เมนู

อรรถกถากูฏทันตสูตร


กูฏทันตสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ฯ เป ฯ มคเธสูติ กูฏ-
ทนฺตสุตฺตํ.
ในกูฏทันตสูตรนั้นมีการพรรณนาตามลำดับบท ดังต่อไปนี้.
บทว่า ในมคธชนบท ความว่า ราชกุมารทั้งหลาย ผู้มีปกติอยู่ใน
ชนบท มีชื่อว่า มคธะ ชนบทแม้ชนบทเดียวอันเป็นที่อยู่ของราชกุมารเหล่า
นั้น ท่านเรียกว่า มคธา ด้วยศัพท์ที่เพิ่มเข้ามา. ในชนบท ในแคว้น
มคธนั้น. เบื้องหน้าแต่นี้ไป มีนัยดังกล่าวแล้ว ในสูตรทั้งสองเบื้องต้น
นั้นแหละ. สวนอัมพลัฏฐิกา ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในพรหมชาลสูตร.
คำว่า กูฏทันตะ เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น.
บทว่า เตรียมการ คือ จัดแจง. บทว่า วจฺฉตรสตานิ คือ ลูกโคผู้หลายร้อย.
แพะตัวเล็ก ๆ ท่านเรียกว่า อุรัพภะ. สัตว์เท่านั้น มีมาในพระบาลีเพียง
แค่นี้เท่านั้น. แต่เนื้อและนกเป็นอันมากอย่างละ 700 แม้มิได้มีมา
ในพระบาลี ก็พึงทราบว่า ท่านประมวลเข้ามาด้วยเหมือนกัน. ได้ทราบว่า
กูฏทันตพราหมณ์ นั้นมีประสงค์จะบูชายัญอย่างละ 700 ทุกอย่าง. บทว่า
ถูกเขานำไปผูกไว้ที่หลัก คือ ถูกเขานำเข้าไปสู่หลัก กล่าวคือ หลักยัญ
เพื่อต้องการจะผูกวางไว้. บทว่า พักอยู่ คือ พวกพราหมณ์ทั้งหลายพักอยู่
เพื่อต้องการบริโภคของที่เขาให้เป็นทาน. บทว่า สามอย่าง ความว่า การ
ตั้งไว้ คือ การแต่งตั้ง ท่านเรียกว่า วิธ ในคำนี้. บทว่า มีบริขาร 16
คือ มีบริวาร 16

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงบุรพจริตที่ภพปกปิดไว้เหมือน
คนขุดขุมทรัพย์ที่ฝังอยู่ในดิน แล้วกระทำให้เป็นกองไว้ต่อหน้า จึงตรัส
พระดำรัสนี้ว่า เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว ดังนี้. บทว่า มีพระนามว่า มหาวิชิตะ
ความว่า ได้ยินว่า พระราชานั้นทรงชำนะปฐพีมณฑล ซึ่งมีทะเลเป็น
ที่สุด เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงถึงความนับว่า มหาวิชิตราช เพราะ
ปฐพีมณฑล ที่พระองค์ทรงชำนะแล้วใหญ่.
ในบทว่า มั่งคั่ง เป็นต้น ความว่า ใครก็ตาม เป็นคนมั่งคั่งด้วย
ทรัพย์สมบัติอันเป็นของตน. แต่พระเจ้ามหาวิชิตราชนี้ หาเป็นผู้มั่งคั่ง
อย่างเดียวเท่านั้นไม่ พระองค์ยังเป็นผู้ชื่อว่ามีทรัพย์มาก คือ ถึงพร้อมด้วย
ทรัพย์มากมาย คือ นับไม่ถ้วน. ชื่อว่า มีโภคสมบัติมาก เพราะมีโภค
สมบัติมากมาย คือยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจแห่งกามคุณห้า. ชื่อว่า มีทองและ
เงินมากมาย
เพราะความที่ทองและเงินเป็นแท่ง ๆ และด้วยอำนาจเป็น
มาสกทองคำและมาสกเงินเป็นต้น. อธิบายว่า ถึงพร้อมด้วยทองและเงิน
นับด้วยโกฏิเป็นอันมาก.
บทว่า ความปลื้มใจ คือความยินดี. เครื่องอุปกรณ์แห่งความปลื้มใจ
ชื่อ วิตตูปกรณะ ความว่า เหตุแห่งความยินดี. ผู้ชื่อว่า มีเครื่องอุปกรณ์
แห่งความปลื้มใจมากมาย
เพราะเขาเครื่องอุปกรณ์แห่งความปลื้มใจมาก-
มายหลายประเภท เป็นต้นว่า เครื่องประดับนานาชนิดและภาชนะทองเงิน
เป็นต้น. ผู้ชื่อว่า มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เพราะทรัพย์กล่าวคือ
แก้ว 7 ประการที่ฝังเก็บไว้ และข้าวเปลือกอันรวมตลอดถึงบุพพัณชาติและ
อปรัณชาติทั้งปวงมีมากมาย. อีกนัยหนึ่ง. บทนี้ท่านถล่าวไว้ด้วยอำนาจการ

ให้และการรับทรัพย์สินทุกวัน ของเขา ด้วยอำนาจทรัพย์ และข้าวเปลือกที่
แลกเปลี่ยนกัน.
บทว่า มีท้องพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์ ความว่า คลังที่
เก็บสิ่งของ ท่านเรียกว่า คลัง อธิบายว่า มีคลังเต็มบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ที่ฝัง
เก็บไว้ มีฉางเต็มบริบูรณ์ด้วยข้าวเปลือก. อีกนัยหนึ่ง. คลังมี 4 อย่างคือ
ช้าง ม้า รถ ทหารราบ. ฉางมี 3 อย่างคือ ฉางเก็บทรัพย์ ฉางเก็บ
ข้างเปลือก ฉางเก็บผ้า. ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ทั้งหมดนั้น ของเขาบริบูรณ์
เพราะฉะนั้น เขาจึงชื่อว่า มีท้องพระคลังและฉางเต็มบริบูรณ์.
บทว่า ได้เกิดขึ้น คือ เกิดขึ้นแล้ว. ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง พระ
ราชานี้เสด็จออกไปเที่ยวตรวจดูรัตนะ. พระองค์ตรัสถามผู้รักษาคลังเก็บสิ่ง
ของว่า แน่ะพ่อ ทรัพย์มากมายอย่างนี้ ใครเก็บสะสมมา. ภัณฑาคาริก
ทูลว่าพระราชบิดาและพระเจ้าปู่เป็นต้น ของพระองค์สะสมมา ตลอดชั่ว
7 ตระกูล. พระราชาตรัสถามว่า ก็ชนเหล่านั้นสะสมทรัพย์นี้ไว้แล้ว ไปที่
ไหนกัน. ภัณฑาคาริกทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชนเหล่านั้นทั้งหมดทีเดียว
ไปสู่อำนาจของความตาย. พระราชาตรัสถามว่า พวกเขาไม่ถือเอาทรัพย์ของ
ตนไปด้วยหรือ. ภัณฑาคาริกทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ตรัสอะไร
พวกเขาต้องละทิ้งทรัพย์นั้นไปโดยแท้ ถือเอาไปไม่ได้. ลำดับนั้น พระราชา
เสด็จกลับมาแล้ว ประทับนั่งในห้องอันมีสิริ ทรงดำริว่า เราครอบครองโภค-
สมบัติมากมายดังนี้เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ได้เกิดปริวิตก
ทางใจอย่างนี้
ดังนี้.
บทว่า ตรัสเรียกพราหมณ์ ถามว่า เพราะเหตุไร จึงตรัสเรียกมา.
ได้ยินว่า พระราชานี้ทรงดำริอย่างนี้ว่า ธรรมดาคนที่จะให้ทาน ได้ปรึกษา
กับบัณฑิตสักคนหนึ่งก่อนแล้วให้ จึงจะควร เพราะกรรมที่มิได้ปรึกษา

