เมนู

ห้อง ครั้นนั้น ท่านพระเรวตะคิดว่า พระผู้เฒ่านี้ยังไม่นอน จึงไม่สำเร็จการ
นอน ท่านพระสัพพกามีคิดว่า พระอาคันตุกะรูปนี้เหนื่อยมา ยังไม่นอน จึงไม่
สำเร็จการนอน.
[647] ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง. แห่งราตรี ท่านพระสัพพกามีลุกขึ้น กล่าว
กะท่านพระเรวตะว่า ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรโดยมาก
ร. ท่านเจ้าข้า บัดนี้ ผมอยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรมโดยมาก
ส. ได้ยินว่า บัดนี้ ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมตื้นๆ โดยมากวิหารธรรม
ตื้น ๆ นี้ คือเมตตา.
ร. ท่านเจ้าข้า แม้เมื่อก่อนครั้งผมเป็นคฤหัสถ์ได้อบรมเมตตามา
เพราะฉะนั้น ถึงบัดนี้ ผมก็อยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรมโดยมาก และผมได้บรรลุ
พระอรหัตมานานแล้ว ท่านเจ้าข้า ก็บัดนี้พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร
โดยมาก
ส. ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ฉันอยู่ด้วยสุญญตาวิหารธรรมโดยมาก
ร. ท่านเจ้าข้า ได้ยินว่า บัดนี้ พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมของพระ
มหาบุรุษโดยมาก วิหารธรรมของพระมหาบุรุษนี้ คือ สุญญตสมาบัติ
ส. ท่านผู้เจริญ แม้เมื่อก่อนครั้งฉันเป็นคฤหัสถ์ ได้อบรนสุญญต-
สมาบัติมาแล้ว เพราะฉะนั้น บัดนี้ ฉันจึงอยู่ด้วยวิหารธรรม คือ สุญญต-
สมาบัติและฉันได้บรรลุพระอรหัตมานานแล้ว.

เรื่องพระสัมภูตสาณวาสีถาม


[648] พระเถระทั้งสองสนทนากันมาโดยลำดับค้างอยู่เพียงเท่านี้
ครั้งนั้น. ท่านพระสัมภูตสาณวาสีมาถึงโดยลำดับจึงเข้าไปหาท่านพระสัพพกามี

อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้เรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า พวกพระ-
วัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีนี้ แสดงวัตถุ 10 ประการในเมืองเวสาลี ว่าดังนี้ :-
1. สิงคิโลณกัปปะ ควร
2. ทวังคุลกัปปะ ควร
3. คามันตรกัปปะ ควร
4. อาวาสกัปปะ ควร
5. อนุมัติกัปปะ ควร
6. อาจิณณกัปปะ ควร
7. อมถิตกัปปะ ควร
8. ดื่มชโลคิ ควร
9. ผ้าปูนั่งไม่มีชาย ควร
10. ทองและเงิน ควร
ท่านเจ้าข้า พระเถระได้ศึกษาพระธรรมและพระวินัยเป็นอันมากใน
สำนักพระอุปัชฌายะ เมื่อพระเถระพิจารณาพระธรรมและพระวินัยอยู่เป็น
อย่างไร ขอรับ ภิกษุพวกไหนเป็นธรรมวาที คือ พวกปราจีน หรือพวก
เมืองปาฐา
พระสัพพกามีย้อนถามว่า ท่านได้ศึกษาพระธรรมและพระวินัยเป็นอัน
มากในสำนักอุปัชฌายะ ก็เมื่อท่านพิจารณาพระธรรมและพระวินัยอยู่เป็น
อย่างไร ขอรับ ภิกษุพวกไหนเป็นธรรมวาที คือ พวกปราจีน หรือพวกเมือง
ปาฐา
พระสัมภูตะตอบว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อผมพิจารณาพระธรรมและพระวินัย
เป็นอย่างนี้ ขอรับ ภิกษุพวกปราจีนเป็นอธรรมวาที ภิกษุพวกเมืองปาฐา


เป็นธรรมวาที แต่ว่าผมยังทำความเห็นให้แจ่มแจ้งไม่ได้ก่อนว่า แม้ไฉน สงฆ์
พึงสมมติผมเข้าในอธิกรณ์นี้
พระสัพพกามีกล่าวว่า แม้เมื่อผมพิจารณาพระธรรมและพระวินัยอยู่ก็
เป็นอย่างนี้ ขอรับ ภิกษุพวกปราจีนเป็นอธรรมวาที ภิกษุพวกเมืองปาฐาเป็น
ธรรมวาที แต่ว่าผมยังทำความเห็นให้แจ่มแจ้งไม่ได้ก่อนว่า แม้ไฉน สงฆ์พึง
สมมติผมเข้าในอธิกรณ์นี้.

สมมติภิกษุเป็นพวกปราจีนและปาฐา


[649] ครั้งนั้น สงฆ์ประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์นั้น จึงประชุมกัน
ก็เมื่อสงฆ์กำลังวินิจฉัยอธิกรณ์นั้น เสียงอื้อฉาวเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด และไม่เข้าใจ
ข้อความของถ้อยคำที่กล่าวแล้วสักข้อเดียว ท่านพระเรวตะจึงประกาศให้สงฆ์
ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-

ญัตติกรรมวาจา


ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราวินิจฉัยอธิกรณ์
นี้อยู่ เสียงอื้อฉาวเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด. และไม่เข้าใจข้อความของถ้อยคำ
ที่กล่าวแล้วสักข้อเดียว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์
พึงระงับอธิกรณ์นี้ด้วยอุพพาหิกวิธี.

สงฆ์คัดเลือกภิกษุ รูปเป็นพวกปราจีน 4 รูปเป็นพวกเมืองปาฐา
คือ ท่านพระสัพพกามี 1 ท่านพระสาฬหะ 1 ท่านพระอุชชโสภิตะ 1 ท่าน
พระวาสภคามิกะ 1 เป็นฝ่ายภิกษุพวกปราจีน ท่านพระเรวตะ 1 ท่านพระ-