เมนู

อรรถกถามหาลิสูตร


เอวมฺเม สุตํ ฯปฯ เวสาลิยนฺติ มหาลิสุตฺตํ

ในมหาลิสูตรนั้น มีการพรรนาตามลำดับบทดังนี้. บทว่า เวสาลิยํ
ความว่า ใกล้นครอันได้นามว่า เวสาลี เพราะเมืองนี้ถึงความไพศาลเนือง ๆ
บทว่า มหาวเน ความว่า ในป่าใหญ่เกิดเองตั้งอยู่ต่อเนื่องกับป่าหิมพานต์
ภายนอกนคร ซึ่งเรียกว่า มหาวัน เพราะความที่เป็นป่าใหญ่นั้น. บทว่า กูฏ-
คารสาลายํ
ความว่า ได้สร้างสังฆารามในราวป่านั้น. ได้สร้างปราสาทเช่น
กับเทพวิมาน ทำตามแบบกูฏาคารศาลา ยกช่อฟ้าบนเสาทั้งหลายในสังฆา-
รามนั้น. หมายถึงปราสาทนั้นสังฆารามแม้ทั้งสิน จึงปรากฏว่ากูฏาคารศาลา.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยนครเวสาลีนั้น ประทับอยู่ ณ สังฆารามนั้น.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏคารสาลายํ ดังนี้.
บทว่า โกสลกา คือ ชาวแคว้นโกศล. บทว่า มาคธกา คือ ชาว
แคว้นมคธ. บทว่า กรณีเยน ความว่า ด้วยการงานที่พึงทำแน่แท้. ก็
การงานที่แม้จะไม่กระทำก็ได้เรียกว่ากิจ การงานที่ควรทำแน่แท้ทีเดียว
ชื่อว่า กรณียะ.
บทว่า ปฏิสลฺสีโน ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหลีก
เร้น คือ ทรงหลบจากเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ทรงอาศัย เอกีภาพ เสวยความ
ยินดีในฌานในเอกัคคตารมณ์. บทว่า ตตฺเถว คือ ในวิหารนั้น. บทว่า เอกมนฺตํ
ความว่า พราหมณทูตเหล่านั้นไม่ละที่นั้นพากันนั่ง ณ เงาต้นไม้นั้น ๆ.

บทว่า โอฏฺฐทฺโธ ความว่า เจ้าลิจฉวีผู้ได้นามอย่างนั้น เพราะมี
ริมฝีปากเปียกชุ่ม. บทว่า มหติยา ลิจฺฉวีปริสาย ความว่า เจ้าลิจฉวี นามว่า
โอฏฐัทธะ ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในปุเรภัต
อธิษฐานองค์อุโบสถศีลในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้คนถือสิ่งของ
มีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ป่าวประกาศให้บริวารเจ้าลิจฉวีหมู่ใหญ่
ประชุมกันแล้วเข้าไปพร้อมกับบริวารลิจฉวีหมู่ใหญ่นั้น ซึ่งประดับประดา
ด้วยผ้าอาภรณ์และเครื่องลูบไล้ มีสีเขียวและเหลืองเป็นต้น อันสวยงาม
ประหนึ่งเทพบริวารชั้นดาวดึงส์.บทว่า อกาโล โข มหาลิ ความว่า โอฏฐัทธะ
นั้น เดิมชื่อว่า มหาลิ พระเถระเรียกมหาลินั้นตามชื่อเดิมนั้น. บทว่า เอกมนฺตํ
นิสีทิ
ความว่า โอฏฐัทธลิจฉวี นั่งสรรเสริญพระคุณของพระรัตนตรัย พร้อม
ด้วยบริวาร ลิจฉวีหมู่ใหญ่ ณ เงาไม้อันสมควร.
บทว่า สีโห สมณุทฺเทโส ความว่า สามเณร ชื่อว่า สีหะ เป็นหลาน
ของพระนาคิตะ บวชในกาลที่มีอายุได้เจ็ดขวบ ขยันหมั่นเพียรในพระ-
ศาสนา.ได้ยินว่า สามเณรเห็นชุมชนใหญ่แล้ว จึงคิดว่า ชุมชนหมู่ใหญ่
นี้นั่งเต็มวิหารทั้งสิ้น วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงแสดงพระธรรมด้วย
พระอุตสาหะใหญ่แก่ชุมชนนี้แน่ อย่าเลย เราจะบอกพระอุปัชฌายะให้กราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ถึงชุมชนหมู่ใหญ่มาประชุมกันแล้ว จึง
เข้าไปหาพระนาคิตะ. บทว่า ภนฺเต กสฺสป ความว่า สามเณรกล่าวกะ
พระเถระด้วยโคตร.บทว่า เอสา ชนตา ความว่า ชุมนุมชนนั่น. บทว่า
ตฺวญฺเญว ภาวโต อาโรเจหิ ความว่า ได้ยินว่า สีหสามเณรเป็นผู้
สนิทสนมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระเถระนี้อ้วน ในการที่จะลุก
หรือนั่งเป็นต้นก็อุ้ยอ้ายอืดอาด เพราะพระเถระมีร่างกายหนักจึงดูราวกะว่า

ไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวได้ ด้วยเหตุนั้น สามเณรนี้จึงได้กระทำวัตรถวายพระผู้มี
พระภาคเจ้าทุกเวลา เพราะเหตุนั้น พระเถระ จึงกล่าวกะสามเณรนั้นว่า แม้
เธอเป็นผู้โปรดปรานของพระทศพล จึงกล่าวว่า เธอนั้นแหละไปกราบทูลให้
ทรงทราบ ดังนี้.
บทว่า วิหารปจฺฉายายํ ความว่า ใต้ร่มเงาพระวิหาร อธิบายว่า
ในโอกาสแห่งเงากูฏาคารหลังใหญ่แผ่ไปถึง. ได้ยินว่า กูฏาคารศาลา
นั้นยาวไปทางทิศใต้และทิศเหนือ มีมุขทางทิศตะวันออก. ด้วยเหตุนั้นเงา
ใหญ่จึงแผ่ไปข้างหน้าแห่งกูฏาคารศาลานั้น. แม้สีหสามเณรได้ปูอาสนะ
ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ร่มเงาหน้าพระวิหารนั้น. ลำดับนั้นแลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงมีพระพุทธรังสี 6 ประการ เปล่งรัศมีออกจากช่องประตู และ
ช่องหน้าต่าง เสด็จออกจากกูฏาคารศาลา เหมือนพระจันทร์เพ็ญออกจาก
กลีบเมฆ ฉะนั้น ประทับนั่งบนวรพุทธอาสน์ที่ปูไว้แล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกจากพระวิหาร
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว ใต้ร่มเงาพระวิหาร.
ในบทว่า ปุริมานิ ภนฺเต ทิวสานิ ปุริมตรานิ นี้ ความว่า วันวาน
ชื่อว่า วันก่อน วันอื่น ต่อจากวันนั้น ชื่อว่า วานซืน ก็ตั้งแต่วันนั้นทั้ง
หมดจัดเป็นวันก่อนๆ. บทว่า ยทคฺเค ความว่า ข้าพเจ้าอยู่ชั่วเวลาตั้งแต่
วันแรก. ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่ชั่วคราว. บัดนี้ สุนักขัตตลิจฉวีบุตร
เมื่อจะแสดงประมาณแห่งวันนั้น จึงกล่าวว่า ไม่นาน เพียง 3 ปี. อีก
ประการหนึ่ง. บทว่า ยทคฺเค ความว่า ข้าพเจ้าอยู่ชั่วคราวไม่นาน. เพียง
3 ปี. ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่ชั่วคราวไม่นาน เพียง 3 ปีเท่านั้น. ได้
ยินว่า สุนักขัตตลิจฉวีบุตร นี้ รับบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรนนิบัติพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด 3 ปี. สุนักขัตตลิจฉวีหมายถึง 3 ปี