กระทำลงไป ย่อมทำความเดือดร้อนในภายหลัง ดังนี้ เพราะเหตุนั้น
พระองค์จึงตรัสเรียกมา.
ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า พระราชานี้มีพระราชประสงค์จะถวาย
มหาทาน และในชนบทของพระองค์ยังมีโจรมากมาย โจรเหล่านั้นก็ยังไม่
สงบ เมื่อพระองค์ถวายทานอยู่ บ้านเรือนของเหล่าชนผู้นำเครื่องสัมภาระ
แห่งทานมี นมสด นมส้ม และ ข้าวสาร เป็นต้นมา ย่อมไม่มีคนเฝ้า
โจรเหล่านั้นก็จักปล้น ชนบทก็จะเกลื่อนกล่นไปด้วยโจรภัย ที่นั้น ทานของ
พระราชาก็จักไม่ดำเนินไปได้นาน แม้พระทัยของพระองค์ก็จักไม่แน่วแน่
เอาเถอะ เราจะให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยเนื้อความนี้ ดังนี้. ลำดับนั้น
เขาเมื่อจะยังพระองค์ให้ทรงเข้าพระทัยเนื้อความนั้น จึงกล่าวคำว่า ชนบท
ของพระราชาผู้เจริญ
เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า มีเสี้ยนหนาม
คือ ยังมีเสี้ยนหนามด้วยเสี้ยนหนามคือ. โจร. บทว่า ปณฺฐทุหนา แปลว่า
การปล้นในทางเปลี่ยว ความว่า การฆ่ากันในทางเปลี่ยว. บทว่า พึงเป็นผู้
กระทำกิจที่ไม่ควรทำ
ความว่า พึงเป็นผู้กระทำกิจที่ไม่พึงกระทำ คือ พึง
เป็นผู้ประพฤติไม่เป็นธรรม. บทว่า ทุสฺสุขีลํ แปลว่า เสี้ยนหนามคือโจร.
บทว่า ด้วยการฆ่า คือ ด้วยการให้ตาย หรือ ด้วยการทุบ. บทว่า ด้วยการ
จองจำ
คือ ด้วยการจองจำมีการจองจำด้วยขื่อเป็นต้น. บทว่า ด้วยการปรับ-
ไหม
คือ ด้วยการเสียทรัพย์. อธิบายว่า ด้วยอาชญาเป็นไปอย่างนี้ว่า
พวกท่านจงเรียกเอา 100 จงเรียกเอา 1,000. บทว่า ด้วยการตำหนิโทษ คือ
ด้วยให้ได้รับการตำหนิโทษ กระทำโทษ เป็นต้นอย่างนี้ คือ ทำให้มี 5
แกละ โกนหัวให้โล้น เอามูลโครดและจองจำด้วยคาที่คอ. บทว่า ด้วยการ
เนรเทศ
คือ ด้วยการขับออกจากแว่นแคว้น. บทว่า จักปราบปราม คือ

เราจักกำจัดให้หมดไปโดยชอบ คือ โดยเหตุ โดยนัย โดยการณ์อันควร.
บทว่า ที่เหลือจากกำจัดแล้ว คือ ที่เหลือจากตายแล้ว.
บทว่า ขยันขันแข็ง คือ กระทำความอุตสาหะ. บทว่า จงเพิ่มให้
ความว่า เมื่อสิ่งที่พระราชทานแล้วไม่เพียงพอ โปรดพระราชทานพืชภัตร
และสิ่งของที่เป็นเครื่องมือในการกสิกรรม แม้อย่างอื่นทุกอย่างอีก. บทว่า
จงเพิ่มให้ซึ่งต้นทุน ความว่า ขอพระองค์จงพระราชทานสิ่งของต้นทุน
ด้วยอำนาจตัดขาดเงินต้นไปเลย ไม่ต้องทำพยานหลักฐาน ไม่ต้องลงบัญชี.
คำว่า ต้นทุน นี้ เป็นชื่อของสิ่งของอันเป็นทุนเดิม. เหมือนดังที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
คนมีปัญญา มีวิจารณญาณ ย่อมตั้งตัวไว้ด้วยทรัพย์ อันเป็นต้นทุน
แม้เพียงเล็กน้อย เหมือนคนเริ่มก่อไฟกองน้อยก่อน ฉะนั้น
ดังนี้.
บทว่า เบี้ยเลี้ยงรายวันและค่าจ้าง คือ ค่าอาหารประจำวัน และ
ทรัพย์สินมีเงินมาก เป็นต้น. ความว่า จงพระราชทานพร้อมกับพระ-
ราชทาน ฐานันดร บ้านและนิคม เป็นต้น โดยสมควรแก่ตระกูล การงาน
และความกล้าหาญของเขา ๆ. บทว่า ผู้ขวนขวายในการงานของตน คือ
เป็นผู้เพียรกระทำ ได้แก่ ไฝ่ใจกระทำ ในการงานของตน มีกสิกรรมและ
พาณิชยกรรม เป็นต้น. บทว่า กอง คือ กองแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก.
บทว่า ตั้งอยู่ในความเกษม คือดำรงอยู่ด้วยความปลอดโปร่ง คือ ไม่มีภัย.
บทว่า ไม่มีเสี้ยนหนาม คือ เว้นจากเสี้ยนหนามคือโจร. บทว่า โมทา
โมทมานา
แปลว่า ต่างชื่นชมยินดีต่อกัน. อีกประการหนึ่ง คำนี้นี่แหละ
เป็นพระบาลี. อธิบายว่า ต่างมีจิตพลอยยินดีซึ่งกันและกัน. บทว่า ไม่ต้อง
ปิดประตูเรือน
ความว่า เพราะไม่มีพวกโจร จึงไม่ต้องปิดประตูเรือน
เปิดประตูเรือนไว้ได้.

บทว่า ได้ตรัสพระดำรัสนี้ คือ พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงทราบความ
ที่บ้านเมืองมั่งคั่ง และเจริญโดยอาการทั้งปวงแล้ว จึงได้ตรัสพระดำรัสนี้.
บทว่า เตนหิ ภวํ ราชา ความว่า ได้ยินว่า พราหมณ์คิดว่า พระราชานี้
เกิดพระอุตสาหะยิ่งนัก ที่จะถวายมหาทาน แต่ถ้า พระองค์ไม่ทรงปรึกษา
เหล่ากษัตริย์ประเทศราชเป็นต้นแล้วถวาย กษัตริย์ประเทศราชเป็นต้นเหล่า-
นั้นของพระองค์ จักน้อยพระทัย เราจักกระทำโดยประการที่จะมิให้กษัตริย์
เหล่านั้นน้อยพระทัยได้ ณ บัดนี้ ดังนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงกราบทูลว่า
ถ้ากระนั้น พระราชา ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาวนิคม คือผู้ที่อาศัยอยู่ในนิคม. บทว่า
ชาวชนบท คือ ผู้อาศัยอยู่ในชนบท. บทว่า จงทรงปรึกษา คือ จงทรง
หารือ ได้แก่ จงทรงบอกกล่าวให้ทราบ. บทว่า ยํ มม อสฺส คือ การ
ร่วมมือของพวกท่าน พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เรา. บทว่า
อมจฺจา แปลว่า สหายผู้สนิท. บทว่า ปาริสชฺชา คือ ผู้ที่เป็นลูกน้อยที่เหลือ.
บทว่า ยชตํ ภวํ ราชา แปลว่า ขอเดชะ ขอพระราชาจงทรงบูชายัญเถิด.
ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นยินดีว่า พระราชานี้ไม่ทรงข่มขืนถวายทาน ด้วยคิดว่า
เราเป็นใหญ่ ยังทรงเรียกพวกเรามาปรึกษา น่าอัศจรรย์จริง พระองค์ทรง
กระทำดีแล้ว ดังนี้ จึงได้กล่าวอย่างนั้น. แต่เมื่อพวกเขามิได้รับเชิญมา พวก
เขาก็ไม่พึงมาแม้เพื่อจะดูที่บูชายัญ ของพระราชานั้น. บทว่า ข้าแต่มหาราช
เป็นกาลควรแล้วที่จะบูชายัญ
ความว่า พวกเขาเมื่อจะแสดงว่า ก็เมื่อไทย-
ธรรมไม่มี ถึงในเวลาแก่แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะให้ทานเห็นปานนี้ได้ แต่
ท่านรุ่มรวย และยังหนุ่มแน่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นกาลสมควรที่จะบูชา
ยัญของท่านแล้ว ดังนี้ จึงได้กล่าวขึ้น. บทว่า ชนผู้ที่เห็นชอบ คือ ฝ่ายที่

