตถินาค-
ราชนั้น ก็ลอยขึ้นสู้ท้องฟ้าที่รุ่งเรืองด้วยแสงแก้วอินทนิล และแก้วมณี เหมือน
ราชหงษ์ฉะนั้น. ต่อจากนั้น บริษัทของพระราชาทั้งหมดก็เหาะขึ้นโดยนัยอัน
กล่าวแล้วในจักกจาริกานั่นเทียว. พระราชาพร้อมกับบริษัทขึ้นชมปฐวีทั้งสิ้น
ก็กลับราชธานีภายในอาหารเช้า ด้วยประการฉะนี้. หัตถีรัตนะแม้ของพระเจ้า
มหาสุทัสสนจักรพรรดิราชก็เป็นเช่นนั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
หิสฺวา รญฺโญ ฯเปฯ ปาตุรโหสิ ดังนี้.
ก็อำมาตย์ทั้งหลาย ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีหัตถีรัตนะปรากฏอย่าง
นี้แล้ว ให้กระทำและประดับประดา โรงม้ามงคลตามปกติ ให้มีพื้นสะอาดราบ
เรียบ ยังพระอุตสาหะให้เกิดขึ้นแก่พระราชา เพื่อทรงคิดการมาแห่งม้านั้น
โดยนัยก่อนนั่นเทียว. พระราชานั้น ทรงมีสักการะน้อมในทานที่ทรงกระทำ
แล้วโดยนัยก่อนนั่นเทียว ทรงสมาทานศีลและวัตร ประทับนั่งสำราญบนพื้น
ปราสาททรงระลึกบุญสมบัติ. ลำดับนั้น อัศวราช ชื่อว่า วลาหก จากตระกูล
ม้าสินธพ อันอานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว มีศิริแห่งกลุ่มเมฆ
ขาวในสรทกาลที่ต้องสายฟ้า มีเท้าแดง มีกลีบเท้าแดง มีรูปร่างแข็งแรง
บริสุทธิ์สนิท เช่นกับกลุ่มรัศมีแห่งพระจันทร์ มีศีรษะดำ เพราะถึงพร้อมด้วย
ขนตั้งตรงวงกลมละเอียดสีขาวเช่นหญ้าปล้องที่สำเร็จด้วยดีตั้งไว้แล้ว สามารถ
เหาะได้มาอยู่ในโรงนั้น. ก็อัศวราชนั้น มาแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
เหมือนหัตถีรัตนะฉะนั้น. บททั้งปวงที่เหลือ พึงทราบโดยนัยกล่าวแล้วใน

หัตถีรัตนะนั่นแหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงอัสสรัตนะอย่างนั้น จึง
ตรัสว่า ปุน จปรํ ดังนี้เป็นต้น.
ก็มณีรัตนะจากวิบุลบรรพตยาวสี่ศอก มีรูปทรงงดงาม ประดับประดา
ด้วยทองและปทุมทั้งสอง มีกลีบเป็นมุกดา อันบริสุทธิ์เปล่งออกจากสองก้อน
ในที่สุดสองข้างมีมณีแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร ราวจะแผ่ไปกระทบศิริแห่ง
พระจันทร์เพ็ญ ที่หมู่ดาวล้อมรอบ มาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอัสสรัตนะ
ปรากฏแล้วอย่างนี้. เมื่อมณีรัตนะนั้นมาแล้วอย่างนี้ อันบุคคลวางไว้ในข่าย
มุกดา ยกขึ้นสู่อากาศประมาณหกสิบศอก เพียงยอดไม้ไผ่ แสงสว่างจะแผ่ไป
สู่โอกาส ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ อันเป็นเหตุให้โอกาสนั้นทั้งหมด เกิด
แสงสว่างเหมือนในเวลาอรุณขึ้นฉะนั้น. แต่นั้น ชาวนาก็ประกอบกสิกรรม
พ่อค้าก็ประกอบการซื้อขาย ศีลปินนั้น ๆ ก็ประกอบการงานนั้นๆ สำคัญว่าเป็น
กลางวัน. มณีรัตนะนั้นทั้งหมดได้มีแล้วอย่างนั้น แม้แก่พระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดินั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปุน จปรํ
อานนฺท ฯเปฯ มณิรตนํ ปาตุรโหสิ
ดังนี้.
อิตถีรัตนะมีการณ์พิเศษปรากฏแก่พระเจ้าจักพรรดิผู้ทรงมีสุขวิสัยพิเศษ
มีมณีรัตนะปรากฏแล้วอย่างนี้. ก็พระญาติทั้งหลาย ย่อมนำอิตถีรัตนะนั้นจาก
มัทรราชตระกูลมาเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น. หรือมาจากอุตตร-
กุรุประเทศด้วยบุญญานุภาพ. ก็สมบัติแห่งอิตถีรัตนะนั้น ที่เหลือมาแล้วใน
บาลีนั่นเทียว โดยนัยมีอาทิว่า ดูกรพระอานนท์ อีกประการหนึ่ง อิตถีรัตนะซึ่ง
มีรูปสุดสวย น่าดู. ปรากฏแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช. ใน
บรรดาสมบัตินั้น ชื่อว่า อภิรูปา เพราะอิตถีรัตนะนั้น มีรูปสวยงาม บริบูรณ์
ด้วยทรวดทรง. และ ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะเมื่อดูก็ถูกตา แม้ต้องเลิกธุรกิจ
อย่างอื่น มองดู. ชื่อว่า ปาสาทิกา เพราะเมื่อดูก็ยังให้เลื่อมใสด้วยอำนาจ