นั้น จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า ปิยรูปานิ ได้แก่ น่ารัก คือ น่ายินดี. บทว่า
กามูปสญฺหิตานิ คือ ประกอบด้วยความยินดีในกาม. บทว่า รชนียานิ ความ
ว่า ก่อให้เกิดราคะ.
บทว่า โน จ โข ทิพฺพานิ สทฺทานิ ความว่า สุนักขัตตะฟังเสียง
ทิพย์เหล่านั้นไม่ได้ เพราะเหตุอะไร ได้ยินว่า สุนักขัตตะนั้น เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลขอบริกรรมทิพยจักษุ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
บอกแก่เขา. เขาได้ปฏิบัติตามที่ทรงสอน ยังทิพยจักษุให้เกิดขึ้น เห็นรูป
ทั้งหลายของเทวดาทั้งหลายแล้ว คิดว่า ในสรีรสัณฐานนี้พึงมีเสียงไพเราะ
เราพึงฟังเสียงนั้นได้อย่างไรหนอ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถาม
ถึงการบริกรรมทิพยโสต. ก็ในอดีตกาล สุนักขัตตะนี้ตีกกหูภิกษุผู้มีศีลรูป
หนึ่ง ทำให้เป็นพระหูหนวก เพราะฉะนั้น แม้เธอจะทำบริกรรม ก็ไม่
สามารถบรรลุถึงทิพยโสตได้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัส
บอกบริกรรม. เขาผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึง
คิดว่า พระดำริอย่างนี้ย่อมมีแก่พระสมณโคดมแน่ว่า แม้เราก็เป็นกษัตริย์
ถึงโอฏฐัทธะนี้ก็เป็นกษัตริย์ ถ้าญาณจักเจริญแก่เขา แม้เขาก็จักเป็น
สัพพัญญู เพราะเหตุนั้นจึงไม่ตรัสบอกแก่เรา เพราะความริษยา. เขาถึง
ความเป็นคฤหัสถ์โดยลำดับ เมื่อจะบอกเนื้อความนั้นแก่มหาลิลิจฉวี จึง
กล่าวอย่างนี้.
บทว่า เอกํสภาวิโต ความว่า มีสมาธิอันได้อบรมแล้ว ส่วนเดียว
คือส่วนหนึ่ง อธิบายว่า อบรมเพื่อต้องการจะเห็นรูปอันเป็นทิพย์ หรือเพื่อ
ต้องการจะได้ฟังเสียงอันเป็นทิพย์. บทว่า ติริยํ ความว่า ทิศเฉียง. บทว่า
อุภยํสภาวิโต ความว่า มีสมาธิได้อบรมแล้วทั้งสองส่วน คือ โกฏฐาส

ทั้งสอง. บทว่า อยํ โข มหาลิ เหตุ ความว่า สมาธิที่สุนักขัตตะอบรม
แล้วส่วนเดียว เพื่อเห็นรูปทั้งหลายอันเป็นทิพย์เท่านั้นนี้เป็นเหตุ.
ลิจฉวีนั้นได้ฟังอรรถนี้แล้ว จึงคิดว่า ภิกษุฟังเสียงนี้ ด้วยทิพยโสต
ทิพยโสต เห็นจะเป็นของสูง เป็นของมีประโยชน์ในศาสนานี้แน่ ภิกษุ
เหล่านั้น ประพฤติพรหมจรรย์ 50 ปีบ้าง 60 ปีบ้าง มิใช่น้อย เพื่อ
ประโยชน์แก่ทิพยโสตนี้หรือหนอ ถ้ากระไรเราพึงทูลถามเนื้อความนี้กะ-
พระทศพล. ต่อแต่นั้น เมื่อจะทูลถามเนื้อความนั้น จึงกราบทูลว่า เอตาสํ
นูน ภนฺเต
เป็นต้น. ในบทว่า สมาธิภาวนานํ นี้ สมาธินั่นเทียวชื่อว่า
สมาธิภาวนา ความว่าซึ่งสมาธิอันได้อบรมแล้วทั้งสองส่วน.
อนึ่ง เพราะสมาธิภาวนาเหล่านั้นเป็นของนอกศาสนา ไม่เป็นไป
ในภายใน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงปฏิเสธสมาธิภาวนา
เหล่านั้น เมื่อจะทรงแสดงประโยชน์ที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ จึงตรัสว่า
น โข มหาลิ เป็นต้น.
บทว่า ติณฺณํ สํโยชนานํ ได้แก่ สังโยชน์เครื่องผูกพันสามอย่าง
มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น. จริงอยู่ สังโยชน์เหล่านั้น ท่านเรียกว่า สังโยชน์
เพราะเป็นเครื่องผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้ในรถ (คือภพ) ที่แล้วด้วยวัฏฏทุกข์.
บทว่า โสตาปนฺโน โหติ ความว่า เป็นผู้ถึงกระแสแห่งมรรค. บทว่า
อวินิปาตธมฺโม คือ มีอันไม่ตกไปในอบายทั้ง 4 อย่างเป็นธรรมดา.
บทว่า นิยโต คือผู้แน่นอนแล้วโดยธรรมนิยาม. บทว่า สมฺโพธิปรายโน
ความว่าความตรัสรู้ กล่าวคือ มรรคเบื้องสูง 3 อย่าง อันภิกษุนั้นพึงบรรลุ
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า ผู้มีความตรัสรู้
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