เห็นด้วย อธิบายว่า ผู้ให้ความยินยอม. บทว่า เป็นบริขาร คือ เป็นบริวาร.
แต่ในคำนี้ว่า รถมีศีลและเครื่องประดับ มีฌานเป็นเพลา มีความเพียร
เป็นล้อ ดังนี้ เครื่องประดับท่าน เรียกว่า บริขาร.
บทว่า ด้วยองค์ 8 คือ ด้วยองค์ 8 มี อุภโตสุชาต เป็นต้น.
บทว่า ด้วยพระยศ คือ ด้วยความเป็นผู้สามารถที่จะลงอาญาได้. บทว่า
มีศรัทธา คือ เชื่อว่า ผลของทานมีอยู่. บทว่า เป็นผู้ให้ คือเป็นผู้กล้าหาญ
ในการให้. อธิบายว่า มิใช่ดำรงอยู่แต่เพียงมีศรัทธาเท่านั้น แต่สามารถ
ที่จะสละด้วย. บทว่า เป็นนายของทาน คือ เป็นนายของทานที่ตนให้
ไม่เป็นทาส ไม่เป็นสหาย. อธิบายว่า
ก็ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้วยตนเอง ให้ของไม่อร่อยแก่ผู้อื่น ผู้นั้น
จัดว่าเป็นทาสแห่งไทยธรรมกล่าวคือทานให้ ผู้ใดบริโภคสิ่งใด
ด้วยตนเองก็ให้สิ่งนั้นนั่นแหละ ผู้นั้นจัดเป็นสหายให้ ส่วนผู้
ใดตนเองก็ยังชีพด้วยอาหารตามมีตามเกิด แต่ให้ของอร่อยแก่ผู้อื่น
ผู้นั้นจัดว่าเป็นนาย คือ เป็นเจ้าของผู้ยิ่งใหญ่ให้ พระเจ้ามหา-
วิชิตราชนี้ ทรงเป็นเช่นนั้น
ดังนี้.
ในบทนี้ว่า แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก
และยาจก
ความว่า ผู้มีบาปอันสงบแล้ว ชื่อว่า สมณะ. ผู้มีบาปอันลอย
แล้ว ชื่อว่า พราหมณ์. ผู้เข็ญใจ คือคนที่ยากจน ชื่อว่า คนกำพร้า. บทว่า
อทฺธิกา แปลว่า ผู้เดินทางไกล. ชนเหล่าใด เที่ยวสรรเสริญคุณแห่งทาน
โดยนัยเป็นต้นว่า ท่านผู้เจริญ ผู้ให้ทานน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
ไม่มีโทษ ตามกาลอันควร ทำจิตให้เลื่อมใสแล้ว จงไปสู่พรหมโลก ดังนี้
ชนเหล่านั้น ชื่อว่า วณิพก. ชนเหล่าใดกล่าวคำเป็นต้นว่า ขอท่านจงให้สัก

ฟายมือหนึ่งเถิด ขอท่านจงให้สักขันหนึ่งเถิด เที่ยวขอเขาไป ชนเหล่านั้น
ชื่อว่า ยาจก. บทว่า เป็นดุจบ่อที่ลงดื่ม คือ ดุจบ่อน้ำ. อธิบายว่า เป็นดุจ
สระโบกขรณี ที่เขาขุดไว้ที่ทางใหญ่ 4 แพร่ง เป็นที่บริโภคทั่วไปของคน
ทั้งปวง. ในบทว่า แห่ง ข้อที่ทรงศึกษาแล้ว นี้คือ ข้อที่ทรงศึกษาแล้ว
นั่นแหละชื่อว่า ทรงศึกษาแล้ว.
ในบทว่า สามารถที่จะทรงคิดอรรถอันเป็นอดีต อนาคต และ
ปัจจุบันได้
พึงทราบใจความว่า พระองค์เมื่อทรงคิดได้อย่างนี้ว่า เพราะ
เหตุที่เราได้ทำบุญไว้ในอดีตนั่นเอง เราจึงมีสมบัติดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ทรง
สามารถคิดอรรถอันเป็นอดีต. เมื่อทรงคิดได้ว่า เราทำบุญในบัดนี้ นี่แหละ
สามารถที่จะได้รับสมบัติในอนาคต ดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงสามารถคิดอรรถ
อันเป็นอนาคต. เมื่อทรงคิดได้ว่า ชื่อว่า กรรมอันเป็นบุญนี้เป็นอาจิณกรรม
ของสัตบุรุษ แม้โภคทรัพย์ของเราก็มีอยู่ ทั้งจิตคิดจะให้ก็มีอยู่ เอาเถอะ
เราจะทำบุญ ดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงสามารถคิดอรรถอันเป็นปัจจุบัน ดังนี้.
บทว่า องค์เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ คือ องค์เหล่านี้ตามที่กล่าว
มาแล้ว ด้วยประการฉะนี้. ได้ยินว่า มหาชนจากทิศทั้งปวงย่อมเข้าไปหา
ทานของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยองค์ทั้ง 8 เหล่านี้. บางคนคิดเห็นเหตุเป็นต้น
อย่างนี้ว่า ผู้นี้เกิดไม่ดีแล้ว จักให้ทานไปนานสักเท่าไร บัดนี้เอง เขาก็
เดือดร้อนแล้ว จักตัดขาดเสีย ดังนี้แล้ว ย่อมไม่สำคัญถึงทานว่าควรจะ
เข้าไปหา เพราะฉะนั้น องค์ทั้ง 8 เหล่านี้ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นบริขาร.
บทว่า ผู้รับการบูชา คือ ผู้ถือทัพพีให้ทานในที่ที่รับการให้ทาน
อย่างใหญ่. บทว่า ด้วยองค์ 4 เหล่านี้ คือ ด้วยองค์มีเกิดดีแล้ว เป็นต้น
เหล่านี้. เหล่าชนผู้ที่กล่าวคำเป็นต้นว่า เมื่อองค์มีการเกิดดีแล้วเป็นต้นมีอยู่