โสมนัส. บทว่า ปรมาย ความว่า อุดมเพราะนำมาซึ่งความเลื่อมใสอย่างนี้.
บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย ความว่า เพราะวรรณงาม. บทว่า สมนฺนาคตา
ความว่า เข้าถึงแล้ว. อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า อภิรูปา เพราะไม่สูงนัก ไม่
เตี้ยนัก. ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก. ชื่อว่า ปาสาทิกา< /B>
เพราะไม่ดำนักไม่ขาวนัก. ชื่อว่า ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา
เพราะก้าวล่วงวรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณทิพย์. จริงอยู่ แสงสว่างวรรณะของ
พวกมนุษย์ ย่อมไม่เปล่งออกภายนอก. แต่ของเทพทั้งหลาย ย่อมเปล่งไปแม้ไกล.
ส่วนแสงสว่างสรีระแห่งอิตถีรัตนะนั้น ย่อมยังประเทศประมาณสิบสองศอกให้
สว่างได้. ก็ในบรรดาสมบัติมีไม่สูงนักเป็นต้น ของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว
อาโรหสมบัติ ด้วยคู่ที่หนึ่ง กล่าวปริณาหสมบัติ ด้วยคู่ที่สอง กล่าววรรณ-
สมบัติด้วยคู่ที่สาม กล่าวความที่กายวิบัติด้วยกายวิบัติด้วยอาการหกประการนั่น.
กล่าวกายสมบัติด้วยบทนี้ว่า อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณํ. บทว่า ตูลปิจุโน วา
กปฺปาสปิจุโน วา
ความว่า ดุจปุยนุ่น หรือ ปุยฝ้าย แห่งกายสัมผัส ซึ่ง
เอาไปวางไว้บนก้อนเนยใส แล้วแยกออกเจ็ดส่วน. บทว่า สีเต ความว่า
อบอุ่น ในการที่พระราชาเย็น. บทว่า อุณฺเห ความว่า เย็น ในเวลาที่
พระราชาร้อน. บทว่า จนฺทนคนฺโธ ความว่า กลิ่นจันทน์แดงอันประกอบด้วย
ชาติสี่ชนิด ยังใหม่บดละเอียดดีตลอดกาล ย่อมระเหยออกจากกาย. บทว่า
อุปฺปลคนฺโธ ความว่า กลิ่นหอมอย่างยิ่งแห่งนีลุบล ซึ่งบานแย้มขณะนั้น
ย่อมพุ่งออกจากปากในเวลาไอหรือพูด. ก็เพื่อทรงแสดงอาจาระ อันสมควร
แห่งสรีรสมบัติ ประกอบด้วยสัมผัสสมบัติและคันธสมบัติอย่างนี้ จึงตรัสว่า ตํ
โข ปน
เป็นต้น. ในอาจาระนั้น อิตถีรัตนะเห็นพระราชาแล้วลุกขึ้นก่อนทีเดียว
จากอาสนะที่นั่ง เหมือนคนถูกไฟไหม้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปุพฺพุฏฺฐายิน
ครั้นพระราชานั้นประทับนั่งแล้ว อิตถีรัตนะกระทำกิจมีพัดด้วยใบตาลเป็นต้น

แก่พระราชานั้น แล้วจึงพัก คือนั่งที่หลัง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัจฉานิ-
ปาตินี. อิตถีรัตนะย่อมขวนขวายกิจอันพึงทำด้วยวาจาว่า ข้าแต่เทวะ หม่อม
ฉันจะทำอะไรแก่พระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กึการปฏิสาวีนี. อิตถีรัตนะ
ย่อมพระพฤติ ย่อมกระทำสิ่งที่พอพระราชหฤทัย ของพระราชาเท่านั้น เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า มนาปจารินี. อิตถีรัตนะ ย่อมกล่าวคำที่น่ารักแก่พระราชา
เท่านั้น เพราะฉะนั้น. จึงชื่อว่า ปิยวาทินี. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ตํ โข ปน เป็นต้น เพื่อทรงแสดงว่า อาจาระของอิตถีรัตนะนี้นั้น บริสุทธิ์ถ่าย
เดียว โดยไม่มีสาไถยะเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน อติจารี ความว่า
ไม่ประพฤติล่วงเกิน. ท่านกล่าวว่า อิตถีรัตนะไม่ปรารถนาชายอื่น แม้ด้วยจิต
นอกจากพระราชา. ในบทนั้น อาจาระเหล่าใดของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว
ว่า อภิรูปา เป็นต้น ในเบื้องต้น และกล่าวว่า ปุพพุฏฐายินีในที่สุด อาจาระ
เหล่านั้น เป็นคุณโดยปกติเท่านั้นเอง. ก็สมบัติเป็นต้นว่า อติกฺกนฺตา มา-
นุสวณฺณํ
พึงทราบว่า บังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอานุภาพกรรมเก่า ตั้งแต่
จักรรัตนะปรากฏขึ้น เพราะอาศัยบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ. หรือ สมบัติว่า
อภิรูปตา เป็นต้น เกิดบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ตั้งแต่จักรรัตนะปรากฏแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เอวรูปํ อิตฺถีรตนํ ปาตุรโหสิ
ดังนี้.
ก็คหบดีรัตนะ เพื่อให้กิจทั้งหลายที่พึงกระทำด้วยทรัพย์ เป็นไปโดย
สะดวก ย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอิตถีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้.
คหบดีนั้น โดยปกติมีโภคะมากเกิดในตระกูลมีโภคะมาก เจริญด้วยกองทรัพย์
ของพระราชา เป็นเศรษฐีคหบดี. ก็ทิพยจักษุอันเป็นเหตุเห็นขุมทรัพย์ภายใน
หนึ่งโยชน์แม้ในภายในปฐพี ซึ่งเกิดแต่ผลกรรม สงเคราะห์ด้วยอานุภาพ
จักรรัตนะ ย่อมปรากฏแก่คหบดีรัตนะนั้น คหบดีรัตนะนั้น เห็นสมบัตินั้น

