เมนู

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ลุก
จากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้ว เดินทางไปคยาสีสะ
ประเทศ.

เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง


[392] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค-
เจ้า จึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เธอร้องไห้ทำไม
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
เป็นอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปในสำนักพระเทวทัต คงจะชอบใจ
ธรรมของพระเทวทัต
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ข้อที่สารีบุตรโมคคัลลานะ
จะพึงชอบใจธรรมของเทวทัต นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส แต่เธอทั้งสองไป
เพื่อซ้อมความเข้าใจกะภิกษุ.

พระอัครสาวกพาภิกษุ 500 กลับ


[393] สมัยนั้น พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วนั่ง
แสดงธรรมอยู่ เธอได้เห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาแต่ไกล จึง
เตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว
พระสารีบุตรโมคคัลลานะอัครสาวกของพระสมณโคดม พากันมาสู่สำนักเรา
ต้องชอบใจธรรมของเรา เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะ ได้
กล่าวกะพระเทวทัตว่า ท่านเทวทัต ท่านอย่าไว้วางใจพระสารีบุตรและพระ-
โมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแก่ความ
ปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่า อย่าเลย คุณ ท่านทั้งสองมาดี เพราะ
ชอบใจธรรมของเรา

ลำดับนั้น ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่ง
ว่า มาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้ ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า
อย่าเลยท่าน แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะก็ถืออาสนะเเห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น
พระเทวทัตแสดงธรรมกถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
หลายราตรี แล้วเชื้อเชิญท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศ
จากถิ่นมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน เราเมื่อยหลัง
จักเอน ท่านพระสารีบุตรรับคำพระเทวทัตแล้ว ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้า
สังฆาฏิ 4 ชั้น แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวา เธอเหน็ดเหนื่อยหมดสติสัมปชัญญะ
ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป.
[394] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน พร่ำสอนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอาเทสนาปฏิหาริย์ ท่านพระมหาโมคคัล-
ลานะกล่าวสอน พร่ำสอน ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วย
อิทธิปาฏิหาริย์ ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่ พร่ำ
สอนอยู่ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ และอันท่านพระมหาโมค-
คัลลานะกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ดวงตา
เห็นธรรมที่ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความ
เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ทีนั้น ท่านพระ-
สารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ท่านทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ผู้นั้นจงมา
ครั้งนั้น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ 500 รูปนั้น
เข้าไปทางพระเวฬุวัน

ครั้งนั้น พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัตให้ลุกขึ้นด้วยคำว่า ท่านเทวทัต
ลุกขึ้นเถิด พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะพาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอก
ท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เพราะเธอ
ทั้งสองมีความปรารถนาลามก ถึงอำนาจความปรารถนาลามก
ครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัต ในที่นั้นเอง.
[395] ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่ง
เรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทาน
พระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายผู้พระพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย พึงอุปสมบทใหม่
พ. อย่าเลย สารีบุตร เธออย่าพอใจการอุปสมบทใหม่ของพวกภิกษุ
ผู้พระพฤติตามภิกษุผู้ทำลายเลย ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พวกภิกษุ
ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายแสดงอาบัติถุลลัจจัย ก็เทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไร
ส. พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมีกถาให้ภิกษุ
ทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วได้
รับสั่งกะข้าพระพุทธเจ้าว่า ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถิ่นมิทธะแล้ว
ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งแก่เธอ เราเมื่อยหลัง ดังนี้ ฉันใด
พระเทวทัต ก็ได้ปฏิบัติฉัน นั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าข้า.
[396] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่ในราวป่า ช้างทั้งหลายอาศัยสระ
นั้นอยู่และพวกมันพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัวล้างให้สะอาด
จนไม่มีตมแล้วเคี้ยวกลืนกินเหง้าและรากบัวนั้น เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมบำรุง
วรรณะและกำลังของช้างเหล่านั้น และช้างเหล่านั้นก็ไม่เข้าถึงความตาย หรือ
ความทุกข์ปางตายมีข้อนั่นเป็นเหตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนลูกช้างตัวเล็ก ๆ

เอาอย่างช้างใหญ่เหล่านั้น และพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัว
แล้วไม่ล้างให้สะอาดเคี้ยวกลืนกินทั้งที่มีตม เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมไม่บำรุง
วรรณะและกำลังของลูกช้างเหล่านั้น และพวกมั่นย่อมเข้าถึงความตาย หรือ
ความทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตเลียนแบบเรา
จักตายอย่างคนกำพร้า อย่างนั้นเหมือนกัน .
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประพันธคาถา ว่าดังนี้ :-
[397] เมื่อช้างใหญ่คุมฝูง ขุดดิน
กินเหง้าบัวอยู่ในสระใหญ่ ลูกช้างกินเหง้าบัว
ทั้งที่มีตมแล้วตาย ฉันใด เทวทัตเลียนแบบ
เราแล้วจักตายอย่างคนกำพร้า ฉันนั้น .

องค์แห่งทูต


[398] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ 8 ควรทำ
หน้าที่ทูต องค์ 8 เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
1. รับฟัง
2. ให้ผู้อื่นฟัง
3. กำหนด
4. ทรงจำ
5. เข้าใจความ
6. ให้ผู้อื่นเข้าใจความ
7. ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
8. ไม่ก่อความทะเลาะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ 8 นี้แล ควรทำหน้าที่ทูต.