ทานที่เป็นไปด้วยการจัดแจงของผู้ที่เกิดไม่ดีแล้ว อย่างนี้ จักเป็นไปนาน
สักเท่าไร ดังนี้ จะไม่เข้าไปหาเลย แต่จะเข้าไปหาเพราะไม่มีสิ่งที่จะพึง
ติเตียนเท่านั้น เพราะเหตุนั้น องค์แม้เหล่านี้ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นบริขาร.
บทว่า แสดงยัญวิธี 3 ประการ คือ แสดงการตั้งมั่น 3 อย่าง.
ได้ยินว่า เขาคิดว่า ธรรมดาผู้ให้ทานอยู่ย่อมหวั่นไหวในฐานะใดฐานะหนึ่ง
บรรดาฐานะทั้ง 3 นั้น เอาเถอะ เราจะกระทำพระราชานี้มิให้ทรงหวั่นไหว
ในฐานะเหล่านี้ ก่อนอื่นใดทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงแสดงยัญวิธี 3 อย่างแก่
พระราชานั้น. คำนี้ว่า โส โภโต รญฺโญ เป็นฉัฏฐีวิภัติลงในอรรถตติยา-
วิภัติ.อีกนัยหนึ่ง บาลีว่า โภตา รญฺญา ดังนี้ ก็มี. บทว่า ไม่ควรทำความ
วิปฏิสาร
ท่านแสดงว่า ไม่ควรทำความเดือดร้อนในภายหลังอันมีความสิ้น
เปลืองไปแห่งโภคสมบัติเป็นเหตุ แต่บุรพเจตนาควรให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
เพราะทานนั้นย่อมมีผลมากด้วยประการฉะนี้. ในฐานะ 2 อย่างแม้นอกนี้
ก็มีนัยเช่นนี้เหมือนกัน. ก็เจตนาที่กำลังบริจาคก็ดี เจตนาที่ตามระลึกถึงใน
ภายหลังก็ดี ควรกระทำมิให้หวั่นไหว เมื่อไม่กระทำเช่นนั้น ทานย่อมไม่
มีผลมาก ทั้งจิตก็จะไม่น้อมไปในโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ เหมือนทานของ
เศรษฐีคฤหบดี ผู้ไปเกิดในมหาโรรุวนรก ฉะนั้น.
บทว่า ด้วยอาการ 10 คือ ด้วยเหตุ 10. ได้ยินว่า พราหมณ์ปุโรหิต
นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าพระราชานี้ทรงเห็นผู้ทุศีลแล้วคิดว่า ทาน
ของเราจักฉิบหายแน่ คนทุศีลเห็นปานนี้ บริโภคทานของเรา ดังนี้ แม้
ในคนผู้มีศีล ก็จักให้เกิดความวิปฏิสารได้ ทานก็จักไม่มีผลมาก ก็ธรรมดา
ความวิปฏิสาร ย่อมเกิดขึ้นแก่พวกทายก เพราะปฏิคาหกโดยแท้ เอาเถอะ
เราจะบรรเทาความวิปฏิสารนั้นของพระองค์ เป็นอันดับแรกทีเดียว ดังนี้

เพราะฉะนั้นเขาจึงบรรเทาความวิปฏิสาร แม้ในตัวปฏิคาหก ที่ควรจะตัด
ให้ขาดด้วยอาการ 10 อย่าง. บทว่า เตสํเยว เตน ท่านแสดงว่า ผลอัน
ไม่พึงปรารถนา เพราะบาปนั้นจักมีแก่เขาเหล่านั้นเท่านั้น จักไม่มีแก่คนอื่น.
บทว่า ยชตํ ภวํ แปลว่า ขอพระองค์จงพระราชทานเถิด. บทว่า สชฺชตํ
แปลว่า ขอจงทรงเสียสละเถิด. บทว่า อนฺตรํ แปลว่า ในภายใน.
ในบทนี้ว่า แสดงให้จิตเห็นจริงด้วยอาการ 16 พราหมณ์ปรารภ
การอนุโมทนามหาทานของพระราชา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า แสดง
ให้เห็นจริง
คือ กล่าวแสดงแล้วแสดงอีกว่า ผู้ให้ทานนี้ จักได้สมบัติเห็น
ปานฉะนี้ ดังนี้. บทว่า ให้ยึดถือมั่น คือ กล่าวให้ยึดถือใจความนั้นโดย
ชอบ. บทว่า ให้อาจหาญ ทำให้จิตใจของพระราชานั้นผ่องใส ด้วย
การบรรเทาความวิปฏิสาร. บทว่า ให้ร่าเริง คือกล่าวสรรเสริญว่า ข้าแต่
มหาราช พระองค์เมื่อถวายทานอยู่ทรงกระทำดีแล้ว ดังนี้. บทว่า ผู้กล่าว
โดยธรรมไม่มี
คือ ผู้กล่าวโดยธรรม คือโดยชอบ ได้แก่โดยเหตุไม่มี.
บทว่า ไม่ตัดต้นไม้เพื่อต้องการทำหลักยัญ ไม่ตัดหญ้าแพรกเพื่อ
ต้องการเบียดเบียนผู้อื่น
พราหมณ์แสดงว่า ชนเหล่าใดให้ตั้งเสาใหญ่ที่มี
ชื่อว่า เสายัญ แล้วเขียนชื่อว่า พระราชาโน้น อำมาตย์โน้น พราหมณ์
โน้น ย่อมบูชามหายัญเห็นปานนี้ ดังนี้แล้ว ตั้งไว้ และเกี่ยวหญ้าแพรก
แวดวงศาลายัญโดยสังเขปว่า เป็นละเมาะป่าหรือลาดบนพื้นดิน ชนแม้
เหล่านั้นมิได้ตัดต้นไม้ มิได้เกี่ยวหญ้าแพรก ก็พวกเขาจักฆ่าวัวหรือสัตว์มี
แพะเป็นต้น ทำไมกัน ดังนี้.
บทว่า ทาส คือ ทาสมีทาสที่เกิดภายในเรือนเป็นต้น. ชนเหล่า
ใด ถือเอาทรัพย์ก่อนแล้วจึงทำการงานให้ ชนเท่านั้นชื่อว่า คนรับใช้.

ชนเหล่าใดรับเบี้ยเลี้ยงรายวันและค่าจ้างทำการงานให้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า
กรรมกร. ชนผู้ที่เขาถือท่อนไม้และไม้ค้อนเป็นต้น คุกคามอย่างนี้ว่า
จงทำงาน จงทำงาน ชื่อว่า ผู้ถูกอาญาคุกคาม. ชนผู้ที่เขาคุกคามด้วยกัน
อย่างนี้ว่า ถ้าเจ้าทำงาน ข้อนั้นก็ดีไป หากไม่ทำ เราจักตัดหรือจักจำจองหรือ
จักฆ่าเสีย ดังนี้ ชื่อว่า ผู้ถูกภัยคุมคาม. แต่ชนเหล่านั้นมิได้ถูกอาญาคุกคาม
มิได้ถูกภัยคุกคาม มิได้มีน้ำตานองหน้าร้องไห้รำพันอยู่. โดยที่แท้พวกเขา
ต่างทำงาน ทักทายปราศัยกันด้วยคำทักทายที่น่ารักทีเดียว เพราะในชน
เหล่านั้น พวกเขาไม่เรียกทาสว่าเป็นทาส คนรับใช้ว่าเป็นคนรับใช้ คน
งานว่าเป็นกรรมกร แต่กลับเรียกกันด้วยคำทักทายที่น่ารัก ตามความ
ชอบใจ ต่างแสดงการงานตามสมควรที่เป็นหญิง เป็นชาย มีกำลังและ
ทุพลภาพ ต่างพูดกันว่า พวกท่านจงทำงานนี้ ๆ แม้เขาเหล่านั้นก็กระทำ
ด้วยอำนาจความชอบใจของตน. เพราะเหตุ นั้นท่านจึงกล่าวว่า
ชนเหล่าใดชอบใจ ชนเหล่านั้นก็กระทำ ชนเหล่าใดไม่ชอบใจ
ชนเหล่านั้นก็ไม่กระทำ ชอบใจสิ่งใด ก็กระทำสิ่งนั้น ไม่ชอบใจสิ่งใด
ก็ไม่กระทำสิ่งนั้น ดังนี้.
บทว่า ยัญนั้นได้ถึงความสำเร็จได้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น นม
ส้ม น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
ความว่า ได้ยินว่า พระราชา รับสั่งให้สร้างโรงทาน
ใหญ่ขึ้นในที่ 5 แห่ง คือที่ประตูนอกนคร 4 แห่ง และตรงกลางภายใน
นคร 1 แห่ง ที่โรงทานแต่ละแห่ง ทรงตั้งงบประมาณไว้แห่งละแสน ๆ
ทรงสละทรัพย์วันละห้าแสน ๆ จำเดิมแต่พระอาทิตย์ขึ้น ทรงถือทัพพีทอง
ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ให้มหาชนอิ่มหนำด้วยข้าวต้ม ของขบเคี้ยว