แล้ว ดีใจ ไปปวารณาพระราชาด้วยทรัพย์ รับทำกิจทั้งหลาย ที่จะพึงทำด้วย
ทรัพย์ทั้งหมดให้สำเร็จ. คหบดีรัตนะแม้ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ก็
ยังกิจอันพึงทำทรัพย์ให้สำเร็จอย่างนั้น เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุน จปรํ อานนฺท ฯ เป ฯ เอวรูปํ คหปติรตนํ
ปาตุรโหสิ
ดังนี้.
ก็ปริณายกรัตนะ ซึ่งสามารถจัดแจงสรรพกิจ ย่อมปรากฏแก่พระเจ้า-
จักรพรรดิผู้มีคหบดีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้. ปริณายกรัตนะนั้น เป็น
พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชานั่นเทียว. โดยปกติทีเดียว ปริณายกรัตนะ
นั้นเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญาอาศัยบุญญานุภาพของพระราชา ย่อม
เข้าถึงญาณรู้จิตของบุคคลอื่นด้วยอานุภาพแห่งกรรมของตน ซึ่งเป็นเหตุให้รู้
วาระจิตแห่งบริษัท ประมาณสิบสองโยชน์ สามารถกำหนดรู้หิตะประโยชน์
และอหิตะประโยชน์ แก่พระราชาได้. ปริณายกรัตนะแม้นั้น เห็นอานุภาพของ
ตนนั้น ดีใจปวารณาพระราชาด้วยการบริหารกิจทั้งหมด. ปริณายกรัตนะ
ปวารณาแม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุนจปรํ อานนฺสท ฯ เป ฯ ปริณายกรตนํ
ปาตุรโหสิ
ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํ ความว่า
เพื่อตั้งให้ดำรงในฐานันดรนั้น ๆ.
บทว่า สมเวปากินิยา ความว่า อันเกิดแต่ผลกรรมอันสม่ำเสมอ.
บทว่า คหณิยา ความว่า ด้วยเตโชธาตอันเกิดแก่กรรม. ในบทนี้ อาหาร
สักว่า เสวยแล้วของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ย่อมย่อย ก็หรือย่อมตั้งอยู่
อย่างนั้นเหมือนภัต ที่เสวย ถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ
แม้ทั้งสองนั้น. ก็ความพอพระราชหฤทัยในพระกระยาหารในกาลแห่งภัต ย่อม
บังเกิดขึ้นแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิใด พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ-
ราชนี้ ทรงถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ ดังนี้.

บทว่า มาเปสิโข ความว่า ทรงให้ตีกลองประกาศในพระนคร
ทรงให้ฝูงชนกระทำการสร้าง. ก็สระโบกขรณี 84,000 แห่งก็ผุดขึ้นพร้อมกับ
ความเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริ ของพระราชา. บทว่า มาเปสิโข นั่น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงสระโบกขรณีเหล่านั้น. บทว่า ทฺวีหิ เวทิกาหิ
ความว่า ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่งในที่สุดแห่งอิฐทั้งหลาย ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่ง
ในที่สุดกำหนดบริเวณ.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ได้มีแล้วเพราะอะไร.
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง มหาบุรุษมองดูมหาชนไปอาบ และดื่ม คิดว่า
ชนเหล่านั้น ย่อมไปด้วยเพศคนบ้า ถ้าพึงมีดอกไม้ประดับในสระนั่นแก่ชน
เหล่านั้น ก็จะเป็นการดี ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดินั้น ได้มี
พระราชดำริ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺโพตุกํ ความว่า พระเจ้า
มหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงดำริว่า ธรรมดาดอกไม้ย่อมบานในฤดูเดียวเท่านั้น
ก็เราจักทำโดยประการที่ดอกไม้จักบาน ในทุกฤดู. บทว่า โรปาเปสิ
ความว่า ทรงให้นำพืชอุบลนานาชนิดเป็นต้น จากที่นั้น ๆ ทรงให้ปลูก.
ดอกไม้ทั้งหมด ก็สำเร็จพร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริของพระเจ้ามหา
สุทัสสนจักรพรรดินั้น. ชาวโลกเข้าใจว่า ดอกไม้นั้นพระราชาทรงให้ปลูก.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า โรปาเปสิ ดังนี้. ตั้งแต่นั้นมา
มหาชนได้ประดับดอกไม้ที่เกิดจากน้ำและเกิดจากบนบกนานับประการไป
เหมือนเล่นนักขัตฤกษ์ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระราชาทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำชนให้ถึงพร้อมด้วย
ความสุขยิ่งกว่านั้น จึงทรงคิดจัดหาความสุขแก่ชนด้วยบทว่า ยนฺนูนาหํ
อิมาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร
เป็นต้น แล้วทรงกระทำกิจทั้งปวง. ในบรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า นฺหาเปสุํ ความว่า คนอื่นชำระร่างกาย คนอื่นประกอบ

