เมนู

ยตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออก
จากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์
จตุตถฌานนั้น).
[185] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการปริ-
นิพานได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลอง
ทิพย์ก็บันลือขึ้น.

พรหมกล่าวสังเวคธรรม



[146] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพพาน
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอด-
ทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็น
ศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบ
มิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมี
พระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน.

[147] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพ-
พาน ท้าวลักกจอมเทพ ได้ตรัสพระคาถาว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความ
เกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ย่อมเกิด

ขึ้นและดับไป ความเข้าไปสงบสังขารเหล่า
นั้นได้เป็นสุข.

[148] . . .ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมุนีผู้มี
พระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่หวั่นไหว ปรารภ
สันติทำกาละมิได้มีแล้ว.
พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอด-
กลั้นเวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจิตได้มี
แล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนี้.

[149] . . .ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวคาถานี้ว่า
เมื่อพระสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย
อาการอันประเสริฐทั้งปวง ปรินิพพาน
แล้ว ในครั้งนั้นได้เกิดอัศจรรย์ น่าพึงกลัว
และเกิดความขนพองสยองเกล้า.

[150] เมื่อพระผู้มีภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุเหล่านั้น
พวกภิกษุยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาด รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน
เร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธาน
เร็วนัก. ส่วนพวกภิกษุที่มีราคะไปปราศแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ข้อนั้น จะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.
[151] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มี
อายุทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศกอย่าร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความ

เป็นอย่างอื่นจากสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้น จะหาได้
ได้ในสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัย
ปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำ
ลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็นฐานที่จะมีได้ พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่. ท่านพระ-
อานนท์ถามว่า ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาการทำไว้ในใจเป็นอย่างไร. พระ
อนุรุทธะตอบว่า อานนท์ มีเทวดาบางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน สยายผม
ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาดแล้ว
รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก มีเทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่า
เป็นแผ่นดินสยายผมคร่ำครวญอยู่. . .อันตรธานเร็วนัก. ส่วนเทวดาที่ปราศ
จากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
ข้อนั้นจะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.
ลำดับนั้น ท่านอนุรุทธะและท่านพระอานนท์ยังราตรีที่เหลือนั้น ให้
ล่วงไปด้วยธรรมีกถา. ท่านพระอนุรุทธะสั่งท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิด อานนท์
ท่านจงเข้าไปเมืองกุสินารา บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน
วาสิฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ขอพวกท่านจงทราบกาล
อันควรในบัดนี้เถิด. ท่านพระอานนท์รับคำท่านพระอนุรุทธะแล้ว เวลา
เช้านุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว.

แจ้งข่าวปรินิพพาน



[152] สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ประชุมกันที่สัณฐคาร
ด้วยเรื่องพระนิพพานนั้น. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ไปยังสัณฐาคารของเจ้า
มัลละเมืองกุสินารา ได้บอกแก่เจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย