เมนู

แล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม
พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
บริบูรณ์โดยสิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้นย่อมเป็นการ
ดีแล.

เรื่องอัมพัฏฐามาณพ


(143) ก็สมัยนั่นแล อัมพัฏฐมาณพ ศิษย์ของพราหมณ์โปกขร-
สาติ
เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนต์ได้ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ1
และคัมภีร์เกตุภะ2 พร้อมทั้งประเภทแห่งอักษร มีคัมภีร์อิติหาส3 เป็น
ที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท ช่ำชองในไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ4
และมหาปุริสลักษณะ อันอาจารย์ยอมรับและรับรองในคำสอนอันเป็น
ไตรเพท อันเป็นของอาจารย์ของตนว่า ฉันรู้สิ่งใด เธอรู้สิ่งนั้น เธอรู้
สิ่งใด ฉันรู้สิ่งนั้น. ครั้งนั้นแล พราหมณ์โปกขรสาติ เรียกอัมพัฏฐ-
มาณพ
มากล่าวว่า พ่ออัมพัฏฐะ พระสมณโคดมศากยบุตรพระองค์นี้
ทรงผนวชแล้วจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ถึงอิจฉานังคลคามโดยลำดับ ประทับ
1. คัมภีร์ว่าด้วยชื่อของสิ่งของต่าง ๆ มีต้นไม่เป็นต้น.
2. คัมภีร์ว่าด้วยวิชาการกวี ศาสตร์ที่เป็นอุปกรณ์แก่กวี.
3. คัมภีร์ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์พงศาวดาร มีมหาภารตยุทธเป็นต้น ซึ่งประพันธ์กันไว้
แต่โบราณกาล นับเป็นคัมภีร์ที่ 5 คือนับคัมภีร์อิรุพเพทเป็นที่ 1 คัมภีร์ยชุพเพทเป็น
ที่ 2 คัมภีร์สามเพทเป็นที่ 3 และคัมภีร์อาถรรพเพทเป็นที่ 4 คัมภีร์อิติหาสนี้ จึงนับ
เป็นที่ 5.
4. คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องไม่น่าเชื่อต่าง ๆ.

อยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์อันงาม
ของท่านพระสมณโคดมพระองค์นั้น ขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคน
ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น
ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระ
ปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั่งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งาม
ในท่านกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อม
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยสิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย
เห็นปานนั้นย่อมเป็นการดีแล พ่ออัมพัฏฐะ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณ-
โคดม
ถึงที่ประทับ แล้วจงรู้จักพระสมณโคดมว่า เกียรติศัพท์ของท่าน
พระโคดม
พระองค์นั้นฟุ้งขจรไปจริงตามนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดม
พระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราทั้งหลายจักได้รู้จักท่าน
พระโคดม
พระองค์นั้นไว้โดยประการนั้น. อัมพัฏฐมาณพถามว่า
ท่านครับ ก็ไฉนเล่า ผมจักรู้ได้ว่า เกียรติศัพท์ของท่านพระโคดม
พระองค์นั้นที่ฟุ้งขจรไปเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดม
พระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่. พราหมณ์โปกขรสาติตอบว่า
พ่ออัมพัฏฐะ มหาปุริสลักษณะ 32 ประการมาแล้วในมนต์ของเรา ซึ่ง
พระมหาบุรุษผู้ถึงพร้อมแล้ว ย่อมมีคติเป็น 2 เท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชา

โดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชัยชำนะ
แล้ว มีราชอาณาจักรถึงความมั่นคง ถึงพร้อมแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ คือ
จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว
เป็นที่ 7 พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหา มีรูปทรงสม
เป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม
มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ทรงครอบครองแผ่นดินนี้มีสาครเป็น
ขอบเขต ถ้าเสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก พ่ออัมพัฏฐะ
ก็เราแลเป็นผู้สอนมนต์ เธอเป็นผู้รับเรียนมนต์. อัมพัฏฐมาณพรับคำ
พราหมณ์โปกขรสาติว่า ได้ขอรับ แล้วลุกจากที่นั่ง ไหว้พราหมณ์
โปกขรสาติ กระทำประทักษิณ แล้วขึ้นรถเทียมลา พร้อมด้วยมาณพ
หลายคน ขับตรงไปยังราวป่าอิจฉานังคละ ตลอดภูมิประเทศเท่าที่รถ
จะไปได้ ลงจากรถเดินตรงเข้าไปยังพระอาราม.
(144) ก็สมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังจงกรมอยู่กลางแจ้ง.
ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่จงกรม ครั้นแล้วได้
กล่าวคำนี้กะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ เวลานี้พระสมณโคดมพระองค์
นั้นประทับอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้าพากันเข้ามาที่นี่ เพื่อจะเฝ้าพระองค์
ท่าน. ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นคิดเห็นร่วมกันเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพ
ผู้นี้เป็นคนเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง ทั้งเป็นศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ
ผู้มีชื่อเสียง อันการสนทนาปราศรัยกับพวกกุลบุตรเห็นปานนี้ ย่อมไม่
เป็นการหนักพระทัยแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ดังนี้แล้ว จึงตอบ
อัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ นั่นพระวิหารมีประตูปิดอยู่ ท่านจงสงบ

เสียงเข้าไปทางพระวิหารนั้น ค่อย ๆ เข้าไปที่เฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะ
บานประตูเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงเปิดประตูรับท่าน. ลำดับนั้น
อัมพัฏฐมาณพสงบเสียง เข้าไปทางพระวิหาร ซึ่งมีประตูปิดอยู่นั้น ค่อยๆ
เข้าไปยังเฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตู. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเปิดประตู. อัมพัฏฐมาณพเข้าไปแล้ว. แม้พวกมาณพก็พากันเข้าไป
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครันผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
(185) ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพ เดินปราศรัยบ้าง ยืนปราศรัยบ้าง
กับพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่งอยู่. ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสถามว่า อัมพัฏฐะ เธอเคยสนทนาปราศรัยกับพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่
ผู้เป็นอาจารย์ และเป็นปาจารย์ เหมือนดังเธอ เดินบ้าง ยืนบ้าง สนทนา
ปราศรัยกับเราผู้นั่งอยู่เช่นนี้หรือ.
ข้อนี้หามิได้ พระโคดมผู้เจริญ เพราะว่าพราหมณ์ผู้เดินก็ควรเจรจา
กันกับพราหมณ์ผู้เดิน พราหมณ์ผู้ยืนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้ยืน
พราหมณ์ผู้นั่งก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นั่ง พราหมณ์ผู้นอนก็ควรเจรจา
กับพราหมณ์ผู้นอน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แต่ผู้ใดเป็นสมณะโล้น
เป็นอย่างคนรับใช้ เป็นพวกกัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ข้าพเจ้า
ย่อมสนทนาปราศรัยกับผู้นั้น เหมือนกับที่สนทนาปราศรัยกับพระโคดม
ผู้เจริญนี้.
อัมพัฏฐะ เธอมีธุระจึงได้มาที่นี้ ก็พวกเธอมาเพื่อประโยชน์อันใด
แล พึงใส่ใจถึงประโยชน์อันนั้นไว้ให้ดี ก็อัมพัฏฐมาณพยังมิได้รับการ
ศึกษาเลย สำคัญตัวว่า ได้รับการศึกษาดีแล้ว จะมีอะไรอีกเล่า นอกจาก

ไม่ได้รับการศึกษา.
ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพ ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตำหนิด้วย
พระวาจาว่า เป็นคนไม่ได้รับการศึกษา จึงโกรธขัดใจ เมื่อจะด่าข่มว่า
กล่าวพระผู้มีพระภาคเจ้า คิดว่าเราจักต้องให้พระสมณโคดมได้รับความ
เสียหาย ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านโคดม พวกชาติ
ศากยะดุร้าย หยาบช้า มีใจเบา พูดพล่าม เป็นพวกคนรับใช้ ไม่สักการะ
พวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่
อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ ท่านโคดม การที่พวกศากยะเป็นพวกคนรับใช้
ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์
ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.
อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นพวกคนรับใช้ นี้เป็นครั้งแรก
ด้วยประการฉะนี้.
(146) อัมพัฏฐะ ก็พวกศากยะได้ทำผิดต่อเธออย่างไร. ท่าน
โคดม
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไปยังนครกบิลพัสดุ์ ด้วยกรณียกิจบางอย่างของ
พราหมณ์โปกขรสาติผู้อาจารย์ ได้เดินไปยังสัณฐาคารของพวกศากยะ
เวลานั้นพวกศากยะและศากยกุมารมากด้วยกัน นั่งเหนืออาสนะสูง ๆ
ในสัณฐาคาร เอานิ้วมือสะกิดกันและกัน เฮฮาอยู่ หยอกล้อกันอยู่ เห็นที
จะหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเป็นแน่ ไม่มีใครเธอเชิญให้ข้าพเจ้านั่งเลย ท่าน
โคดม
ข้อที่พวกศากยะเป็นพวกคนรับใช้ ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่
เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์
ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย. อัมพัฏฐมาณพกด
พวกศากยะว่า เป็นพวกคนรับใช้ นี้เป็นครั้งที่ 2 ด้วยประการฉะนี้.

