เมนู

ฟางออก ให้ฝัดข้าวลีบออก ให้โปรยละออง ให้ขนขึ้นฉาง ครั้นถึงฤดูฝน
ต้องทำอย่างนี้ ๆ แหละต่อไปอีก.
อ. การงานไม่หมดสิ้น ที่สุดของการงานไม่ปรากฏ เมื่อไรการงานจัก
หมดสิ้น เมื่อไรที่สุดของการงานจักปรากฏ เมื่อไรเราจักขวนขวายน้อย เพียบ-
พร้อมบำเรอด้วยเบญจกามคุณเที่ยวไป.
ม. พ่ออนุรุทธะ การงานไม่หมดสิ้นสุดแน่ ที่สุดของการงาน ก็ไม่
ปรากฏ เมื่อการงานยังไม่สิ้น มารดา บิดา ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ได้ตายไปแล้ว.
อ. ถ้าเช่นนั้น พี่จงเข้าใจเรื่องการอยู่ครองเรือนเองเถิด ฉันจักออก
บวชละ.
[339] ครั้งนั้น อนุรุทธศากยะเข้าไปหามารดา แล้วกล่าวว่า ท่าน
แม่ หม่อมฉันปรารถนาจะออกบวช ขอท่านแม่จงอนุญาตให้หม่อมฉันออกบวช
เถิด เมื่ออนุรุทธศากยะกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาได้กล่าวว่า พ่ออนุรุทธะ
เจ้าทั้งสองเป็นลูกที่รักที่พึงใจ ไม่เป็นที่เกลียดชังของแม่ แม้ด้วยการตายของ
เจ้าทั้งหลายแม่ก็ไม่ปรารถนาจะจาก ไฉนแม่จะยอมอนุญาตให้เจ้าทั้งสองผู้ยังมี
ชีวิตออกบวชเล่า.
แม้ครั้งสอง . . .
แม้ครั้งที่สาม อนุรุทธศากยะได้กล่าวกะมารดาว่า ท่านแม่ หม่อมฉัน
ปรารถนาจะออกบวช ขอท่านแม่จงอนุญาตให้หม่อมฉันออกบวชเถิด.

เรื่องพระเจ้าภัททิยศากยะ


[340] สมัยนั้น พระเจ้าภัททิยศากยะได้ครองสมบัติเป็นราชาของ
พวกศากยะ และพระองค์เป็นพระสหายของอนุรุธศากยะ ครั้งนั้น มารดาของ
อนุรุทธศากยะคิดว่า พระเจ้าภัททิยศากยะนี้ครองสมบัติเป็นราชาของพวกศากยะ

