เมนู

อรรถกถาสุภสูตร


สุภสูตร

มีบทเริ่มว่า ข้าพเจ้า สดับมาอย่างนี้ ฯเปฯ ในพระนครสาวัตถี.
ต่อไปนี้เป็นการอธิบายบทที่ยากในสุภสูตรนั้น บทว่า เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วไม่นาน
อธิบายว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จปรินิพพานแล้วไม่นาน. ประมาณ 1 เดือน ถัดจากวันปรินิพพาน ข้อนี้
ท่านกล่าวหมายถึงวันที่พระอานนท์ ถือบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วมานั่งฉันยาถ่ายผสมน้ำนม ณ วิหาร โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในนิทาน.
บทว่า โตเทยยบุตร แปลว่า บุตรของโตเทยยพราหมณ์ มีเรื่องเล่า
ว่า ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี มีบ้านชื่อตุทิคาม เพราะเขาเป็นคนใหญ่โตใน
บ้านตุทิคาม จึงมีชื่อว่า โตเทยยะ เขามีทรัพย์สมบัติประมาณ 45 โกฏิ แต่
เขาเป็นคนตระหนี่เป็นอย่างยิ่ง เขาคิว่า ชื่อว่า ความไม่สิ้นเปลืองแห่งโภค
สมบัติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ให้ แล้วเขาก็ไม่ให้อะไรแก่ใคร ๆ เขาสอนบุตรว่า
คนฉลาด ควรดูความสิ้นไปของยาหยอดตา การก่อจอมปลวก การ
สะสมน้ำผึ้ง แล้วพึงครองเรือน

เมื่อเขาให้บุตรสำเหนียกถึงการไม่ให้อย่างนี้แล้ว ครั้นตายไปก็ไปเกิด
เป็นสุนัขอยู่ที่เรือนหลังนั้นเอง สุภมาณพผู้เป็นบุตร รักสุนัขนั้นมาก ให้กิน
อาหารเหมือนกับตน อุ้มนอนบนที่นอนอย่างดี.
ครั้นวันหนึ่ง เมื่อสุภมาณพออกจากบ้านไป พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ เรือนหลังนั้น สุนัขเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเห่า
เดินเข้าไปใกล้พระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะสุนัขนั้นว่า ดูก่อนโต-
เทยยะ แม้เมื่อก่อนเจ้าก็กล่าวหมิ่นเราว่าแน่ะท่าน แน่ะท่าน ดังนี้ จึงเกิดเป็น

สุนัข แม้บัดนี้เจ้าก็ยังเห่าเรา จักไปอเวจีมหานรก. สุนัขฟังดังนั้น มีความ
เดือดร้อนจึงนอนบนขี้เถ้าระหว่างเตาไฟ. พวกมนุษย์ไม่สามารถจะอุ้มไปให้
นอนบนที่นอนได้. สุภมาณพกลับมาถึงถามว่า ใครนำสุนัขนี้ลงจากที่นอน.
พวกมนุษย์ต่างบอกว่า ไม่มีใครดอก แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟัง.
สุภมาณพได้ฟังแล้วโกรธว่า บิดาของเราบังเกิดในพรหมโลก แต่
พระสมณโคดมหาว่า บิดาของเราเป็นสุนัข ท่านนี้พูดอะไร ปากเสีย ใครจะ
ท้วงติงพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าพูดเท็จจึงไปยังวิหาร ถามเรื่องราวกะพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่สุภมาณพเหมือนอย่างนั้น แล้วตรัสความจริงว่า
ดูก่อนสุภมาณพ ทรัพย์ที่บิดาของเจ้ายังไม่ได้บอกมีอีกไหม. สุภมาณพทูลว่า
พระโคดม หมวกทองคำมีค่าหนึ่งแสน รองเท้าทองคำมีค่าหนึ่งแสน ถาด
ทองคำมีค่าหนึ่งแสน กหาปณะหนึ่งแสนมีอยู่. พระโคดมตรัสว่า เจ้าจงไปให้
สุนัขบริโภคข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย แล้วอุ้มไปนอนบนที่นอน พอได้เวลาสุนัข
หลับไปหน่อยหนึ่ง จงถามดู สุนัขจักบอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้า ทีนั้นแหละ
เจ้าก็จะรู้ว่าสุนัขนั้นคือบิดาของเรา. สุภมาณพได้กระทำตามนั้น. สุนัขบอก
หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้แน่ว่าสุนัขนั้นคือบิดาของเรา จึงเลื่อมใสในพระผู้มี
พระภาคเจ้า ไปทูลถามปัญหา 14 ข้อ กะพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจบ
ปัญหา เขาขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะ ท่านกล่าวความข้อนั้นหมายถึง
สุภมาณพโตเทยยบุตร
บทว่า อาศัญอยู่ใกล้กรุงสาวัตถี ความว่า สุภมาณพมาจากโภคคาม
ของตนแล้วอาศัยอยู่. บทว่า ได้เรียกมาณพน้อยคนหนึ่งมา ความว่า เมื่อ
พระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว สุภมาณพได้สดับว่า พระอานนท์ถือบาตร
และจีวรของพระองค์มา มหาชนย่อมจะเข้าไปหาท่านเพื่อเยี่ยมเยือนดังนี้ จึง
คิดว่า ครั้นเราจักไปวิหาร ก็คงไม่อาจกระทำปฏิสันถาร หรือฟังธรรมกถา ได้

