เมนู

สติปัฏฐาน 4 ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 ตามเป็นจริง ได้ตรัสรู้ยิ่งแล้วซึ่งพระ-
สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า
เหล่านั้น ทุกพระองค์ จักทรงละนีวรณ์ 5 ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของใจ
เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งมั่นด้วยดีในสติปัฏฐาน 4
ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 ตามเป็นจริง จักตรัสรู้ยิ่งซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณอัน
ยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า องค์อรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละแล้วซึ่งนีวรณ์ 5 ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของ
ของใจ เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีในสติ
ปัฏฐาน 4 ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 คามเป็นจริง ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ซึ่งพระสัมมา
สัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยม ดังนี้ (1)
กล่าวกันว่า แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ ณ ปาวาริกัมพวัน
ในเมืองนาลันทานั้น ก็ทรงทำธรรมมีกถานี้แล เป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ศีลมีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญามีอยู่ด้วย
ประการฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอัน
สมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้น
ด้วยดี โดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
ดังนี้.

ปาฏลิคาม



[78] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในเมืองนาลันทา
ตามพระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักเข้าไปหมู่
1. มีเรื่องเล่าถึงเหตุที่ท่านพระสารีบุตรเถระมาเฝ้พระผู้มีพระภาคเจ้าและกราบทูลเรื่องนี้ไว้ใน
สัมปสาทนียสูตร ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ 11/108-110 และดู-สุมงฺคลวิลานินี, ตติย
ภาค, น. 74-86