บทว่า ตนุตฺตา ความว่า เพราะความที่กิเลสเป็นเครื่องกลุ้มรุมจิต
มีน้อย และเพราะความที่การอุบัติ ในโลกไหน ในกาลใด เป็นของเบาบาง.
บทว่า โอรมฺภาคิยานํ ความว่า สังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำ ซึ่งเป็น
เครื่องผูกพันไม่ให้เกิดในภูมิสุทธาวาสชั้นสูง. คำว่า โอปปาติโก นั้น เป็น
คำปฏิเสธกำเนิดที่เหลือ. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปรินิพฺพายี คือ มีนิพพาน-
ธรรมในภพเบื้องหน้านั่นเทียว. บทว่า อนาวตฺติธมฺโม ความว่า มีอันไม่
กับมาจากพรหมโลกนั้นมาเกิดอีกเป็นธรรมดา.
บทว่า เจโตวิมุตฺตึ คือ จิตตวิสุทธิ. คำนั่นเป็นชื่อแห่งอรหัตตผลจิต
ซึ่งหลุดพ้นจากเครื่องผูกพันคือกิเลสทั้งปวง, ปัญญาคืออรหัตตผลนั่นเทียว
ซึ่งหลุดพ้นจากเครื่องผูกพันคือกิเลสทั้งปวง พึงทราบว่า ปัญญาวิมุตติ แม้
ในบทว่า ปญฺญาวิมุตฺตึ นี้. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม คือ ในอัตภาพนี้นั่น
เอง. บทว่า สยํ คือ เอง. บทว่า อภิญฺญา คือรู้เฉพาะยิ่ง. บทว่า สจฺฉิกตฺวา
คือกระทำให้ประจักษ์.อนึ่ง บทว่า อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ความว่า กระทำให้
แจ้งด้วยอภิญญา คือด้วยญาณอันละเอียดอย่างยิ่ง ดังนี้ก็มี. บทว่า อุปสมฺ-
ปชฺช
คือ บรรลุแล้ว ได้แก่ ได้รับแล้ว.
เจ้าลิจฉวีได้ฟังอรรถนี้แล้ว จึงคิดว่า ธรรมอันประเสริฐ อันใคร ๆ
ไม่อาจจะบรรลุได้ เหมือนนกบินบ้าง เหมือนเหี้ยคลานไปด้วยอกบ้าง สำหรับ
ภิกษุบรรลุพระธรรมนี้ จะพึงมีข้อปฏิบัติในส่วนเบื้องต้นแน่ เราจะทูลถาม
ถึงพระธรรมนั้นก่อน. แต่นั้น เมื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลว่า
อตฺถิ ปน ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. บทว่า อฏฺฐงฺคิโก ความว่า มรรคประกอบด้วย
องค์ 8 เหมือนดนตรีประกอบด้วยองค์ 5 และเหมือนบ้านประกอบ
ด้วยตระกูล 8 จึงชื่อว่า ประกอบด้วยองค์ 8 ธรรมดามรรคอื่นจาก
องค์ไม่มี. ด้วยเหตุนั้นเทียว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสยฺยถีทํ
สมฺมาทิฏฺฐิ ฯเปฯ สมฺมาสมาธิ
ดังนี้.

