เมนู

12. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ
13. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
14. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติเบา
15. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
16. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
17. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
18. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ 18 ประการนี้ ย่อม
แยกทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม
ดูก่อนอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว

สังฆสามัคคี


[406] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
1. ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่า ไม่เป็นธรรม
2. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่า เป็นธรรม
3. ย่อมแสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย
4. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
5. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิ
ได้ตรัสภาษิตไว้
6. ย่อมแสดงคำอันตถาคต ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้

7. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรม
อันตถาคตมิได้ประพฤติมา
8. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า เป็นกรรม
อันตถาคตประพฤติมาแล้ว
9. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคต มิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้
บัญญัติไว้
10. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
11. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอนาบัติ
12. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ
13. ยอมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติเบา
14. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติหนัก
15. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
16. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
17. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
18. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ 18 ประการนี้ ย่อม
ไม่แยกทำอุโบสถ ย่อมไม่แยกทำปวารณา ย่อมไม่แยกทำสังฆกรรม
ดูก่อนอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันพร้อมเพรียงกัน.
[407] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุนั้นทำลาย
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อม-
เพรียงกันแล้ว ย่อมได้รับผลชั่วร้าย ตั้งอยู่ชั่วกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป.

นิคมคาถา


[408] ภิกษุทำลายสงฆ์ต้องเกิดใน
อบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป ภิกษุผู้ยินดีในการ
แตกพวก ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมเสื่อมจาก
ธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้
พร้อมเพรียงกัน แล้วย่อมไหม้ในนรกตลอด
กัป.

[409] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุสมานสงฆ์
ที่แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกัน
แล้วให้พร้อมเพรียงกัน ย่อมได้บุญอันประเสริฐ ย่อมบันเทิงในสรวงสวรรค์
ตลอดกัป.

นิคมคาถา


[410] ความพร้อมเพรียงของหมู่
เป็นเหตุแห่งสุข และการสนับสนุนผู้พร้อม
เพียงกัน ก็เป็นเหตุแห่งสุข ภิกษุผู้ยินดีใน
ความพร้อมเพรียงตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่
เสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ภิกษุสมาน
สงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อมบันเทิง
ในสรวงสวรรค์ตลอดกัป.