เมนู

[เรื่องน้ำชำระ]


วินิจฉัยในเรื่องน้ำชำระ พึงทราบดังนี้:-
ในคำว่า สติ อุทเก นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้ามีน้ำ แต่ไม่มีที่กำบัง, พึง
ใช้ภาชนะตักไปชำระ. เมื่อไม่มีภาชนะ พึงเอาบาตรตักไป. แม้บาตรก็ไม่มี
เป็นอันชื่อว่าไม่มีภาชนะ. ภิกษุผู้ไปด้วยทำในใจว่า ที่นี่เปิดเผยนัก ข้างหน้า
จักมีน้ำอื่น ยังไม่ทันได้น้ำ ได้เวลาภิกษาจาร, พึงเช็ดด้วยไม้หรือของบาง
อย่างแล้วจึงไป. ภิกษุนั้นฉันก็ดี กระทำอนุโมทนาก็ดี ย่อมควร.
บทว่า อาคตปฏิปาฏิยา มีความว่า ลำดับแห่งผู้มาเท่านั้นเป็นประ-
มาณ ในสถานทั้ง 3 คือ เวจกุฎี ที่ถ่ายปัสสาวะ ท่าอาบน้ำ.

[เวจกุฏิวัตร]


วินิจฉัยในเวจกุฏิวัตร พึงทราบดังนี้.
ข้อว่า ไม่พึงเคี้ยวไม้สีฟันพลาง ถ่ายอุจจาระพลาง นี้เป็นข้อ
ห้ามในทีทั้งปวงทีเดียว ทั้งเวจกุฎี ทั้งมิใช่เวจกุฎี.
ข้อว่า ผรุเสน กฏฺเฐน มีความว่า ไม่ควรเช็ดด้วยไม้ที่ผ่า หรือ
ไม้คม หรือไม้มีปม หรือไม้มีหนาม หรือไม้มีแผล หรือไม้ผุ. แต่ไม่เป็น
อาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ถือชำระเข้าไป.
คำว่า น อาจมนสราวเก นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาฐาน
ที่ทั่วไปแก่ภิกษุทั้งปวง.
จริงอยู่ ภิกษุอื่น ๆ ย่อมมาที่สาธารณฐานนั้น, เพราะฉะนั้น จึงไม่
ควรเหลือน้ำไว้. ส่วนฐานใด เป็นสถานที่ทำไว้ในเอกเทศในวัด แม้เป็น
ของสงฆ์ เพื่อต้องการจะไปถ่ายเป็นนิตย์ หรือเป็นฐานส่วนด้วยบุคคล. ใน
ฐานนั้น จะเหลือน้ำไว้ในขันชำระก็ได้. แม้ภิกษุผู้ฉันยาถ่าย เข้าไปบ่อย ๆ
จะเหลือไว้ก็ควรเหมือนกัน.

บทว่า อูหตา ได้แก่ เปื้อน อธิบายว่า ภายนอกเปื้อนอุจจาระ.
บทว่า โธวิตพฺพา ได้แก่ พึงนำน้ำมาล้าง. น้ำมี ภาชนะไม่มี,
เป็นอันชื่อว่าไม่มี; ภาชนะมี น้ำไม่มี, แม้อันนี้ ก็ชื่อว่าไม่มี; เมื่อไม่มีทั้ง
2 อย่าง เป็นไม่มีแท้. พึงเช็ดด้วยไม้ หรือด้วยของบางอย่างแล้วจึงไป.
คำที่เหลือทุกสถาน ตื้นทั้งนั้น ฉะนั้นแล.
วัตตักขันธกวรรณนา จบ

ปาติโมกขฐปนขันธกะ


เรื่องพระอานนทเถระ


[447] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ปราสาท
ของมิคารมารดา ในบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เป็นวันอุโบสถ
15 ค่ำ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งอยู่ จึงท่านพระ-
อานนท์ เมื่อล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไปแล้ว ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า
ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
ล่วงเข้าราตรี ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า เมื่อ
พระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิ่งเสีย.
แม้ครั้งที่สอง ท่านพระอานนท์ เมื่อล่วงเข้าราตรี มัชฌิมยามผ่านไป
แล้ว ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้าราตรี มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว
ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุ
ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า.
แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนิ่งเสีย.
แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ เมื่อล่วงเข้าราตรี ปัจฉิมยามผ่านไป
แล้ว อรุณขึ้น ราตรีสว่างแล้ว จึงลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคอง-
อัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ล่วงเข้า
ราตรี ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นราตรีสว่างแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า