จุณทั้งหลาย คนอื่นนำน้ำมาให้แก่ผู้อาบน้ำที่ขอบสระโบกขรณี คนอื่นรับผ้า
และให้ผ้า. บทว่า ปฏฺฐเปสิ ความว่า ทรงตั้งอย่างไร. ทรงตั้งพนักงาน
ประดับประดาอันสมควรแก่สตรี และบุรุษทั้งหลาย ทรงตั้งเพียงสตรีเท่านั้น
ด้วยสามารถบำเรอในที่นั้น ๆ ทรงตั้งกิจทั้งหมดที่เหลือด้วยสามารถการบริจาค
ทรงให้ตีกลองประกาศว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงถวายทาน ท่าน
ทั้งหลายจงบริโภคทานนั้น.
มหาชนมาสู่ขอบสระโบกขรณีอาบน้ำ เปลี่ยนผ้า ลูบไล้ด้วยของหอม
ต่าง ๆ ประดับประดาอันวิจิตร ไปโรงทาน กินและดื่มสิ่งที่ต้องการในบรรดา
ยาคู ภัต และขบเคี้ยวหลายประการ และเครื่องดื่ม 8 อย่าง นุ่งห่มผ้าฝ้าย
อันละเอียดอ่อน มีสีต่าง ๆ เสวยสมบัติละบุคคลผู้มีของเช่นนั้นไป. คนที่
ไม่มีของเช่นนั้น ถือเอาแล้วจากไป. บุคคลที่นั่งในช้าง ม้า และยานเป็นต้น
เที่ยวไปนิดหน่อย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็ถือเอาไป. บุคคลที่นอนแม้
ในที่นอนอันประเสริฐ เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับไป.
ผู้ที่เสวยสมบัติกับสตรีทั้งหลาย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับเอาไป.
ผู้ประดับประดาเครื่องรัตนะเจ็ดชนิด เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป
ต้องการก็รับเอาไป. ทานแม้นั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงลุกขึ้นแล้ว
ก็ทรงถวาย. การงานอย่างอื่นของชาวชมพูทวีปทั้งหลายไม่มี. ชาวชมพูทวีป
เที่ยวบริโภคทานของพระราชาเท่านั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีทั้งหลายคิดว่า พระราชานี้ แม้เมื่อจะ
ถวายทานปานนี้ ก็ไม่ทรงให้นำอะไรมาว่า ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารเป็นต้น
หรือให้น้ำนมเป็นต้นแก่เรา ก็ข้อนั้นไม่สมควรที่จะนิ่งดูดายว่า พระราชาของ
พวกเรา ไม่ทรงให้นำมา. พราหมณ์คหบดีเหล่านั้น ก็รวบรวมทรัพย์สมบัติ
จำนวนมากนำไปทูลถวายแด่พระราชา. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า อถโข อานนฺท พฺราหฺมณคหปติกา ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า เอวํ สมจินฺเตสุํ ความว่า คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ เพราะ
เหตุอะไร. เพราะพราหมณ์คหบดีทั้งหลาย คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ว่า บางคนนำ
ทรัพย์สมบัติจากเรือนน้อย บางคนนำมามาก เมื่อทรัพย์สมบัติกำลังรวบรวม
แม้เสียงอึกกระทึกก็จะพึงเกิดขึ้นว่า ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือน
ดี เรานำมาจากเรือนไม่ดี ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือนมาก
เราไม่มาก ดังนี้ เสียงอึกกระทึกนั้น อย่าพึงเกิดขึ้นเลย.
บทว่า เอหิ ตฺวํ สมฺม ความว่า ดูก่อนผู้มียศ ท่านจงมา. บทว่า
ธมฺมํ นาม ปาสาทํ ความว่า ยกขึ้นแล้วทรงตั้งชื่อ ปราสาท. ก็วิศว-
กรรมเทวบุตรรับทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ปราสาทจะใหญ่เท่าไร ครั้น
ตรัสว่า ปราสาทนั้น ยาวหนึ่งโยชน์ กว้างครึ่งโยชน์ สร้างด้วยรัตนะทั้งปวง
ทูลรับพระดำรัสพระราชาว่า จงสำเร็จดังนั้น พระดำรัสของพระองค์ดี ลำดับ
นั้นทูลให้ พระ.ธรรมราชาทรงรับทราบแล้ว ก็สร้าง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ภทฺทํ ตวาติ โข อานนฺท ความว่า
ดูก่อนพระอานนท์ (วิศวกรรม เทพบุตร ทูลรับสนอง) ว่า พระดำรัสของ
พระองค์อย่างนี้ดี. บทว่า ปฏิสฺสุณิตฺวา ความว่า รับทราบแล้ว คือ
กราบทูลแล้ว. บทว่า ตุณฺหีภาเวน ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
ทรงปรารถนาว่า เราจักมีโอกาสกระทำการปฏิบัติสมณธรรม ทรงรับด้วยการ
ทรงนิ่ง.
บทว่า สารมโย ความว่า สำเร็จด้วยแก่นจันทร์. ในบทว่า ทฺวีหิ
เวทิกาหิ
นั่น เวทีหนึ่งมีในยอดอุณหิส เวทีหนึ่งมีในที่สุดกำหนดภายใต้.
บทว่า ทุกฺทิกฺโข โหติ ความว่า เห็นได้ยาก คือ เห็นได้ลำบาก เพราะ
สมบัติแห่งแสงสว่าง. บทว่า มุสติ คือ นำไป ให้สำเร็จ คือ ไม่ให้เพื่อ
ตั้งอยู่ โดยสภาพเป็นนิตย์ บทว่า อุปวิทฺเธ ความว่า มั่นคง คือ อยู่ไกล