เป็นพระสหายของอนุรุทธศากยะ พระองค์จักไม่อาจทรงผนวช จึงได้กล่าวกะ
อนุรุทธศากยะว่า พ่ออนุรุทธะ ถ้าพระเจ้าภัททิยศากยะทรงผนวช เมื่อเป็น
เช่นนี้ เจ้าก็ออกบวชเถิด ลำดับนั้น อนุรุทธศากยะเข้าไปเฝ้าพระเจ้าภัททิย
ศากยะ แล้วได้ทูลว่า สหาย บรรพชาของเราเนื่องด้วยท่าน.
ภ. สหาย ถ้าเช่นนั้น บรรพชาของท่านจะเนื่องด้วยเราหรือไม่เนื่อง
ก็ตาม นั่นช่างเถอะ ท่านจงบวชตามสบายของท่านเถิด.
อ. มาเถิด สหาย เราทั้งสองจักออกบวชด้วยกัน.
ภ. สหาย เราไม่สามารถจักออกบวช สิ่งอื่นใดที่เราสามารถจะทำให้
ท่านได้ เราจักทำสิ่งนั้นให้แก่ท่าน ท่านจงบวชเองเถิด.
อ. สหาย มารดาได้พูดกะเราอย่างนี้ว่า พ่ออนุรุทธะ ถ้าพระเจ้าภัททิย
ศากยะทรงผนวช เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ออกบวชเถิด สหาย ก็ท่านได้พูดไว้
อย่างนี้ว่า สหาย ถ้าบรรพชาของท่านจะเนื่องด้วยเราหรือไม่เนื่องก็ตาม นั้น
ช่างเถอะ ท่านจงออกบวชตามความสบายของท่าน มาเถิด สหาย เราทั้งสอง
จะออกบวชด้วยกัน.
ก็สมัยนั้น คนทั้งหลายเป็นผู้พูดจริง ปฏิญาณจริง จึงพระเจ้าภัททิย
ศากยะได้ตรัสกะอนุรุทธะว่า จงรออยู่สัก 7 ปีเถิด สหายต่อล่วง 7 ปีแล้ว
เราทั้งสองจึงจักออกบวชด้วยกัน.
อ. 7 ปีนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึง 7 ปี.
ภ. จงรออยู่สัก 6 ปีเถิดสหาย . . . จงรออยู่สัก 5 ปี 4 ปี 3 ปี
2 ปี 1 ปี ต่อล่วง 1 ปีแล้ว เราทั้งสองจึงจักออกบวชด้วยกัน.
อ. 1 ปีก็ยังนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึง 1 ปี.
ภ. จงรออยู่สัก 7 เดือนเถิด สหาย ต่อล่วง 7 เดือนแล้ว เราทั้ง
สองจักออกบวชด้วยกัน.

อ. 7 เดือนก็ยังนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึง 7 เดือน
ภ. จนรออยู่สัก 6 เดือนเถิด สหาย . . . จงรออยู่สัก 5 เดือน 4
เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน กึ่งเดือน ต่อล่วงกึ่งเดือนแล้ว เราทั้ง
สองจักออกบวชด้วยกัน.
อ. กึ่งเดือนก็ยังนานนัก สหาย เราไม่สามารถจะรอได้ถึงกึ่งเดือน.
ภ. จงรออยู่สัก 7 วันเถิด สหาย พอเราได้มอบหมายราชสมบัติแก่
พวกลูก ๆ และพี่น้อง.
อ. 7 วันไม่นานนักดอก สหาย เราจักรอ.

เรื่องคน 7 คน


[341] ครั้งนั้น พระเจ้าภัททิยศากยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภัคคุ
กิมพิละและเทวทัต เป็น 7 ทั้งอุบาลีซึ่งเป็นภูษามาลา เสด็จออกโดยเสนา 4
เหล่า เหมือนเสด็จประพาสราชอุทยาน โดยเสนา 4 เหล่า ไปกาลก่อน ฉะนั้น
กษัตริย์ทั้ง 6 องค์เสด็จไปไกลแล้วสั่งเสนาให้กลับ แล้วย่างเข้าพรมแดน ทรง
เปลื้องเครื่องประดับ เอาภูษาห่อแล้ว ได้กล่าวกะอุบาลีผู้เป็นภูษามาลาว่า เชิญ
พนาย อุบาลี กลับเถิด ทรัพย์เท่านี้พอเลี้ยงชีพท่านได้ละ.
[342] ครั้งนั้น อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาเมื่อจะกลับ คิดว่าเจ้าศากยะ
ทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า อุบาลีนี้ให้พระ
กุมารทั้งหลายออกบวช ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้ ไฉนเราจักบวช
ไม่ได้เล่า เขาแก้ห่อเครื่องประดับเอาเครื่องประดับนั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แล้ว
พูดว่า ของนี้เราให้แล้วแล ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำไปเถิด แล้วเข้าไปเฝ้าศากย
กุมารเหล่านั้น ศากยกุมารเหล่านั้น ทอดพระเนตรเห็นอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา
กำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงรับสั่งถามว่า พนาย อุบาลีกลับมาทำไม.