ข้าวสวย กับข้าวและแกง เป็นต้น รวมด้วยเนยใส และน้ำมันเป็นต้น
อันประณีตตามควรแก่เวลานั้น ๆ สำหรับผู้ที่มีประสงค์จะถือเอาไป ก็ทรง
ให้โดยทำนองนั้นนั่นแหละ จนเต็มภาชนะ. แต่ในเวลาเย็นทรงบูชาด้วยผ้า
ของหอม และดอกไม้เป็นต้น ส่วนตุ่มใหญ่สำหรับใส่เนยเป็นต้น ก็ให้ใส่
ให้เต็มแล้วตั้งไว้ในที่หลายร้อยแห่ง ด้วยตั้งพระทัยว่าผู้ใดมีประสงค์จะ
บริโภคสิ่งใด ผู้นั้นจงบริโภคสิ่งนั้นเถิด ดังนี้. ท่านหมายเอาเหตุนั้น
จึงกล่าวว่า ยัญนั้นได้ถึงความสำเร็จได้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น นมส้ม
น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
ดังนี้.
บทว่า นำเอาทรัพย์มามากมาย คือ ถือเอาทรัพย์มากล้น. ได้ยิน
ว่า ชนเหล่านั้นคิดว่า พระราชานี้มิได้ทรงให้นำเนยใสและน้ำมันเป็นต้น
มาจากชนบท ทรงนำสิ่งของอันเป็นส่วนของพระองค์เท่านั้น ออกมาให้
เป็นมหาทาน การที่พวกเราจะนิ่งเสียด้วยคิดว่า ก็พระราชาไม่ทรงให้พวก
เรานำสิ่งใดมา ดังนี้ หาควรไม่ ดังนี้ เพราะว่าทรัพย์ในเรือนของพระราชา
จะไม่หมดไม่สิ้นไปเป็นธรรมดา ก็หาไม่ ก็เมื่อพวกเราไม่ให้อยู่ ใครอื่น
จักถวายแด่พระราชา เอาเถอะ เราจะรวบรวมทรัพย์มาถวายแด่พระองค์.
พวกเขาจึงรวบรวมทรัพย์ตามส่วนของบ้าน ตามส่วนของนิคม และตาม
ส่วนของนคร บันทุกจนเต็มเกวียนแล้ว นำไปถวายแด่พระราชา. ท่าน
หมายเอาทรัพย์นั้น จึงกล่าวคำว่า "ทรัพย์มากมาย" เป็นต้น.
บทว่า ทางด้านทิศบูรพาแห่งหลุมยัญ คือ ในส่วนแห่งทิศบูรพา
ของโรงทานที่ประตูนครทางทิศบูรพา ชนทั้งหลายตั้งทานไว้ ในที่ที่
เหมาะเจาะ โดยประการที่พวกชนผู้มาจากทิศบูรพา ดื่มข้าวยาคูในโรงทาน

ของกษัตริย์แล้ว บริโภคในโรงทานของพระราชา ก็เข้าไปสู่ตัวเมืองได้.
บทว่า ทางด้านทิศใต้แห่งหลุมยัญ ความว่า ชนทั้งหลายตั้งทานไว้ใน
ส่วนทิศใต้ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ของโรงทานที่ประตูนคร ทาง
ทิศใต้ แม้ในทิศตะวันตกและทิศเหนือ ก็มีนัยเช่นนี้เหมือนกัน.
บทว่า ยัญ โอ ยัญสมบัติ ความว่า พวกพราหมณ์ได้ฟังการถึง
ความสำเร็จของยัญด้วยเนยใส เป็นต้น ต่างมีจิตยินดีว่า สิ่งใดมีรสอร่อย
ในโลก พระสมณโคดมตรัสถึงสิ่งนั้น เอาเถอะ พวกเราจะสรรเสริญยัญ
ของพระองค์ ดังนี้ เมื่อจะสรรเสริญจึงได้กราบทูลดังนั้น. บทว่า กูฏ-
ทันตพราหมณ์ นั่งนิ่งเฉยอยู่
คือ เขากำลังคิดเนื้อความ ที่จะพึงกล่าวต่อไป
จงนั่งนิ่งเงียบเสียงเสีย. พราหมณ์เมื่อจะทูลถาม โดยเลี่ยงถาม จึง
กราบทูลคำนี้ว่า ก็พระโคดมผู้เจริญ ย่อมทรงทราบชัดหรือ ดังนี้. เพราะ
เขาเมื่อจะถามโดยประการอื่นตรง ๆ อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใน
กาลนั้น พระองค์ได้เป็นพระราชา หรือว่าพราหมณ์ปุโรหิต ดังนี้ ก็จะ
เป็นเหมือนว่า ไม่เคารพ.
พราหมณ์เมื่อจะทูลถามเนื้อความนี้ว่า การที่จะลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นเล่า
ให้ทาน เป็นของหนักของชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น และชาวชนบททั้งสิ้น เมื่อ
ไม่ทำการงานของตน ก็จักพินาศ ยัญอย่างอื่นจากยัญนี้ที่มีการตระเตรียม
น้อยกว่า และมีผลมากกว่าของพวกข้าพระองค์ มีอยู่หรือไม่หนอแล ดังนี้
จึงกราบทูลคำนี้ว่า. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็มีอยู่หรือ ดังนี้.
บทว่า นิจทาน คือ ทานประจำ ได้แก่ นิตยภัตร. บทว่า อนุกูล-
ยัญ
คือ ทานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขากระทำด้วยคิดว่า พ่อและปู่เป็นต้น

ของพวกเราเคยทำมาแล้ว ดังนี้ แม้เขาจะเป็นคนเข็ญใจในภายหลังก็ควร
ให้ทำต่อไป ตามที่สืบต่อกันมาของตระกูล. ได้ยินว่า ทานที่ถวายเจาะจง
ท่านผู้มีศีลเป็นประจำ เห็นปานนี้ แม้พวกยากจนในตระกูล ย่อมไม่ตัด
เสีย. ในข้อนี้มี เรื่องดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ในเรือนของอนาถปิณฑิกะ ชนทั้งหลายถวายนิตยภัตร
500 ที่ ได้มีสลากทำด้วยงา 500 อัน. ต่อมาตระกูลนั้นถูกความยากจน
ครอบงำโดยลำดับ. เด็กหญิงคนหนึ่งในตระกูลนั้นไม่สามารถถวายยิ่งไป
กว่าสลากอันหนึ่งได้. แม้เด็กหญิงนั้นภายหลังถึงรัชสมัยของ พระเจ้า
เสตวาหนะ ก็ได้ถวายสลากนั้นด้วยข้าวเปลือกที่ล้างลานได้มา. พระเถระ-
รูปหนึ่งได้ถวายพระพรแด่พระราชา. พระราชาทรงพานางมาแล้วตั้งไว้ใน
ตำแหน่งอัครมเหสี. จำเดิมแต่กาลนั้น นางก็ได้ถวายสลากภัตร 500 ที่อีก.
บทว่า การประการด้วยท่อนไม้ ความว่า การประหารด้วยท่อนไม้
บ้าง การจับที่คอบ้าง ที่เขากล่าวคำเป็นต้นว่า พวกเจ้าจงยืน พวกเจ้าจง
ยืนตามลำดับ ดังนี้. และว่า พวกเจ้าจงจับ พวกเจ้าจงจับ ทำให้ตรง
ดังนี้ ให้อยู่ ยังปรากฏอยู่. ในบทนี้ว่า พราหมณ์นี้แล เป็นเหตุ ฯลฯ
มีอานิสงส์มากกว่า
ความว่า ความต้องการด้วยคนที่จะทำการช่วยเหลือ
หรือด้วยเครื่องอุปกรณ์เป็นอันมากมิได้มีในสลากภัตรนี้ เหมือนในมหายัญ
เพราะฉะนั้น ทานนั้นจึงชื่อว่า ใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า. การเตรียมการ กล่าว
คือ การเบียดเบียน ด้วยอำนาจการตัดรอนแห่งกรรมของชนหมู่มากในทานนี้
ไม่มี เพราะเหตุนั้น ทานนี้จึงชื่อว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า. อนึ่ง ทานนี้
เขาถวายคือบริจาคแก่สงฆ์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ยัญ. ก็ทานนี้มิใช่
เป็นของที่จะทำได้ง่ายนัก เพื่อกระทำการกะกำหนดอันหลั่งไหลมาของ