เพราะปราศจากเมฆ. บทว่า เทเว ความว่า ในอากาศ. บทว่า มาเปสิ โข
ความว่า วิศวกรรมเทพบุตรไม่กระทำอย่างนี้ว่า เราจะสร้างสระโบกขรณีในที่นี้
ท่านทั้งหลายจงทำลายบ้านเรือนของท่าน ดังนี้แล้ว สร้าง. ก็สระโบกขรณี
เห็นปานนั้น ได้ผุดขึ้นแล้วด้วยสามารถแห่งจิตตุปปาทของพระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดินั้น. บทว่า เต สพฺพกาเมหิ ความว่า ทรงเลี้ยงสมณะทั้งหลาย
ด้วยวัตถุที่ต้องการทั้งปวง คือ ด้วยสมณบริขาร ทรงเลี้ยงพราหมณ์ทั้งหลาย
ด้วยพราหมณบริขาร.
จบ ปฐมภาณวารวรรณนา
บทว่า มหิทฺธิโก ความว่า ทรงถึงพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์มาก กล่าว
คือ ความสำเร็จแห่งสระโบกขรณีจำนวน 84,000 สระ ด้วยอำนาจแห่งจิต-
ตุบบาทเท่านั้น. บทว่า มหานุภาโว ความว่าถึงพร้อมด้วยอานุภาพใหญ่
เพราะความที่กรรมอันพึงเสวยเหล่านั้น มีมาก. บทว่า เสยฺยถีทํ ความว่า
เป็นนิบาต. อรรถแห่งนิบาตนั้นว่า กรรม 3 ประการ เป็นไฉน. บทว่า
ทานสฺส ได้แก่ บริจาคสมบัติ. บทว่า ทมสฺส ความว่า ปัญญามาว่า
ทมะ ในอาฬวกสูตร. ในบทนี้ เราฝึกตนเอง รักษาอุโบสถกรรม. บทว่า
สญฺญมสฺส ได้เเก่ศีล. ก็พึงทราบบุรพโยค ของพระราชาที่ดำรงอยู่ในศีลนี้
นั้น.
ได้ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาทรงสมภพในตระกูลคหบดี. ก็โดย
สมัยนั้น พระเถระรูปหนึ่งในพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ทรงพระชนม์
อยู่ จำพรรษาในป่า. พระโพธิสัตว์เข้าป่าด้วยการงานของตน เห็นพระเถระ
แล้ว เข้าไปเฝ้า ไหว้แล้ว แลดูที่นั่งและที่จงกรมเป็นต้น ของพระเถระ จึง
ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นั้นหรือ. ได้ฟังว่า อย่างนั่น

อุบาสก จึงคิดว่า สมควรที่จะสร้างบรรณศาลาถวายพระผู้เป็นเจ้าในที่นี้แล้ว
เลิกการงานของตนขนทัพพสัมภาระ ทำบรรณศาลา ฉาบ โบกฝาด้วยดินเหนียว
ติดประตู ทำพนักนั่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง ด้วยคิดว่า พระผู้เป็น
เจ้าจักทำการบริโภค หรือไม่หนอ.
พระเถระมาจากภายในบ้าน เข้าไปสู่บรรณศาลา แล้วนั่งที่พนัก.
แม้อุบาสกมาแล้วไหว้นั่ง ณ ที่ใกล้แล้ว ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บรรณ
ศาลาผาสุกไหม. ผาสุก สมควรแก่บรรพชิต. ท่านจักอยู่ที่นี้หรือ. อย่างนั้น
อุบาสก. อุบาสกนั้นรู้แล้วว่า พระเถระจักอยู่โดยอาการรับให้พระเถระทราบว่า
ท่านพึงไปสู่ประตูเรือนของกระผมเป็นนิตย์แล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขอ
ท่านจงให้พรอย่างหนึ่ง แก่กระผมเถิด. ดูก่อนอุบาสก บรรพชิตก้าวล่วงแล้ว.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นพรที่ควรและไม่มีโทษ. อุบาสก จงบอก. ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ มนุษย์ทั้งหลายในที่เป็นที่อยู่ประจำ ย่อมปรารถนาการมาในมงคล
หรือ อมงคล ย่อมโกรธแก่พระเถระผู้ไม่มา เพราะฉะนั้น ท่านแม้ไปสู่ที่
นิมนต์อื่นแล้ว เข้าไปสู่เรือนของกระผมแล้ว พึงทำภัตกิจ. พระเถระรับแล้ว.
ก็โพธิสัตว์นั้น ปูเสื่อลำแพนในศาลาตั้งเตียงตั่ง วางพนักพิงวางที่
เช็ดเท้า ขุดสระ ทำที่จงกรมเกลี่ยทราย เห็นสัตว์มาทำลายฝา ทำดินเหนียว
ให้ตก ก็ล้อมรั้วหนาม เห็นสัตว์ลงสระทำน้ำให้ขุ่นก็ก่อบันไดภายใน ล้อมรั้ว
หนามภายนอก ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน เห็นสัตว์ทำสกปรกที่อันลมควร
ในมหาจงกรม ก็ล้อมที่จงกรมด้วยรั้ว ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน ยังอาวาส
ให้สำเร็จอย่างนี้ ถวายไตรจีวร บิณฑบาต ยา ภาชนบริโภค เหยือกน้ำ
กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม ไม้เท้า รองเท้า ตุ่มน้ำ ร่ม คบเพลิง ไม้แคะ
มูลหู บาตร ถลกบาตร ผ้ากรองน้ำ ที่กรองน้ำ ก็หรือ สิ่งที่บรรพชิตควร
บริโภคอื่นแด่พระเถระ ชื่อว่า บริขารที่พระโพธิสัตว์ไม่ถวายแก่พระเถระไม่มี.

