เมนู

ด้วยกรรมนั้นเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็น
ปานนั้นโดยญาณทัสสนะ ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษา โดย
ญาณทัสสนะ จากสาวกทั้งหลาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศาสดา 5 จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิญาณวา เราเป็นผู้
มีศีลบริสุทธิ์ และว่า ศีลของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง และสาวก
ทั้งหลาย ย่อมไม่รักษาเราโดยศีล และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษาโดยศีล จาก
สาวกทั้งหลาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์. . .
. . . เป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์. . .
. . . เป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ . . .
. . . เป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะ
บริสุทธิ์ และว่า ญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง และ
สาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยญาณทัสสนะ และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษา
โดยญาณทัสสนะ จากสาวกทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคต ด้วยความพยายาม
ของผู้อื่นนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส เพราะพระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่ปริ-
นิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไปที่อยู่ตามเดิม พระตถาคตทั้งหลาย
อันพวกเธอไม่ต้องรักษา.

ปล่อยช้างนาฬาคิรี


[377] สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ มีช้างชื่อนาฬาคิรี เป็นสัตว์ดุร้าย
ฆ่ามนุษย์ ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์แล้วไปยังโรงช้างได้กล่าวกะ

พวกควาญช้างว่า พนาย เราเป็นพระราชญาติ สามารถจะแต่งตั้งผู้ที่อยู่ใน
ตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูงได้ สามารถจะเพิ่มได้ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือน
พนาย ถ้ากระนั้น เวลาใดพระสมณโคดมทรงพระดำเนินมาตรอกนี้ เวลานั้น
พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคิรีเข้าไปยังตรอกนี้ ควาญช้างเหล่านั้นรับคำพระ-
เทวทัตแล้ว ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้วทรง
ถือบาตร จีวร เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุมากรูป ทรงพระ
ดำเนินถึงตรอกนั้น ควาญช้างเหล่านั้นได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระ
ดำเนินถึงตรอกนั้น จึงปล่อยช้างนาฬาคิรีให้ไปยังตรอกนั้น ช้างนาฬาคิรีได้
แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระดำเนินมาแต่ไกลเทียว แล้วได้ชูงวง หู
ชัน หางชี้ วิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุเหล่านั้นได้แลเห็นช้างนาฬา-
คิรีวิ่งมาแต่ไกลเทียว แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า
ช้างนาฬาคิรีนี้ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์ เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จกลับเถิด ขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิด พระพุทธ
เจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย เธออย่ากลัวเลย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่
โอกาสเพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพานด้วยความพยายามของผู้อื่น.
แม้ครั้งที่สอง ภิกษุเหล่านั้น. . .
แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระ-
พุทธเจ้าข้า ช้างนาฬาคิรีนี้ ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์ เดินเข้ามายังตรอกนี้
แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จกลับเถิด ขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิด
พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย อย่ากลัวเลย ข้อที่
บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่
โอกาสเพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพานด้วยความพยายามของผู้อื่น.
[378] คราวนั้น คนทั้งหลาย หนีขึ้นไปอยู่บนปราสาทบ้าง บน
เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง บรรดาคนเหล่านั้น พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่
เลื่อมใสไร้ปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราผู้เจริญ พระมหาสมณโคดม พระ
รูปงาม จักถูกช้างเบียดเบียน.
ส่วนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส ฉลาด มีปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า ชาว
เราผู้เจริญ ไม่นานเท่าไรนัก พระพุทธนาคจักทรงทำสงครามกับช้าง.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาจิตไปสู่ช้างนาฬาคิรี.
ลำดับนั้น ช้างนาพาคิรีได้สัมผัสพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ลดงวงลงแล้วเข้าไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้าง
นาฬาคิรีพลางตรัสกะช้างนาฬาคิรี ด้วยพระคาถา ว่าดังนี้ :-
[379] ดูก่อนกุญชร เจ้าอย่าเข้าไป
หาพระพุทธนาค เพราะการเข้าไปหาพระ-
พุทธนาคด้วยวธกจิตเป็นเหตุแห่งทุกข์ ผู้
ฆ่าพระพุทธนาคจากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้าไม่มี
สุคติเลย เจ้าอย่าเมา และอย่าประมาท
เพราะคนเหล่านั้น เป็นผู้ประมาทแล้ว จะ
ไปสู่สุคติไม่ได้ เจ้านี่แหละ จักทำโดย
ประการที่จักไปสู่สุคติได้.

[380] ลำดับนั้น ช้างนาฬาคิรีเอางวงลูบละอองธุลีพระบาทของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพ่นลงบนกระหม่อม ย่อตัวถอยออกไปชั่วระยะที่แลเห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ไปสู่โรงช้างแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ของตน.
ก็แล ช้างนาฬาคิรีเป็นสัตว์อันพระพุทธนาคทรงทรมานแล้วด้วย
ประการนั้น.
[381] สมัยนั้น คนทั้งหลายขับร้องคาถานี้ ว่าดังนี้ :-
คนพวกหนึ่งย่อมฝึกช้างและม้า ด้วย
ใช้ท่อนไม้บ้าง ใช้ขอบ้าง ใช้แส้บ้าง
สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงพระคุณใหญ่ทรง
ทรมานช้างโดยมิต้องใช้ท่อนไม้ มิต้องใช้
ศัสตรา.

คนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระเทวทัตนี้เป็น
คนมีบาป ไม่มีบุญ เพราะพยายามปลงพระชนม์พระสมณโคดม ผู้มีฤทธิ์มาก
อย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ลาภสักการะของพระเทวทัตเสื่อม ส่วนลาภสัก-
การะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเจริญยิ่งขึ้น.
[382] สมัยต่อมา พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะแล้ว พร้อมทั้ง
บริษัทได้เที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉัน ประชาชนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงเที่ยวขอใน
สกุลทั้งหลายมาฉันเล่า ของที่ปรุงเสร็จแล้วใครจะไม่พอใจ ของที่ดีใครจะไม่
ชอบใจ.
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ พวก
ที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษ ตีเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัต

พร้อมกับบริษัท จึงเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระะผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า .. . ตรัสถามว่า ดูก่อนเทวทัต ข่าวว่า เธอ
พร้อมกับบริษัทเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉัน จริงหรือ.
พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
โภชนะสำหรับ 3 คนในสกุลแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 3 ประการ
คือ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก 1 เพื่ออยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก 1 เพื่อ
อนุเคราะห์สกุลด้วยหวังว่า ภิกษุทั้งหลายที่มีความปรารถนาลามกอย่าอาศัยฝัก
ฝ่ายทำลายสงฆ์ 1 ในการฉันเป็นหมู่ พึงปรับอาบัติตามธรรม.

เรื่องวัตถุ 5 ประการ


[383] ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ พระกตโมรก-
ติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร พระสมุทรทัตตะ แล้วได้กล่าวว่า มาเถิดท่าน
ทั้งหลาย พวกเราจักทำสังฆเภท จักรเภท แก่พระสมณโคดม เมื่อพระเทวทัต
กล่าวอย่างนี้แล้ว.
พระโกกาลิกะได้กล่าวว่า พระสมณโคดมมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
พวกเราจักทำสังฆเภท จักรเภท แก่สมณโคดมอย่างไรได้.
พระเทวทัตกล่าวว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย พวกเราจักเข้าไปเฝ้าพระ-
สมณโคดม แล้วทูลขอวัตถุ 5 ประการว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคุณแห่ง
ความเป็นผู้มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย พระพุทธ