และมีภิกษาดีเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาความได้นั้น จึงตรัสว่า
เราจักได้.
ข้อว่า ภวิสฺสติ สงฺฆสฺส ตโตนิทานํ ภณฺฑนํ มีความว่า
ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท และความแตก
แห่งสงฆ์ จักมีแก่สงฆ์ เหมือนมีแก่พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพี.
ข้อว่า ปจฺฉาปิ อวิปฺปฏิสารกรํ ภวิสฺสติ มีความว่า ความ
หวนระลึกถึงอธิกรณ์นั้น ในภายหลัง ไม่ทำความเดือดร้อนให้เหมือนความ
หวนระลึกของพระมหากัสสปเถระ ผู้ทำปัญจสติกสังคีติข่มขี่สุภัททภิกษุผ้บวช
เมื่อแก่, และเหมือนความหวนระลึกของท่านพระยสะผู้ทำสัตตสติกสังคีติ ข่มขี่
ภิกษุหมื่นรูป เพราะอธิกรณ์มีวัตถุ 10, และเหมือนความหวนระลึกของพระ-
โมคคัลลีบุตรติสสเถระผู้ทำสหัสสกสังคีติ ข่มขี่ภิกษุ 6 หมื่นรูป ไม่ทำความ
เดือดร้อนให้ในภายหลังฉะนั้น. ทั้งอธิกรณ์ที่ประกอบด้วยองค์ 5 อย่างนั้น
อันภิกษุโจทแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความที่พระศาสนาเป็นของมีสิริเพียงดังดวง
จันทร์และดวงอาทิตย์ อันปราศจากโทษเครื่องเศร้าหมอง
[ว่าด้วยธรรมที่โจทก์พึงตรวจดูในตน]
วินิจฉัยในคำว่า อจฺฉิทฺเทน อปฺปฏิมํเสน เป็นอาทิ พึงทราบ
ดังนี้ :-
บรรดาคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นผู้อันบุคคลใด
ประหารแล้วก็ดี แพทยกรรมทั้งหลาย มีการผ่าฝีเป็นต้น อันบุคคลใดทำแล้ว
แก่คฤหัสถ์ทั้งหลายก็ดี กายสมาจารของบุคคลนั้น เป็นช่องทะลุ เหมือนใบ
ตาลที่ปลวกกิน และชื่อว่ามีโทษที่ควรสอดส่อง เพราะเป็นของที่จะพึงอาจ
เพื่อลูบคลำได้ คือเพื่อจับคร่าในที่ใดที่หนึ่งได้. กายสมาจารที่แผกกัน พึง
ทราบว่า ไม่มีช่องทะลุ ไม่มีโทษที่ควรสอดส่อง.