พระโพธิสัตว์นั้น รักษาศีล รักษาอุโบสถ บำรุงพระเถระตลอดชีวิต. พระ-
เถระอยู่ในอาวาสนั้นเทียว บรรลุพระอรหัตแล้วนิพพาน. ฝ่ายพระโพธิสัตว์
ทำบุญตลอดอายุแล้วไปเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้น มาสู่มนุษยโลกไป
เกิดเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิในราชธานี ชื่อว่า กุสาวดี.
บุญแม้อันไม่ใหญ่ยิ่งได้กระทำแล้วในศาสนาของท่านอย่างนี้
มหาวิบาก จึงมี เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาพึงทำบุญนั้น.

บทว่า มหาวิยูหํ ความว่า มหากูฏาคารอันทำด้วยเงิน. ทรงพระ-
ประสงค์ที่จะประทับอยู่ในกูฏาคารนั้น จึงได้เสด็จไป. บทว่า เอตฺตาวตา
กามวิตกฺก
ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ทรงข่มวิตกทั้งสามที่ประตู
กูฏาคารนั่นเทียวอย่างนี้ว่า.-
ดูก่อนกามวิตก ท่านพึงกลับเพียงเท่านี้ เบื้องหน้าแต่นี้ไป ท่านไม่มี
ที่อยู่ นี้ชื่อว่า ฌาณาคาร ฌาณาคารนี้ ไม่ใช่ที่อยู่ร่วมกับท่าน.
ในบทว่า ปฐมชฺฌานํ เป็นต้น ชื่อว่า กสิณบริกรรมกิจย่อมไม่มีต่าง
หาก ครั้นมีความต้องการนีลกสิณ นิลมณีก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วย
ปิตกกสิณ สุวัณณะก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโลหิตกสิณ รัชตะมณี ก็
ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโอทาตกสิณ รัชตะก็ย่อมมี ท่านบัญญัติกสิณ
ในฐานะที่แลดูแล้ว ๆ อย่างนี้ในบทว่า เมตฺตาสหคเตน เป็นต้น คำที่จะพึง
กล่าวแม้ทั้งหมด ได้กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล. ท่านกล่าวฌานสี่
อัปปมัญญาสี่ในบาลีด้วยประการฉะนี้. ก็มหาบุรุษยังสมาบัติแปดทั้งหมด
อภิญญาห้าให้เกิดแล้วเข้าสมาบัติโดยอาการสิบสี่ด้วยสามารถอนุโลม ปฏิโลม
เป็นอาทิ ให้เป็นไปด้วยความสุข ในสมาบัตินั้นเทียว เหมือนภมรเข้ารวงผึ้ง
เป็นอยู่ด้วยมธุรส ฉะนั้น.