บุญแห่งทักษิณา อันประกอบพร้อมด้วยองค์ 6 เหมือนน้ำในมหาสมุทร
ใครจะกะประมาณมิได้ ฉะนั้น ทานนี้ก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ทานนั้น
พึงทราบว่า มีผลมากกว่า และมีอานิสงส์มากกว่า.
พราหมณ์ได้ฟังคำนี้แล้วคิดว่า เมื่อบุคคลลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นเล่า
ถวายนิจยภัตรแม้นี้ทุกวัน ๆ การงานของบางคนก็จะเสีย จะต้องปลูกฝัง
ความอุตสาหะใหม่ ๆ ขึ้นเรื่อย ยัญอย่างอื่นแม้จากนี้ ที่มีการใช้ทรัพย์สิน
น้อยกว่าและมีการตระเตรียมน้อยกว่า มีอยู่หรือไม่หนอ เพราะฉะนั้น
เขาจึงกราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็....มีอยู่หรือไม่หนอ ดังนี้.
ในทานเหล่านั้น ในสลากภัตรไม่มีที่สิ้นสุดแห่งกิจที่จะพึงทำ บางคนจะต้อง
ลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นเล่าไม่ต้องทำงานอย่างอื่น จัดแจงแต่สลากภัตรเท่านั้น.
ส่วนในวิหารทาน มีที่สิ้นสุดแห่งกิจที่จะพึงทำ จริงอยู่ การสร้างบรรณ-
ศาลาหรือการสละทรัพย์สักโกฏิหนึ่งสร้างมหาวิหาร เขาทำการบริจาคทรัพย์
ครั้งเดียวสร้างขึ้นไว้ ก็จะคงยืนไปได้ 7-8 ปีบ้าง 100 ปีบ้าง 1,000 ปีบ้าง
ทีเดียว จะต้องกระทำบ้างก็เพียงปฏิสังขรณ์ในที่ที่ทรุดโทรม และชำรุด
อย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น วิหารทานนี้จึงใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า มีการ
ตระเตรียมน้อยกว่าสลากภัตรทาน. ก็ในวิหารทานนี้ ท่านกล่าวอานิสงส์
ไว้ 9 ประการมีว่า เพียงเพื่อกำจัดความหนาว เป็นต้น โดยปริยายแห่งพระ-
สูตร แต่โดยปริยายแห่งขันธกะ ท่านกล่าวอานิสงส์ไว้ถึง 17 ประการ
ว่า
การถวายวิหารแก่พระสงฆ์ ย่อมกำจัดเสียได้ซึ่ง
ความหนาวความร้อน ต่อนั้นก็สัตว์ร้าย งู ยุง ทั้งน้ำค้าง
ฝน ต่อนั้นก็ กำจัดเสียได้ซึ่ง ลม และแดด อันกล้า ซึ่งเกิด

ขึ้น ทั้งเป็นไปเพื่อเป็นที่หลีกเร้น เพื่อความสุข เพื่อบำเพ็ญฌาน
และเพื่อเจริญวิปัสสนา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญ
ว่าเป็นยอดทาน เพราะเหตุนั้นแล คนผู้ฉลาดเมื่อเล็งเห็น
ประโยชน์ของตนพึงให้สร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ถวายให้ภิกษุ
พหูสูตอาศัยอยู่ในวิหารนั้น และพึงถวายข้าวน้ำ ผ้า และ
เสนาสนะแก่ภิกษุเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้ตรงด้วยน้ำใจที่เลื่อมใส
ภิกษุเหล่านั้นจะแสดงธรรม เป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ ทั้งปวง
แก่เขา ซึ่งเขารู้แจ้งแล้ว จะเป็นผู้หมดอาสวะ ปรินิพพาน

ดังนี้
เพราะฉะนั้น วิหารทานนี้ พึงทราบว่า มีผลมากกว่า และมีอานิ-
สงส์มากกว่าสลากภัตรทาน. แต่ท่านเรียกว่ายัญ เพราะเป็นทานที่เขาบริจาค
แก่สงฆ์.
พราหมณ์ฟังแม้ข้อนี้แล้ว คิดว่า ขึ้นชื่อว่า การทำการบริจาค
ทรัพย์แล้วสร้างวิหารถวายกระทำได้ด้วยยาก เพราะเงินเพียงกากณึกหนึ่ง
ที่เป็นของตน ยากที่จะบริจาคให้ผู้อื่น เอาเถอะ เราจะทูลถามยัญที่ใช้
ทรัพย์สินน้อยกว่าและที่มีการตระเตรียมน้อยกว่าแม้วิหารทานนี้ ดังนี้.
ลำดับนั้นเขาเมื่อจะทูลถามยัญนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็........ มีอยู่หรือ
ดังนี้เป็นต้น.
ในบรรดาทานเหล่านั้น วิหารถึงจะบริจาคแล้วคราวเดียว ก็ยังมีกิจ
ที่จะพึงทำเกี่ยวกับการมุงหลังคา และการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ปรักหักพัง
เป็นต้นบ่อย ๆ ส่วนสรณะที่รับแล้วครั้งเดียว ในสำนักของภิกษุรูปเดียว
หรือของสงฆ์หรือของคณะ ก็ยังนับว่ารับอยู่ตลอดไป เพราะไม่มีกิจ ที่จะ

ต้องทำในสรณะนั้นบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น สรณะนั้นจึงมีการใช้ทรัพย์สิน
น้อยกว่า และมีการตระเตรียมน้อยกว่าวิหารทาน. อนึ่ง ชื่อว่า การถึง
สรณะ เป็นบุญกรรมที่สำเร็จด้วยการบริจาคชีวิตแก่พระรัตนตรัย ย่อมให้
สมบัติทุกประการ เพราะฉะนั้นพึงทราบว่ามีผลมากกว่า และมีอานิสงส์
มากกว่า. ก็การถึงสรณะนี้ ท่านเรียกว่ายัญ เพราะเกี่ยวกับการบริจาคชีวิต
แก่พระรัตนตรัย.
พราหมณ์ได้ฟังคำนี้แล้ว คิดว่า การที่จะบริจาคชีวิตของตนแด่
พระรัตนตรัย ทำได้ด้วยยาก ยัญที่มีการใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า และมีการ
ตระเตรียมน้อยกว่า แม้กว่าสรณคมน์นี้ ยังมีอยู่หรือ. ลำดับนั้นเขาเมื่อจะ
ทูลถามถึงยัญนั้น จึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็.......มีอยู่
หรือ
ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทมีบทว่า การงดเว้นจากปาณาติบาต
เป็นต้น
การงดชื่อว่าการเว้น
การงดนั้นมี 3 อย่างคือ สัมปัตตวิรัติ, สมาทานวิรัติ, เสตุฆาตวิรัติ.
ในบรรดาวิรัติทั้ง 3 นั้น ผู้ใดแม้มิได้รับสิกขาบทเลย แต่ระลึกถึงชาติ
โคตร ตระกูล และประเทศ เป็นต้น ของตนอย่างเดียวว่า การกระทำนี้
ไม่สมควรแก่เรา ดังนี้ แล้วไม่กระทำปาณาติบาต เป็นต้น หลีกเลี่ยงวัตถุ
ที่มาถึงเฉพาะหน้า เว้นจากวัตถุนั้น การวิรัตินั้นของผู้นั้น พึงทราบว่า
เป็น สัมปัตตวิรัติ. ส่วนวิรัติของผู้รับสิกขาบทอย่างนี้ว่า นับแต่วันนี้เป็นต้น
ไป ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าสัตว์ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตก็ดี ข้าพเจ้าจะเว้นจาก
ปาณาติบาต ก็ดี ข้าพเจ้าขอสมาทานการงดเว้นก็ดี พึงทราบว่าเป็นสมา-
ทานวิรัติ
. ส่วนการเว้นที่สัมปยุตด้วยมรรค ของพระอริยสาวกทั้งหลาย