(187) อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ ก็ยังเป็นสัตว์พูดได้ตามความ
ปรารถนาในรังของตน ก็พระนครกบิลพัสดุ์ เป็นถิ่นของพวกศากยะ
อัมพัฏฐะ ไม่ควรจะข้องใจ เพราะการหัวเราะเยาะเพียงเล็กน้อยนี้เลย.
ท่านโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร
ท่านโคดม บรรดาวรรณะ 4 เหล่านี้ 3 วรรณะ คือ กษัตริย์ แพศย์
ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์พวกเดียวโดยแท้ ท่านโคดม ข้อที่
พวกศากยะเป็นพวกคนรับใช้ ไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวก
พราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อม
พวกพราหมณ์ นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย. อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า
เป็นพวกคนรับใช้ นี้เป็นครั้งที่ 3 ด้วยประการฉะนี้.
(148) ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริเช่นนี้ว่า อัม-
พัฏฐมาณพ
ผู้นี้ กล่าวเหยียบย่ำพวกศากยะอย่างหนัก โดยเรียกว่า เป็น
พวกคนรับใช้ ถ้ากระไร เราจะถามถึงโคตรเขาดูบ้าง แล้วพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า
ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กับอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอมี
โคตรว่าอย่างไร. กัณหายนโคตร พระโคดม. อัมพัฏฐะ ก็เมื่อเธอ
ระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดู ( ก็จะรู้ได้ ) พวกศากยะ
เป็นลูกเจ้า เธอเป็นลูกนางทาสีของพวกศากยะ ก็พวกศากยะเขาพากัน
สถาปนา พระเจ้าอุกกากราชว่า เป็นพรูปิตามหะ1 (ปู่ บรรพบุรุษ).
1. เป็นชื่อหนึ่งของพระพรหม ซึ่งพราหมณ์ถือว่า เป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของมนุษย์.

ศากยวงศ์


(149 ) อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าอุกกากราช ทรง
พระประสงค์พระราชทานสมบัติให้แก่พระโอรส ของพระมเหสี ผู้ที่ทรง
รักใคร่ โปรดปราน จึงทรงรับสั่งให้พระเชฏฐกุมาร คือพระอุกกามุข-
ราชกุมาร พระกรัณฑุราชกุมาร พระหัตถินีกราชกุมาร และพระสินี -
ปุรราชกุมาร
ออกจากพระราชอาณาเขต. พระราชกุนารเหล่านั้น เสด็จ
ออกจากพระราชอาณาเขตแล้ว จึงพากันไปตั้งสำนักอาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้
สากะใหญ่ ริมฝังสระโบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์. พระราชกุมารเหล่า
นั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติ
จะระคนปนกัน.
อัมพัฏฐะ ต่อมาพระเจ้าอุกกากราช ตรัสถามหมู่อำมาตย์ราช
บริษัทว่า บัดนี้พวกกุมารอยู่กัน ณ ที่ไหน. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า
ขอเดชะ มีราวป่าไม้สากะใหญ่อยู่ริมฝั่งสระโบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์
บัดนี้พระราชกุมารทั้งหลายอยู่ ณ ทีนั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จ
การอยู่ร่วมกับพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปน
กัน. อัมพัฏฐะ ทีนั้น พระเจ้าอุกกากราช ทรงเปล่งพระอุทานว่า
ท่านทั้งหลาย พวกกุมารสามารถหนอ พวกกุมารสามารถยอดเยี่ยมหนอ.
อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่าศากยะก็ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และ
พระเจ้าอุกกากราชพระองค์นั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกศากยะ. และ
พระเจ้าอุกกากราช มีนางทาสีคนหนึ่งชื่อ ทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง
ชื่อ กัณหะ พอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า