ในมรรคมีองค์ 8 นั้น สัมมาทิฏฐิ มีลักษณะเห็นชอบ. สัมมาสัง-
กัปปะ
มีลักษณะน้อมนึกชอบ. สัมมาวาจา มีลักษณะใคร่ครวญชอบ. สัมมา
กัมมันตะ
มีลักษณะให้ตั้งมั่นชอบ. สัมมาอาชีวะ มีลักษณะให้ผ่องแผ้วชอบ.
สัมมาวายามะ มีลักษณะประคองชอบ. สัมมาสติ มีลักษณะเข้าไปตั้งอยู่ชอบ.
สัมมาสมาธิ มีลักษณะตั้งใจชอบ. ในมรรคมีองค์ 8 เหล่านั้น แต่ละองค์มี
กิจ 3 อย่าง คือ สัมมาทิฏฐิ ย่อมละมิจฉาทิฏฐิพร้อมกับกิเลสอันเป็นข้าศึก
แก่ตน แม้เหล่าอื่นก่อน ย่อมทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ และเห็นแจ้งซึ่ง
สัมปยุตธรรมทั้งหลาย เพราะไม่ลุ่มหลงงมงาย ด้วยสามารถกำจัดโมหะอัน
ปกปิดความเห็นชอบนั้น. ธรรมทั้งหลาย แม้มีสัมมาสังกัปปะเป็นต้น ย่อม
ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ เหมือนอย่างนั้น.
ก็ในที่นี้โดยพิเศษ สัมมาสังกัปปะ ย่อมน้อมนึกถึงสหชาตธรรมทั้งหลาย
สัมมาวาจา ย่อมพิเคราะห์โดยชอบ สัมมากัมมันตะ ย่อมให้ตั้งมั่นโดยชอบ
สัมมาอาชีวะ ย่อมให้ผ่องใสโดยชอบ สัมมาวายามะ ย่อมประคองโดยชอบ
สัมมาสติย่อมให้เข้าไปตั้งอยู่โดยชอบ สัมมาสมาธิ ย่อมตั้งใจโดยชอบ.
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมดาสัมมาทิฏฐินั้น ในส่วนบุพภาคมีขณะต่างกัน มี
อารมณ์ต่างกัน ในขณะแห่งมรรคมีขณะเดียว มีอารมณ์เดียว แต่โดยกิจ
ย่อมได้ชื่อ 4 อย่าง มีญาณในทุกข์เป็นต้น ธรรมทั้งหลายแม้มีสัมมาสังกัปปะ
เป็นต้น ในบุพภาคมีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน ในขณะแห่งมรรค
มีขณะเดียว มีอารมณ์เดียว. ในธรรมเหล่านั้น สัมมาสังกัปปะโดยกิจย่อม
ได้ชื่อ 3 อย่างมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น. ธรรม 3 อย่างมีสัมมาวาจา
เป็นต้น เป็นวิรัติบ้าง เป็นเจตนาบ้าง แต่ในขณะแห่งมรรคเป็นวิรัติอย่าง
เดียว. สองอย่างแม้นี้คือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ โดยกิจย่อมได้ชื่อ 4