ชื่อว่า เสตุฆาตวิรัติ. ในวิรัติทั้ง 3 นั้น 2 วิรัติแรกกระทำวัตถุมีชีวิติน-
ทรีย์เป็นต้น ที่จะพึงละเมิดด้วยอำนาจการปลงลงเป็นต้น ไห้เป็นอารมณ์
เป็นไป วิรัติหลังมีนิพพานเป็นอารมณ์.
ก็ในวิรัติเหล่านี้ ผู้ได้รับสิกขาบททั้ง 5 รวมกัน เมื่อสิกขาบทหนึ่ง
ทำลาย สิกขาบทของผู้นั้น ย่อมทำลายไปทั้งหมด. ผู้ใดรับทีละข้อ ผู้นั้น
ล่วงละเมิดข้อใด ข้อนั้นเท่านั้น ทำลาย. ส่วนสำหรับเสตุฆาตวิรัตินี้ ขึ้น
ชื่อว่า การทำลายไม่มีเลย. เพราะพระอริยสาวกย่อมไม่ฆ่าสัตว์ แม้เพราะ
เหตุแห่งชีวิต ทั้งไม่ดื่มน้ำเมาด้วย. แม้ถ้าชนผสมสุรา และน้ำนมแล้ว
เทเข้าไปในปากของพระอริยสาวกนั้น น้ำนมเท่านั้นเข้าไป สุราหาเข้าไป-
ไม่. เหมือนอะไร. ได้ยินว่า เหมือนน้ำนมที่เจือ ด้วยน้ำ นมเท่านั้นเข้าไป
ในปากของนกกะเรียน น้ำหาเข้าไปไม่ ข้อนี้พึงทราบว่า สำเร็จตามกำเนิด
และข้อนี้ก็พึงทราบว่า สำเร็จโดยธรรมดา.
ก็ในสรณคมน์ ชื่อว่า การกระทำความเห็นให้ตรง เป็นของหนัก
แต่ในการสมาทานสิกขาบท เป็นเพียงการงดเว้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น การ
สมาทานสิกขาบทนั้น จึงใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า และมีการตระเตรียมน้อย
กว่า สำหรับผู้ที่รับพอประมาณบ้าง ผู้ที่รับอย่างดีบ้าง. ก็ในการสมาทาน
สิกขาบทนี้ พึงทราบว่ามีผลมาก และมีอานิสงส์มาก เพราะขึ้นชื่อว่า
ทานเช่นกับศีล 5 ไม่มี. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ทาน 5 อย่างเหล่านี้ จัดเป็นมหาทาน ที่รู้กันมาว่า
เลิศ รู้จักมานมนาน รู้กันมาตามวงศ์ตระกูล เป็นของเก่าแก่ ไม่มีใคร
รังเกียจแล้ว ไม่เคยมีใครรังเกียจ อันใคร ๆ ไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ
อันสมณะก็ดี พราหณ์ก็ดี ผู้ที่รู้ดีไม่ดูแคลน ทาน 5 อย่างเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ละปาณาติบาต เป็นผู้งดเว้นจาก

ปาณาติบาต ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ชื่อว่าให้
อภัย ให้ความไม่มีเวร ให้ความไม่เบียดเบียนกัน แก่สัตว์ทั้งหลายหา
ประมาณมิได้ ครั้นให้อภัย ให้ความไม่มีเวร ให้ความไม่เบียดเบียนกันแก่
สัตว์ทั้งหลาย หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอภัย แห่งความ
ไม่เบียดเบียนกันอันหาประมาณมิได้ ภิกษุทั้งหลาย นี้จัดเป็นข้อที่หนึ่ง
เป็นมหาทาน รู้กันมาว่าเลิศ รู้กันมานมนาน รู้กันมาตามวงศ์สกุล
เป็นของเก่าแก่ ไม่มีใครรังเกียจแล้ว ไม่เคยมีใครรังเกียจ อันใคร ๆ ไม่
รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี ผู้ รู้ ดี ไม่ดูแคลน
ภิกษุทั้งหลาย ก็ข้ออื่นยังมีอีก อริยสาวกละอทินนาทาน ฯลฯ ละกาเมสุ
มิจฉาจาร ฯลฯ ละมุสาวาท ฯลฯ ละการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ทาน 5 ประการเหล่านั้นแล
จัดเป็นมหาทาน ที่รู้กันมาว่าเลิศ ฯลฯ ผู้ รู้ ดี
ดังนี้.
ก็แลศีล 5 นี้ ท่านเรียกว่ายัญ เพราะต้องสมาทานด้วยคิดว่า เรา
จักสละความเยื่อใยในตนและความเยื่อใยในชีวิต รักษา. บรรดาศีลและ
สรณคมน์นั้น สรณคมน์นั่นและเป็นใหญ่กว่าศีล 5 แม้โดยแท้ แต่ศีล
5 นี้ ท่านกล่าวว่ามีผลมากกว่า ด้วยอำนาจแห่งศีลที่บุคคลตั้งอยู่ในสรณะ
แล้วรักษา.
พราหมณ์ได้ฟังแม้ข้อนี้แล้ว ก็ยังคิดว่า การที่รักษาศีล 5 ก็ยัง
หนักอยู่ สิ่งอะไรอย่างอื่นทำนองนี้แหละ ที่มีการใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า
และมีผลมากกว่า ศีล 5 นี้มีอยู่หรือหนอ. ลำดับนั้นเขาเมื่อจะทูลถามถึงข้อนั้น
จึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็.......มีอยู่หรือ ดังนี้เป็นต้น
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงแสดงความที่ยัญมีปฐม-

