เมนู

การฉะนี้ สมาธิ มีอยู่แม้ด้วยประการฉะนี้ ปัญญา มีอยู่แม้ด้วยประการฉะนี้
สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว
มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้วก็หลุดพ้นด้วยดีโดยแท้ จาก
อาสวะทั้งหลายกล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดังนี้.

เมืองนาลันทา



[77] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในพระราชอุทยาน
อัมพลัฏฐิกา ตามพระอัธยาศัยแล้ว จึงตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด
อานนท์ เราจักเข้าไปเมืองนาลันทา ท่านพระอานนท์กราบทูลรับแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองนาลันทา เล่ากันว่า ในเมืองนาลันทานั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในปาวาริกัมพวัน.(1)

พระสารีบุตรมาเฝ้า



ครั้งนั้นแล(2) ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ด้านหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญารู้ยิ่ง ยิ่งกว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีมาแล้ว (ในอดีต) และจักไม่มี
(ในอนาคต ) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร วาจาอันอาจหาญโอฬาร
นี้ บันลือสีหนาทที่เชื่อถือโดยแท้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใส
1. ใน สํ. มหาวาร. 19/-211 ว่า ว่า เสด็จอยู่ในปาวาริกัมพวัน-สวนมะม่วงของทุสสปาวาริก
เศรษฐีดู. สารตฺถปปกาสินี. ตติภาค. น. 305.
2. บาลีพระสูตรต่อไปนี้ มีกล่าวไว้เบื้องต้นของสัมปสาทนียสูตร ที. ปา. 11/108-110 และ สํ.
มหาวาร. 19/ 211-241.

ในพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญารู้ยิ่ง
ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีแล้ว (ในอดีต) และ
จักไม่มี (ในอนาคต) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ นี้เธอกล่าวแล้ว ดูก่อนสารี-
บุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด ได้มีแล้วในอดีตกาล
เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้เป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประ-
การฉะนี้ มีธรรมอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วย
ประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้
พ้นพิเศษแล้วอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือหนอ.
พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร แต่พระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด จักมีในอนาคตกาล เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนั้น เป็นผู้มีธรรม
อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้
เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้พ้นพิเศษแล้ว
อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือ.
พระสารีบุตร. . . ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ดูก่อนสารีบุตร แต่เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ
ซึ่งเรา(ตถาคต)ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลบัดนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมอย่างนี้ แม้ด้วยประการ
ฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้พ้นพิเศษแล้วอย่างนี้
แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือ.

พระสารีบุตร. . . ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. . . ดูก่อนสารีบุตร และเพราะเธอไม่มีญาณเพื่อ
กำหนดรู้ด้วยใจในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีต ในอนาคต และใน
ปัจจุบันนี้ และเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุไร เธอจึงกล่าววาจาอันอาจหาญโอฬารนี้
บันลือสีหนาทที่เชื่อถือได้โดยแท้ ในบัดนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เสื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญา
รู้ยิ่ง ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีแล้ว (ในอดีต)
และจักไม่มี (ในอนาคต) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ดังนี้.
พระสารีบุตร. . . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณเพื่อกำหนด
รู้ด้วยใจในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีต ในอนาคต และในปัจจุบัน
ก็แต่ว่าข้าพระองค์รู้ว่าการดำเนิน (โดยอนุมาน) ไปตามทางธรรม พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือน นครที่ตั้งอยู่ชายแดนของพระราชา มี
ประตูมั่นคง มีกำแพงและเสาค่ายแน่นหนา มีประตูเดียว นายประตูของเมือง
นั้น เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา คอยห้ามคนทั้งหลายที่ตนไม่รู้จัก อนุญาต
คนทั้งหลายที่ตนรู้จักให้เข้าไปในเมืองนั้น นายประตูนั้นเดินไปตามทางโดย
เที่ยวสำรวจไปโดยรอบนครนั้น ไม่เห็นรอยต่อของกำแพง หรือช่องว่างของ
กำแพง แม้เพียงโดยที่สุดแมวลอดออกได้ นายประตูนั้น จึงมีความคิดอย่างนี้
ว่า สัตว์มีชีวิตขนาดเขื่องไร ๆ เหล่าใดแล เข้ามาในเมืองนี้ก็ดี ออกไปก็ดี
สัตว์มีชีวิตเหล่านั้นทั้งหมด เข้าหรือออกโดยประตูนี้ ดังนี้ แม้ฉันใด ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ก็ฉันนั้นนั่นแล รู้การดำเนินไปตามทางธรรมว่า
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด ได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้
มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ทรงละนีวรณ์ 5 ประการ ซึ่งเป็น
อุปกิเลสของใจ เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีใน

สติปัฏฐาน 4 ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 ตามเป็นจริง ได้ตรัสรู้ยิ่งแล้วซึ่งพระ-
สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า
เหล่านั้น ทุกพระองค์ จักทรงละนีวรณ์ 5 ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของใจ
เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งมั่นด้วยดีในสติปัฏฐาน 4
ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 ตามเป็นจริง จักตรัสรู้ยิ่งซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณอัน
ยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า องค์อรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละแล้วซึ่งนีวรณ์ 5 ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของ
ของใจ เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีในสติ
ปัฏฐาน 4 ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 คามเป็นจริง ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ซึ่งพระสัมมา
สัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยม ดังนี้ (1)
กล่าวกันว่า แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ ณ ปาวาริกัมพวัน
ในเมืองนาลันทานั้น ก็ทรงทำธรรมมีกถานี้แล เป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ศีลมีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญามีอยู่ด้วย
ประการฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอัน
สมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้น
ด้วยดี โดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
ดังนี้.

ปาฏลิคาม



[78] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในเมืองนาลันทา
ตามพระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักเข้าไปหมู่
1. มีเรื่องเล่าถึงเหตุที่ท่านพระสารีบุตรเถระมาเฝ้พระผู้มีพระภาคเจ้าและกราบทูลเรื่องนี้ไว้ใน
สัมปสาทนียสูตร ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ 11/108-110 และดู-สุมงฺคลวิลานินี, ตติย
ภาค, น. 74-86