บทว่า กุสาวติราชธานี ความว่า กุสาวดีราชธานี เป็นประมุข คือ
เป็นใหญ่ทั้งหมดแห่งพระนครเหล่านั้น. บทว่า ภตฺตาภิหาโร ความว่า ภัต
อันจะพึงนำไปเฉพาะ. บทว่า วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส ความว่า ท่านคิด
อย่างนี้ เพราะเหตุไร. เพราะรำคาญด้วยเสียงบุคคลเหล่านั้น. ก็ท่านกล่าวว่า
เสียงย่อมรบกวนผู้เข้าสมาบัติ เพราะฉะนั้น มหาบุรุษจึงรำคาญด้วยเสียง. ถ้า
เช่นนั้น ทำไมจึงไม่บอกว่า พวกท่านจงอย่ามา. เดี๋ยวนี้พระราชาไม่เห็น
เพราะฉนั้น จึงไม่กล่าวว่า จักไม่ได้วัตรเป็นนิตย์ วัตรนั้นของชนเหล่านั้น
จงอย่าขาดไป.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดนั้นได้มีแล้วเมื่อไร. ในวันกาล
กิริยาของพระราชา. ได้ยินว่า ในกาลนั้น เทพดาทั้งหลายคิดว่า พระราชาจง
อย่าทรงกระทำกาลกิริยาอย่างอนาถา จงมีธิดา บุตรทั้งหลายที่ร้องไห้แวดล้อม
กระทำกาลกิริยาเถิด. ลำดับนั้น นึกถึงเทวียังจิตแห่งเทวีเกิดขึ้นอย่างนี้. บทว่า
ปิตานิ วตฺถานิ ความว่า ได้ยินว่า ผ้าเหลืองเหล่านั้น เป็นที่พึงพอพระ-
ราชหฤทัยของพระราชาโดยปกติ เพราะฉะนั้น พระนางสุภัททาเทวี จึงตรัส
ว่า ท่านทั้งหลายจงห่มผ้าเหลือง. บทว่า เอตฺเถว เทวิ เทวิ ติฏฺฐ ความว่า
ชื่อว่า ฌานาคารนี้ ไม่ใช่สถานอยู่ร่วมกับท่านทั้งหลาย ชื่อว่า สถานที่ได้
ความยินดีในฌานท่านอย่าเข้ามาในที่นี้.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายในโลกย่อมรุ่งโรจน์
ยิ่งในกาลสมัยใกล้ตาย ด้วยเหตุนั้น พระนางเทวีนั้น ทรงเห็นความที่พระราชา
ทรงมีพระอินทรีย์ผ่องใส จึงมีพระดำรัสอย่างนั้น.
แต่นั้น พระนางเทวีไม่ทรงปรารถนากาลกิริยาของพระราชาชั้นว่า
ขอกาลกิริยาอย่าได้มีแด่พระราชา ตรัสถึงคุณสมบัติของพระราชานั้น ทรงคิด
ว่า เราจักทำอาการให้ทรงมีพระชนม์อยู่จึงทูลว่า อิมานิ เต เทว เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺทํ ชเนหิ ความว่า จงทรงยังความรัก
ให้เกิดขึ้น คือ จงทรงกระทำปีติ. บทว่า ชีวิเต ปน อเปกฺขํ ความว่า
พระองค์จงทรงทำความอาลัย คือ ความอยากในชีวิต. บทว่า เอวํโข มํ ตฺวํ
เทวิ
ความว่า ครั้นพระนางเทวีสำคัญพระราชาว่า พระราชานี้เป็นบรรพชิต
จึงทูลว่า ข้าแต่เทวะ หม่อมฉันเป็นหญิงย่อมไม่รู้จักถ้อยคำอันควรแก่บรรพชิต
หม่อมฉันจะกล่าวอย่างไร มหาราช พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิจึงตรัสว่า
เอวํ โข มํ ตฺวํ เทวิ สมุทาจาร ดังนี้. บทว่า ครหิตา ความว่า สเปกข-
กาลกิริยา อันพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกและบรรพชิตเหล่า
อื่น ผู้เป็นพหุสูตติเตียนแล้ว. เพราะเหตุอะไร. เพราะกาลกิริยาที่มีความ
ห่วงใย เป็นเหตุให้เกิดเป็นยักษ์ สุนัข แพะ โค กระบือ หนู ไก่ และ
นกเป็นต้น ในเรือนของตนเท่านั้น.
บทว่า อถโข อานนฺท ความว่า พระนางเทวี ไปในที่ควรส่วนสุด
ข้างหนึ่งแล้ว ทรงพระกันแสง ทรงเช็ดพระอัสสุชล จึงตรัสดังนั้น. บทว่า
คหปติสฺส วา ความว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส. ได้ยินว่า สมบัติ
อันมากย่อมมีแก่ชนเหล่านั้นเหมือนมีแก่บุตรของโสณเศรษฐีเป็นต้น ฉะนั้น.
ได้ยินว่า ถาดแห่งภัตใบหนึ่งของโสณเศรษฐีบุตร มีราคาตั้งสองแสน เมื่อ
ชนเหล่านั้นบริโภคภัตเช่นนั้น ชั่วครู่ก็เกิดความเมาในภัต ทำให้อึดอัด ลำบาก
เพราะภัต ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ความ
ว่า นครที่เราอยู่มีเพียงนครเดียวเท่านั้น. บุตรธิดาเป็นต้นและทาสมนุษย์ทั้ง
หลายอยู่ในนครที่เหลือ. แม้ในปราสาทและกูฏาคารทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียว
กัน.
ในบัลลังก์เป็นต้น ก็ทรงใช้บัลลังก์เดียวเท่านั้น. บัลลังก์ที่เหลือ เป็น
ของใช้สำหรับ บุตรเป็นต้น. แม้ในสตรีทั้งหลาย สตรีคนเดียวเท่านั้น บำรุง

สตรีที่เหลือเป็นเพียงบริวาร. บทว่า ปริทหามิ ความว่า เรานุ่งผ้าคู่เดียวเท่า
นั้น. ผ้าคู่ที่เหลือย่อมมีแก่บุรุษ 16 แสน 80 พันคนผู้ขอเที่ยวไป. บทว่า
ภุญฺชามิ แสดงว่า เราบริโภคข้าวสุกเพียงหนึ่งทะนาน โดยปัตถะเป็นประมาณ
ที่เหลือได้แก่บุรุษ 8 แสน 40 พัน ที่ขอเที่ยวไป. จริงอยู่ สำรับหนึ่ง พอ
แก่ชนสิบคน. ได้ยินว่า พระนคร 84,000 แห่ง ปราสาทพันหลัง และ
กูฏาคารหนึ่งพัน เกิดขึ้นเพราะผลบุญไหลมาแห่งบรรณศาลาหลังเดียว. บัลลังก์
84,000 หลังเกิดขึ้น ด้วยผลบุญไหลมาแห่งเตียงที่ถวายเพื่อประโยชน์แก่การ
นอน. ช้าง 84,000 เชือก ม้า 1,000 ตัว รถ 1,000 คัน เกิดขึ้นด้วย
ผลบุญที่ใหลมาแห่งตั่งที่ถวาย เพื่อประโยชน์แก่การนั่ง. แก้วมณี 84,000
ดวง เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งประทีปหนึ่งดวง. สระโบกขรณี 84,000
สระ เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งสระโบกขรณีหนึ่งสระ. สตรี 84,000 นาง
บุตร 1,000 คน คหบดี 1,000 คน เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งการ
ถวายบริโภคภาชนะ บาตร ถลกบาตร ธรมกรก ผ้ากรองน้ำ หม้อน้ำ
กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม กุญแจ ไม้แคะมูลหู ผ้าเช็ดเท้า รองเท้า ร่ม และ
ไม้เท้า. แม่โคนม 84,000 ตัว เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งทานโครส.
ผ้า 84,000 โกฏิพับเกิดขึ้นด้วยผลบุญอันไหลมาแห่งทานผ้านุ่งผ้าห่ม. สำรับ
ใส่ พระกระยาหาร 84,000 สำรับ พึงทราบว่า เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมา
แห่งทานโภชนา. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงสมบัติของพระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดิตั้งแต่ต้นโดยพิสดาร ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงสมบัตินั้นทั้งหมด
เหมือนแสดงโรงเล่นฝุ่นแก่เด็กทั้งหลาย บรรทมบนพระแท่นเป็นที่ดับขันธ
ปรินิพานแล้วตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอจงดู ดังนี้เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิปริณตา ความว่า ถึงซึ่งความแปรปรวน
เหมือนประทีปดับ โดยละปกติไปฉะนั้น. บทว่า เอวํ อนิจฺจาโข อานนฺท