สะดวก ในท่ามกลางหมู่ชนเป็นอันมาก เห็นท่านมาสู่เรือนนั่นแหละ จักทำ
ปฏิสันถารได้โดยง่าย และเรามีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง เราก็จักถามท่าน แล้ว
จึงเรียกมาณพน้อยคนหนึ่งมา.
เวทนาอันเป็นข้าศึก ท่านกล่าวว่า อาพาธ ในบทเป็นต้นว่า มีอาพาธ
น้อย. สุภมาณพกล่าวว่า เวทนาใดเกิดในส่วนหนึ่งแล้ว ยึดไว้ซึ่งอิริยาบถ 4
เหมือนเอาแผ่นเหล็กนาบ เธอจงถามความไม่มีแห่งเวทนานั้น. บทว่า มี
โรคเบาบาง ท่านกล่าวถึงโรคอันทำชีวิตให้ลำบาก เธอจะถามความไม่มีแม้
แห่งโรคนั้น. สุภมาณพกล่าวว่า ชื่อว่าการลุกขึ้นของผู้ป่วยนั่นแลย่อมหนัก
กำลังกายย่อมไม่มี เราะฉะนั้น เธอจงถามความไม่มีไข้ และความมีกำลัง.
บทว่า มีความเป็นอยู่สบาย ความว่า เธอจงถามความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข ใน
อิริยาบถ 4 คือ เดิน ยืน นั่ง นอน ครั้นพระคันถรจนาจารย์เมื่อแสดงถึง
อาการที่ควรจะถามแก่มาณพน้อยนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า สุโภ. บทว่า
อาศัยเวลาและสมัย ความว่า ถือ คือ ใคร่ครวญ เวลาและสมัยด้วยปัญญา. มี
อธิบายว่า หากพรุ่งนี้จักเป็นเวลาไปของเรา กำลังของเราจักซ่านไปในกาย
จักไม่มีความไม่สบายอย่างอื่น เพราะการไม่เป็นเหตุ ทีนั้นเราจักใคร่ครวญ
เวลานั้น และสมัยกล่าวคือ การไป เหตุ พวกหมู่ ถ้ากระไรพึงมาพรุ่งนี้.
บทว่า เจตกภิกษุ ความว่า ได้ชื่อว่า เจตกะ เพราะเกิดในเจติยรัฐ-
บทว่า กล่าวสัมโมทนียกถา พอให้ระลึกถึงกัน ความว่า สุภมาณพได้กล่าว
สัมโมทนียกถา พอให้ระลึกถึงกันอันเกี่ยวกับมรณะ ได้ผ่านไปแล้วโดยนัย
เป็นต้นอย่างนี้ว่า ท่านพระอานนท์ พระทศพลได้มีโรคอะไร พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสวยอะไร อนึ่ง ความโศกได้เกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายโดยการปรินิพพาน
ของพระศาสดา พระศาสดาของท่านทั้งหลายปรินิพพานแล้วอย่างเดียวก็หาไม่

ความเสื่อมอันใหญ่หลวงก็เกิดแก่มนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก บัดนี้คนอื่นใคร
เล่าจักพ้นความตาย ก็บุคคลผู้เลิศของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลกยังเสด็จ
ปรินิพพานได้ บัดนี้มัจจุราชจักเห็นใครอื่นแล้วละอาย สุภมาณพถวายอาหาร
อันสมควรแก่เครื่องดื่มและเภสัชแก่พระเถระเมื่อวานนี้ เมื่อเสร็จภัตตกิจ
จึงนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
บทว่า เป็นอุปฐากอยู่ในสำนัก ความว่า เป็นอุปฐากอยู่ในสำนัก
ไม่แสวงหาโทษ. บทว่า อยู่ใกล้ชิด นี้ เป็นไวพจน์ของบทก่อน เพราะเหตุไร
สุภมาณพจึงถามว่า พระโคดมได้ตรัสสรรเสริญคุณแห่งธรรมเหล่าใด. นัยว่า
สุภมาณพได้มีปริวิตกอย่างนี้ว่า พระโคดมผู้เจริญยังมนุษยโลกนี้ให้ดำรงอยู่ใน
ธรรมเหล่าใด ธรรมเหล่านั้น โดยที่พระโคดมล่วงลับไปแล้วเสื่อมสูญไปด้วย
หรือหนอ หรือยังดำรงอยู่ หากดำรงอยู่ พระอานนท์ จักรู้ กระผมขอโอกาส
ถาม ดังนี้ เพราะฉะนั้น สุภมาณพจึงถามขึ้น.
ครั้งนั้น พระเถระได้สงเคราะห์ปิฎก 3 ด้วยขันธ์ 3 เมื่อจะแสดงแก่
สุภมาณพ จึงกล่าวว่า แห่งขันธ์ 3 ทั้งหลายแล ดังนี้เป็นต้น. สุภมาณพคิดว่า
เรากำหนดข้อที่ท่านกล่าวโดยย่อ ไม่ได้ จักถามโดยพิสดาร จึงกล่าวว่า แห่งขันธ์
ทั้งหลาย 3 เป็นไฉน ดังนี้เป็นต้น. เมื่อพระอานนท์แสดงขันธ์เหล่านั้น ด้วยบทว่า
แห่งสีลขันธ์อันประเสริฐ ดังนี้ สุภมาณพจึงถามเป็นข้อ ๆ อีกว่า ท่านพระ
อานนท์ ก็สีลขันธ์อันประเสริฐนั้นเป็นอย่างไร
. แม้พระเถระก็แสดงถึงการ
อุบัติของพระพุทธเจ้าแก่สุภมาณพนั้น เมื่อจะแสดงธรรมอันเป็นแบบแผน
จึงวิสัชนาธรรมทั้งปวง โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยลำดับนั้นแล
ในบทว่า ในพระธรรมวินัยนี้ ยังมีกิจที่จะต้องกระทำให้ยิ่งขึ้นไป