ฌานเป็นต้น ของผู้ที่ดำรงอยู่ในความบริบูรณ์ด้วยศีล 3 ประการ เป็น
ของใช้ทรัพย์สินน้อยกว่า และมีผลมากกว่า แก่พราหมณ์นั้น ทรงเริ่ม
พระธรรมเทศนา จำเดิมแต่การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า จึงตรัสพระดำรัส
ว่า พราหมณ์... ในโลกนี้ ดังนี้เป็นต้น. ในข้อนั้น บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย
คุณตามที่กล่าวมาแล้วตอนต้น ดำรงอยู่ในปฐมฌานเป็นต้นแล้ว ทำทุติย-
ฌานเป็นต้นให้เกิดอยู่ ย่อมไม่ลำบาก เพราะฉะนั้น ฌานเหล่านั้นจึงมีการ
ใช้ทรัพย์สินน้อย มีการตระเตรียมน้อย. ก็ในฌานเหล่านี้ ปฐมฌานย่อม
ให้อายุในพรหมโลก 1 กัป ทุติยฌาน 8 กัป ตติยฌาน 64 กัป
จตุตถฌาน 500 กัป จตุตถฌานนั้นนั่นและอันบุคคลเจริญแล้วด้วยอำนาจ
แห่งสมาบัติ มีอากาสานัญจายตนะเป็นต้น ย่อมให้อายุตลอด 20,000 กัป
50,000 กัป และ 84,000 กัป เพราะฉะนั้น. ฌานจึงมีผลมากกว่า
และมีอานิสงส์มากกว่า. ก็ฌานนั้น พึงทราบว่าเป็นยัญ เพราะสละเสียได้
ซึ่งธรรมอันเป็นข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้น.
แม้วิปัสสนาญาณ เพราะบุคคลตั้งอยู่แล้วในคุณทั้งหลาย มีจตุตถฌาน
เป็นปริโยสาน ให้เกิดขึ้นอยู่ ก็ไม่ลำบาก เพราะฉะนั้น จึงมีการใช้ทรัพย์
สินน้อย มีการตระเตรียมน้อย ก็วิปัสสนาญาณนี้มีผลมาก เพราะไม่มี
สุขใดที่เสมอเหมือน ด้วยสุขอันเกิดจากวิปัสสนา ท่านเรียกว่ายัญ เพราะ
ละเสียได้ซึ่งกิเลสอันเป็นข้าศึก.
แม้มีโนมยิทธิ บุคคลตั้งอยู่แล้วในวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นอยู่ ก็ไม่
ลำบาก เพราะฉะนั้น มโนมยิทธิจึงมีการใช้ทรัพย์สินน้อย มีการตระเตรียม
น้อย ชื่อว่ามีผลมาก เพราะสามารถเนรมิตรูปเช่นกับรูปของต้นไม้ ชื่อว่า
ยัญ เพราะละเสียได้ซึ่งกิเลสอันเป็นข้าศึกของตน. แม้ญาณมีอิทธิวิธญาณ

เป็นต้น บุคคลตั้งอยู่แล้วในมโนมยญาณเป็นต้น ให้เกิดขึ้นอยู่ก็ไม่ลำบาก
เพราะฉะนั้น อิทธิวิธญาณเป็นต้น จึงมีการใช้ทรัพย์สินน้อย มีการตระ-
เตรียมน้อย ชื่อว่า ยัญ เพราะละกิเลสอันเป็นข้าศึกของตน ๆ เสียได้.
ก็ในญาณเหล่านี้ อิทธิวิธญาณ พึงทราบว่า มีผลมาก เพราะสามารถ
แสดงการกระทำแปลก ๆ มีอย่างต่าง ๆ.
ทิพยโสต พึงทราบว่า มีผลมาก เพราะสามารถฟังเสียงของเทวดา
และมนุษย์ได้.
เจโตปริยญาณ พึงทราบว่า มีผลมาก เพราะสามารถรู้จิต 16
อย่างของผู้อื่นได้.
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ พึงทราบว่า มีผลมาก เพราะสามารถ
ตามระลึกถึงสถานที่ที่ตนปรารถนา และปรารถนาได้. ทิพยจักษุ พึงทราบว่า
มีผลมาก เพราะสามารถมองเห็นรูปที่ตนต้องการและต้องการได้.
อาสวักขยญาณ พึงทราบว่า มีผลมาก เพราะสามารถยังสุขอันเกิด
จากโลกุตรมรรคอันประณีตยิ่งให้สำเร็จได้. ก็ขึ้นชื่อว่ายัญอย่างอื่น ที่
ประเสริฐกว่าพระอรหัต ไม่มี เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง
แสดงพระธรรมเทศนาโดยสุดยอด คือพระอรหัต จึงตรัสว่า พราหมณ์
นี้แล ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอวํ วุตฺเต แปลว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอย่างนี้
เเล้ว กูฏทันตพราหมณ์เลื่อมใสในพระธรรมเทศนา มีประสงค์จะถึงสรณะ
จงได้กล่าวคำนี้มีว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก ดังนี้ เป็นต้น. บทว่า จงพัด ความว่า ขอลมเย็นอ่อน ๆ ที่จะระงับ

ความกระวนกระวายในร่างกายได้ จงพัดโชยมาต้องกาย. ก็แลพราหมณ์
ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว จึงส่งคนไปด้วยพูดว่า แนะพ่อ ท่านจงไป เข้าไปสู่หลุม
ยัญแล้ว จงปล่อยสัตว์เหล่านั้นทั้งปวงจากเครื่องจองจำ. บุรุษนั้นรับคำว่า
ดีแล้ว กระทำตามนั้นแล้วกลับมาบอกว่า ท่านผู้เจริญ สัตว์เหล่านั้นหลุด
พ้นไปหมดแล้ว ดังนี้.
พราหมณ์ยังไม่ได้ยินความเป็นไปนั้น ตราบใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังไม่ทรงแสดงธรรม ตราบนั้น. เพราะในจิตของพราหมณ์ยังมีความยุ่ง
เหยิงอยู่. แต่พอได้ยินว่า สัตว์มากมายเทียวหนอ ข้าพเจ้าปล่อยหมดแล้ว
ดังนี้ วารจิตของพราหมณ์ ก็ผ่องใส. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
พราหมณ์มีใจผ่องใสแล้ว จึงทรงเริ่มพระธรรมเทศนา. ท่านหมายเอา
พระธรรมเทศนานั้น จึงกล่าวคำว่า ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ดังนี้เป็นต้น. คำเป็นต้นว่า จิตสมควร ท่านกล่าวหมายเอาความที่นิวรณ์
ถูกข่มไว้ได้ด้วยอานภาพแห่งอนุปุพพิกถา. คำที่เหลือมีใจความตื้นทั้งนั้น
ด้วยประการฉะนี้แล.
อรรถกถากูฏทันตสูตรในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินี
จบแล้วด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถากูฏทันตสูตรที่ 5

6. มหาลิสูตร


[239] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ ณ กูฏาคารสาลา1. ในป่ามหาวัน2. ใกล้นครเวสาลี. ก็สมัยนั้นแล
พราหมณทูตชาวโกศลและพราหมณทูตชาวมคธมากด้วยกัน พักอยู่ในนคร
เวสาลีด้วยกรณียะเพียงบางอย่าง. พราหมณทูตเหล่านั้นได้สดับว่า พระสมณ-
โคดม พระโอรสแห่งศากยะ เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล ประทับ
อยู่ ณ กูฏคารสาลา ในป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี กิตติศัพท์ อันงามของ
ท่านพระโคดมนั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์
ทรงทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก ฯลฯ การได้เห็น
พระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น เป็นการดี ดังนี้. พราหมณทูตเหล่านั้น
ได้เดินผ่านเข้าไปยังกูฏคารสาลาในป่ามหาวัน.
[240] ก็แลสมัยนั้น ท่านพระนาคิตะเป็นพระอุปัฏฐากแห่งพระผู้-
มีพระภาคเจ้า. พราหมณ์ทูตเหล่านั้นเข้าไปหาท่านพระนาคิตะแล้วถาม
อย่างนี้ว่า ท่านพระนาคิตะ บัดนี้ท่านพระโคดมนั้นประทับอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้า
1. กูฏาคารสาลา เป็นชื่อแห่งสังฆารามอันตั้งอยู่ในป่ามหาวัน ที่ได้ชื่อดังนั้น เพราะมี
ปราสาทปานประหนึ่งเทพวิมาน อันเขาทำตามแบบกูฏาคารสาลา สาลาคือเรือนยอด
2. ป่ามหาวัน คือป่าใหญ่เกิดเองตั้งอยู่ต่อเนื่องป่าหิมพานต์