อย่างด้วยอำนาจสัมมัปปธาน และสติปัฏฐาน. ส่วนสัมมาสมาธิในบุพภาค
ก็ดี ในขณะแห่งมรรคก็ดี ย่อมเป็นสัมมาสมาธิอย่างเดียว.
ในธรรม 8 อย่างนี้ สัมมาทิฏฐิอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
ก่อน เพราะความที่สัมมาทิฏฐิเป็นธรรมมีอุปการะมาก แก่พระโยคีผู้ปฏิบัติ
เพื่อบรรลุนิพพาน. ก็ปัญญานี้ท่านกล่าวว่าปัญญาปัชโชตะ และปัญญา
สัตถะ เพราะฉะนั้น พระโยคาวจร จึงกำจัดความมืดคืออวิชชาด้วยสัมมา-
ทิฏฐิ กล่าวคือ วิปัสสนาญาณในบุพภาคนั้น ฆ่าโจรคือกิเลส บรรลุ
นิพพานด้วยเขมะ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะความที่สัมมาทิฏฐิเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่
พระโยคี ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน.
ก็สัมมาสังกัปปะมีอุปการะมากแก่สัมมาทิฏฐินั้น เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ในลำดับแห่งสัมมาทิฏฐินั้น. เหมือนเหรัญญิก
เอามือพลิกไปพลิกมา มองดูกหาปณะด้วยตา ย่อมรู้ว่า กหาปณะนี้ปลอม
นี้แท้ ฉันใด แม้พระโยคาวจรก็ฉันนั้น ในบุพภาคตรึกตรองด้วยวิตกมองดู
ด้วยวิปัสสนาปัญญา ย่อมรู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร เหล่านี้เป็นรูปาวจร
เป็นต้น. ก็หรือเหมือนช่างถาก ถากไม้ใหญ่ที่คนจับปลายพลิกไปพลิกมาด้วย
ขวาน ย่อมนำไปใช้การงานได้ ฉันใด พระโยคาวจรกำหนดธรรมทั้งหลาย
ที่วิตกตรึกตรองให้แล้วโดยนัยว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร เหล่านี้เป็น
รูปาวจรเป็นต้น ด้วยปัญญา ย่อมนำไปใช้การงานได้ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ก็สัมมาสังกัปปะมีอุปการะมากแก่สัมมาทิฏฐินั้น เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในลำดับแห่งสัมมาทิฏฐินั้น ดังนี้.

สัมมาสังกัปปะนี้นั้น ก็มีอุปการะแม้แก่สัมมาวาจา เหมือนมีอุปการะ
แก่สัมมาทิฏฐิฉะนั้น. เหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า คหบดี
ตรึกตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจาในภายหลัง. เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาวาจาในลำดับแห่งสัมมาสังกัปปะนั้น.
ก็เพราะคนทั้งหลายตระเตรียมด้วยวาจาก่อนว่า เราจักทำการงานนี้
และการงานนี้ แล้วจึงประกอบการงานทั้งหลายในโลก เพราะฉะนั้น วาจา
จึงเป็นอุปการะแก่กายกรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส
สัมมากัมมันตะในลำดับแห่งสัมมาวาจา
ก็อาชีวัฏฐมกศีล ย่อมบริบูรณ์แก่บุคคลผู้ละวจีทุจริต 4 อย่าง
และกายทุจริต 3 อย่าง บำเพ็ญสุจริตทั้ง 2 อย่างเท่านั้น หาบริบูรณ์แก่
บุคคลนอกนี้ไม่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาอาชีวะใน
ลำดับแห่งสุจริตทั้ง 2 นั้น.
อนึ่ง บุคคลมีอาชีวะบริสุทธิ์อย่างนี้ ทำความยินดีด้วยเหตุเพียงนี้ว่า
อาชีวะของเราบริสุทธิ์แล้ว ไม่ควรอยู่อย่างคนหลับหรือประมาท ดังนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาวายามะในลำดับแห่งสัมมาอาชีวะนั้น เพื่อ
ทรงแสดงว่า บุคคลควรปรารภความเพียรนี้ในทุกอิริยาบถ.
แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัมมาสติในลำดับแห่งสัมมา-
วายามะนั้น เพื่อทรงแสดงว่า สติอันดำรงมั่นดีแล้วในวัตถุทั้ง 4 มีกายเป็น
ต้น แม้บุคคลผู้ปรารภความเพียรแล้วก็ควรทำ.
ก็เพราะสติที่ตั้งมั่นดีแล้วอย่างนี้ ย่อมอำนวยคติแห่งธรรมทั้งหลาย
ที่อุปการะแก่สมาธิเพียงพอเพื่อจิตมั่นในเอกัตตารมณ์ เพราะเหตุนั้น พึงทราบ
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงสัมมาสมาธิในลำดับแห่งสัมมาสติ.