สํขารา ความว่า ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว กลับไม่มีอย่างนี้.
บุรุษผูกพะองในต้นไม้จำปาสูงร้อยศอก ขึ้นแล้ว ถือเอาดอกไม้จำปาแก้พะอง
ลงมาฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงยก ซึ่งสมบัติของพระ
เจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ สูงถึงแสนโกฏิปี ไม่ใช่น้อย เหมือนผูกพะอง ทรงถือ
เอา อนิจลักษณะที่ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งสมบัติ ก้าวลงเหมือนแก้พะอง ด้วย
ประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น ในกาลก่อน พระเจ้า วสภะ ทรงสดับพระสูตรนี้
ที่พระทีฆภาณกเถระสาธยายในอัมพลัฏฐิกา ด้านทิศตะวันออกแห่งโลหะ
ปราสาทแล้วทรง คิดว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรากล่าวอะไรในที่นี้ พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวเฉพาะ สมบัติในฐานที่ตนได้กินได้ดื่มเท่านั้น ทรงเหยียดพระหัตถ์ซ้าย
ประสานด้วยพระหัตถ์ขวาว่า ท่านมีจักษุด้วยจักษุห้าประการ เห็นสูตรนี้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงอย่างนี้แล. ทรงมีพระหฤทัยยินดีว่า สาธุ สาธุ ทรงให้สาธุการ.
บทว่า เอวํ อธุวา ความว่า ปราศจากความแน่นอน เหมือนคลื่น
น้ำเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า เอวํ อนสฺสาสิกา ความว่า ปราศจากลมอัสสาสะ
เหมือนน้ำที่ดื่มแล้ว และเหมือนจันทร์ที่ลูบไล้ในความฝันอย่างนี้. บทว่า
สรีรํ นิกฺขิเปยฺย ความว่า ทิ้งสรีระ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
อานนท์ การทิ้งหรือการปฏิบัติสรีระอื่น ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต. ก็แลครั้น
ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสเรียกพระเถระอีกว่า ธรรมดาอานุภาพแห่งพระเจ้า
จักรพรรดิ ย่อมอันตรธานในวันที่เจ็ดแห่งการบวช. ส่วนสมบัติทั้งหมด นี้คือ
กำแพงรัตนะเจ็ดขึ้น ตาลรัตนะ สระโบกขรณี 84,000 สระ ธรรมปราสาท
ธรรมาโบกขรณี จักรรัตนะ อันตรธานแล้วในวันที่เจ็ด แต่กาลกิริยาแห่ง
พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ. ในช้างเป็นต้น ก็ธรรมดาอย่างนี้. ที่หมดอายุขัย
ก็ทำกาลกิริยาไป. ครั้นอายุยังเหลืออยู่ หัตถีรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลอุโบสถ

อัสสรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลวลาหก มณีรัตนะก็จะไปสู่ วิบุลบรรพตเท่านั้นเอง.
อานุภาพแห่งอิตถีรัตนะ ย่อมอันตรธานไป. จักษุของคหบดีรัตนะก็จะกลับ
เป็นปกติ. การขวนขวายของปริณายกรัตนะ ก็ย่อมพินาศ.
บทว่า อิทมโวจ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสบทนี้
ทั้งหมดที่มาแล้วและไม่มาแล้วในพระบาลี. บทที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น
ดังนี้.
จบ อรรถกถามหาสุทัสสนสูตรที่ 4

5. ชนวสภสูตร



คติพยากรณ์ เรื่องผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ



[187] ข้าพเจ้า ได้สดับมาดังนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระตำหนักคิญชกาวสถะ
ในบ้านนาทิกะ. ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ ถึงชนผู้บำรุง
ซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี
มัลละ เจติ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น
คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า 50 คน ทำกาละล่วง
ไปนานแล้วเป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่าง ปรินิพ-
พาน ณ ที่นั่น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ
กว่า 90 คน ทำกาละล่วงไปนานแล้วเป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์
3 อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว
แล้วทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า 500 คน ทำกาละ
ล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ 3 อย่าง มีอันไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า.
[188] ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ ได้สดับข่าวมาว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้-
เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจติ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน
ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ
กว่า 50 คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์