อยู่อีก ท่านแสดงว่า ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ มิใช่ศีลเท่านั้นที่มีสาระ
ศีลนั้นเป็นเพียงพื้นฐานอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีกิจอื่นที่จะต้องทำยิ่งกว่านี้อีก.
บทว่า ภายนอกจากศาสนานี้ คือ ภายนอกจากพระพุทธศาสนา บทว่า
ดูก่อนมาณพ ภิกษุเป็นผู้มีทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างไรนี้
ท่านพระอานนท์แม้ถูกถามถึงสมาธิขันธ์อย่างนี้ว่า ท่านพระอานนท์สมาธิขันธ์
อันประเสริฐนั้นเป็นอย่างไร ท่านมีประสงค์จะชี้ให้เห็นซึ่งธรรมเป็นอุปการะ
ของธรรมทั้งสอง ในระหว่างศีล และ สมาธิ ซึ่งมีอินทรีย์สังวรเป็นต้น ที่ท่าน
ยกขึ้นแสดงในลำดับศีลอย่างนี้ว่า ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีล มีทวารคุ้มครองแล้ว
ในอินทรีย์ทั้งหลาย ถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษแล้ว ดังนี้แล้ว
แสดงสมาธิขันธ์ จึงได้กล่าวเริ่มขึ้น. ในที่นี้แสดงถึงรูปฌานเท่านั้น จึงไม่
ควรนำอรูปฌานมาแสดง. เพราะชื่อว่าอรูปสมาบัติมิได้สงเคราะห์ด้วยจตุตถ-
ฌาน จึงไม่มี.
บทว่า ในธรรมวินัยนี้ ยังมีกิจที่จะต้องทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก ท่านแสดงว่า
ชี่อว่าความเกิดขึ้นแห่งความสิ้นสุด มิได้มิในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้
โดยเพียงจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเท่านั้น ยังมีกิจอื่นที่จะต้องทำยิ่งกว่านี้อีก.
บทว่า ในธรรมวินัยนี้ ไม่มีกิจที่จะต้องทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก ท่านแสดง
ว่า ชื่อว่ากิจที่จะต้องทำยิ่งไปกว่านี้ไม่มี ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้
เพราะศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอรหัตต์เป็นที่สิ้นสุด. บทที่เหลือ
มีข้อความง่ายในที่ทั้งปวง.
จบอรรถกถาสุภสูตร
สุภสูตรที่ 10 จบ

11 เกวัฏฏสูตร


[338] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริก-
เศรษฐีใกล้เมืองนาลันทา. ครั้งนั้น เกวัฏฏะบุตรคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้านั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว เกวัฏฏะบุตรคฤหบดีได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ เมืองนาลันทานี้ เป็นเมืองมั่งคั่ง สมบูรณ์ มีผู้คนมาก
คับคั่งไปด้วยมนุษย์ เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ขอประทาน
โอกาสเถิดพระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญชาให้ภิกษุรูปหนึ่งที่จัก
กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ อันเป็นธรรมที่ยิ่งยวดของมนุษย์ได้ โดยอาการอย่างนี้
ชาวเมืองนาลันทา จักเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่งสุดที่จะ
ประมาณได้.
เมื่อเกวัฏฏะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสกะเกวัฏฏะ
บุตรคฤหบดีว่า ดูก่อนเกวัฏฏะ เรามิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาเถิด พวกเธอจงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมยิ่ง
ยวดของมนุษย์แก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวห่มขาว ดังนี้ เกวัฏฏะบุตรคฤหบดีได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นคำรบสองว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระ
องค์มิได้เจาะจงพระผู้มีพระภาคเจ้า เพียงแต่กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้ เป็นเมืองมั่งคั่ง สมบูรณ์ มีผู้คนมาก คับคั่งไปด้วย