เมนู

ประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูก่อนอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า
(161) กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้
รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์.

จบ ภาณวาร ที่ 1

วิชชาจรณสัมปทา


(162) อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็
จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ก่อนอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม
เขาไม่พูดอ้างชาติ อ้างโคตร หรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่าน
ไม่ควรแก่เรา อาวาหมงคลหรือวิวาหมงคล หรืออาวาหะและวิวาหมงคล
มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้าง อ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะ
บ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใด ยังเกี่ยว
ข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการ
อ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหะและวิวาหมงคล ชนเหล่านั้นชื่อว่า
ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้
แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ย่อมมีได้ เพราะ
ละความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความ
เกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหะและวิวาหมงคล.
(163) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้น

เป็นไฉนเล่า. ดูก่อนอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระ
อรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯ ล ฯ ( พึงดูพิสดารในสามัญญผลสูตร)
ฯ ล ฯ ดูก่อนอัมพัฏฐะ ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล ฯ ล ฯ
เข้าถึงฌานที่ 1 อยู่ แม้นี้เป็นจรณะของภิกษุนั้น ฯ ล ฯ เพราะระงับ
วิตกวิจารเสียได้ เข้าถึงฌานที่ 2 ฌานที่ 3 ฌานที่ 4 อยู่. แม้นี้เป็น
จรณะของภิกษุนั้น. ดูก่อนอัมพัฏฐะ แม้นี้แลคือจรณะ เธอย่อมนำไป
อย่างยิ่ง น้อมไปอย่างยิ่งซึ่งจิต เพื่อญาณทัสสนะ. แม้นี้เป็นวิชชาของภิกษุ
นั้น ฯลฯ เธอย่อมรู้ชัดว่า อย่างอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกไม่มี. แม้นี้เป็น
วิชชาของภิกษุนั้น. ดูก่อนอัมพัฏฐะ นี้แลคือวิชชา ดูก่อนอัมพัฏฐะ ภิกษุนี้
เรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อม
ด้วยวิชชาและจรณะบ้าง. ดูก่อนอัมพัฏฐะ ก็วิชชาสมบัติ จรณสมบัติ
เหล่าอื่นที่ดียิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วิชชาสมบัติ จรณสมบัตินี้ไม่มี.
ดูก่อนอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม
นี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ. 4 ประการเป็นไฉน.
1. ดูก่อนอัมพัฏฐะ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อ
ไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขาร
ดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น. สมณพราหมณ์
นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น
ทางเสื่อมข้อที่ 1.
(164) 2. ดูก่อนอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์
บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอัน เป็นคุณยอด
เยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไป

สู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้. สมณพราหมณ์
นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น
ทางเสื่อมข้อที่ 2.
(165) 3. ดูก่อนอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์
บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณ
ยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้
รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคม แล้ว
บำเรอไฟอยู่. สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วย
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่ 3.
(166) 4. ดูก่อนอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์
บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณ
ยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหา
เหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้
จึงสร้างเรือนมีประตู 4 ด้านไว้ที่หนทางใหญ่ 4 แพร่ง แล้วพำนักอยู่
ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม
เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง. สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ
ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่ 4.
ดูก่อนอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็น
คุณยอดเยี่ยมนี้ มีอยู่ 4 ประการ ดังนี้.
(167) ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอ
กับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม
นี้บ้างหรือไม่ ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็น

อะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้า
กับอาจารย์ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.
ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อ
ไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบ
บริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่นบ้างหรือ
ไม่. ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ
ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์
เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ และ
ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่
ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้ บ้างหรือไม่.
อันไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ. ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อ
นั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และ
ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟ
ไว้ใกล้ ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่. ข้อนี้ไม่มีเลย
พระโคดมผู้เจริญ. ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม
นี้แหละ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้
รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้าง
เรือนไฟที่มีประตู 4 ด้านไว้ที่หนทาง 4 แพร่ง แล้วพำนักอยู่ ด้วยตั้งใจว่า
ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่าน
ผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่. ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ. ดูก่อน

อันพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณ
ยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ประการนี้ด้วย.
(168) ดูก่อนอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของ
เธอได้พูดว่า สมณะโล้นบางเหล่าเป็นอย่างคนรับใช้ เป็นพวกกัณหโคตร
เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะ
สนทนาด้วย ดังนี้. แม้แต่ทางเสื่อมตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ. ดูเถิดอัมพัฏฐะ
ความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด. ถึงพราหมณ์
โปกขรสาติ
กินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่
ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษา
ด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูก่อนอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระ
ราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระ
ราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์
ของเธอนี้เพียงใด.
(169) ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงช้างพระที่นั่ง หรือรถพระที่นั่ง จะทรงปรึกษา
ราชกิจบางเรื่องกับมหาอำมาตย์ หรือพระราชวงศานุวงศ์ แล้วเสด็จไป
ประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง จากที่นั้น ภายหลังคนชั้นศูทรหรือทาสของศูทร
พึงมา ณ ที่นั้นแล้วพูดอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสอย่างนี้ ๆ เพียง
เขาพูดได้เหมือนพระราชดำรัส หรือปรึกษาได้เหมือนพระราชาทรงปรึกษา
จะจัดว่าเป็นพระราชา หรือราชมหาอำมาตย์ได้หรือไม่.
ข้อนี้เป็นไม่ได้ พระโคดมผู้เจริญ.

ฤาษีบุรพาจารย์ของพราหมณ์


ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน บรรดาฤาษีผู้เป็น
บุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวาม-
เทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ
ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ
ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ใน
ปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่าน
ขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตาม
ที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ เพียงคิดว่า เรากับอาจารย์เรียนมนต์ของท่าน
เหล่านั้น เธอจักเป็นฤาษีหรือปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีได้ ดังนี้ นั่นไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้.
ดูก่อนอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ฟัง
พราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์ และเป็นปาจารย์ เล่ากันมาว่าอย่างไร
บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษี
วามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส
ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ
ซึ่งเป็นผู้ผูก
มนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบท
มนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง
บอกได้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้ บอกไว้ ฤาษีเหล่านั้นอาบน้ำทาตัวเรียบร้อย
แต่งผม แต่งหนวด สวมพวงดอกไม้และเครื่องอาภรณ์ นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบ
พรั่งพร้อม บำเรออยู่ด้วยกามคุณ 5 เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้
หรือไม่.
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ฯ ล ฯ.