บทว่า เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การ
กระทำให้ประจักษ์ซึ่งธรรมมีโสดาปัตติผลเป็นต้นเหล่านั้น.
บทว่า เอกมิทาหํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเพราะเหตุอะไร.
ได้ยินว่าพระราชานี้มีลัทธิอย่างนี้ว่า รูปเป็นอัตตา. ด้วยเหตุนั้น จิตของ
พระราชานั้นจึงไม่น้อมไปในเทศนา. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ทรงปรารภถึงข้อนี้ เพื่อทรงนำมาซึ่งเหตุการณ์หนึ่ง เพื่อทรงทำให้แจ้งซึ่ง
ลัทธิของพระราชานั้น. ในเรื่องนั้นมีเนื้อความโดยย่อดังนี้. สมัยหนึ่ง เราอยู่
ในโฆษิตาราม ครั้งนั้นบรรพชิตสองรูปนั้น ถามเราอย่างนี้. ลำดับนั้นเราจึง
แสดงถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าแก่บรรพชิตเหล่านั้น เมื่อจะแสดงตัน-
ติธรรม จึงได้กล่าวข้อนี้ว่า ผู้มีอายุ กุลบุตรผู้ชื่อว่า ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
บวชในศาสนาของพระศาสดาเห็นปานนี้ บำเพ็ญศีล 3 อย่าง บรรลุถึง
ฌานมีปฐมฌานเป็นต้น ดำรงอยู่อย่างนี้ พึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ชีพก็อัน
นั้น คำนั้นสมควรแก่กุลบุตรนั้นหรือหนอ. ลำดับนั้น ครั้นบรรพชิตทั้ง
สองนั้นกล่าวว่า สมควรก็เราแลได้คัดค้านวาทะนั้นว่า ผู้มีอายุ ความข้อนี้
เรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ ดังนั้นแลเราจึงไม่กล่าวอย่างนี้ แล้วแสดง
พระขีณาสพยิ่ง ๆ ขึ้นไป บอกแก่กุลบุตรนี้ว่า ไม่ควรกล่าวอย่างนี้ บรรพชิต
เหล่านั้น ฟังคำพูดของเราแล้ว เป็นผู้มีใจยินดี ดังนี้.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาแม้นั้นก็มีใจ
ยินดี. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณ์-
พจน์นี้แล้ว โอฏฐัทธลิจฉวี มีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อรรถกถามหาลิสูตร ในอรรกถาทีฆนิกายชื่อสุมังคลวิลาสินี จบ
ด้วยประการฉะนี้
จบอรรถกถามหาลิสูตรที่ 6

7. ชาลิยสูตร


เรื่องมัณฑิยปริพาชก และชาลิปริพายก


[256] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ ณ โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี.
ครั้งนั้น บรรพชิตสองรูป คือ ปริพาชก ชื่อ มัณฑิยะ 1 ชาลิยะ อันเตวาสิก
ของบรรพชิตผู้ใช้บาตรไม้ 1 ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ปราศรัยกับพระผู้มี
พระภาคเจ้า ครั้งผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระโคดม ชีวะอันนั้น สรีระ
อันนั้น หรือ ชีวะอันอื่น สรีระอันอื่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น
เธอฟังเถิด ทำในใจจงดีเถิด เราจักกล่าว. บรรพชิตสองรูปนั้นทูลรับว่า
จักทำตามแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แน่ะเธอ พระตถาคตเสด็จอุบัติ
ในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ [พึงดูพิสดารในสามัญญผล
สูตร] ฯลฯ แน่ะเธอ ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล. เข้าถึง
ปฐมฌานอยู่.
[257] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า แน่ะเธอ ภิกษุผู้รู้อย่างนี้
เห็นอย่างนี้ ควรจะกล่าวว่า ชีวะอันนั้น สรีระอันนั้น หรือว่า ชีวะอันอื่น
สรีระอันอื่น. แน่ะเธอ ภิกษุผู้รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ไม่สมควรกล่าวอย่าง
นั้นว่า ฯลฯ ก็เรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่กล่าวว่า ชีวะ
อันนั้น สรีระอันนั้น หรือว่า ชีวะอันอื่น สรีระอันอื่น. ทุติยฌาน. ตติยฌาน.
เข้าถึงจตุตถฌานอยู่.
[258] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า แน่ะเธอ ภิกษุผู้รู้อย่างนี้
เห็นอย่างนี้ สมควรหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะอันนั้น สรีระอันนั้น หรือว่า