เมนู

ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายสะเดียง อารามไม่มีเครื่องล้อม แพะบ้าง
ปสุสัตว์บ้าง เบียดเบียนสิ่งที่ปลูกไว้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมรั้ว 3 อย่าง
คือ รั้วไม้ไผ่ รั้วหนาม คู ซุ้มประตูไม่มี แพะบ้าง ปสุสัตว์บ้าง ยังรบกวน
สิ่งที่ปลูกไว้ตามเดิม . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู
เครื่องไม้คร่าว บานประตูคู่ เสาระเนียด กลอนเหล็ก ผงหญ้าที่มุ่งซุ้มหล่น
เกลื่อน . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงแล้วฉาบทั้งข้าง
บนทั้งข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลีอง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร
ดอกจอกห้ากลีบ อารามเป็นตม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้โรยหินแร่ หินแร่ไม่พอ . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ปูหินเรียบ น้ำขัง . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบาย
น้ำ.
[240] สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีพระราช-
ประสงค์จะทรงสร้างปราสาทปูนขาวถวายสงฆ์ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเกิด
สนเท่ห์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเครื่องมุงชนิดไรไว้บ้างหนอ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตเครื่องมุง 5 ชนิด คือ กระเบื้อง 1 หิน 1 ปูนขาว 1 หญ้า 1
ใบไม้ 1
ภาณวารที่ 1 จบ

เรื่องอนาถบิณฑิกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก


[ 241] สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี เป็นน้องเขยของราชคห
เศรษฐี ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีไปเมืองราชคฤห์ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง.

[242] สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น จึงได้สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย
ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกัน
จัดหาอาหารที่มีรสอร่อย.
[243] ขณะนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีได้คิดว่า เมื่อเรามาคราวก่อน
ท่านคหบดีผู้นี้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว สนทนาปราศรัยกับเราผู้เดียว บัดนี้
เขามีท่าทีเปลี่ยนไป สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย ถ้ากระนั้นพวกท่าน
จงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ๆ
บางทีคหบดีผู้นี้จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือ
จักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยง
ในวันรุ่งขึ้นกระมัง.
[244] ครั้นราชคหเศรษฐีสั่งทาสและกรรมกรแล้ว เข้าไปหาอนาถ-
บิณฑิกคหบดี ได้นั่งสนทนากัน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อนาถบิณฑิกคหบดี-
ได้ถามว่า ท่านคหบดี คราวก่อนเมื่อฉันมาแล้ว ท่านได้จัดทำธุระทุกอย่าง
เสร็จแล้วก็สนทนากับฉันผู้เดียว บัดนี้ท่านนั้นมัวสาละวนสั่งทาสและกรรมกรว่า
ถ้ากระนั้นพวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกัน
จัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ๆ บางทีท่านคหบดี จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคลหรือ
หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กระมัง.
ราชคหเศรษฐีตอบว่า ท่านคหบดี ฉันจะได้มีงานอาวาหมงคล หรือ
วิวาหมงคล ก็หาไม่ แม้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพล
ฉันก็มิได้เชิญเสด็จมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ ที่ถูกฉันประกอบมหายัญ คือ ฉันได้
นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อเลี้ยงในวันพรุ่งนี้.

อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้จ๊ะ.
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้จ้ะ.
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร . ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ๊ะ.
อ. ท่านคหบดี แม้เสียงว่า พุทธะ นี้ก็อยากที่จะหาได้ในโลก
ท่านคหบดี ฉันสามารถจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในเวลานี้ได้ไหม.
ร. ท่านคหบดี เวลานี้ยังไม่ควรที่จะเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พรุ่งนี้ท่านจึงจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มี-
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
[245] หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีนอนนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น
อารมณ์ว่า พรุ่งนี้ เราจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ข่าวว่า เธอ ลุกขึ้นโนกลางคืนถึงสามครั้งเข้าใจว่า สว่าง
แล้ว จึงได้เดินไปโดยทางอันจะไปประตูป่าสีตวัน พวกอมนุษย์เปิดประตูให้
ขณะเมื่อเดินออกจากพระนคร แสงสว่างได้หายไป ความมืดปรากฏแทน
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิดแล้ว เธอได้คิด
กลับจากที่นั้นอีก.
[ 246] ขณะนั้น สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถา
ว่าดังนี้.

ช้าง 1 แสน ม้า 1 แสน รถม้า
อัสดร 1 แสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชร 1
แสน ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวที่ 16 แห่งการย่าง
เท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด
ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่าน
คหบดี ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอย
กลับเลย.

[247] ทันใดนั้น ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถ-
บิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า อันใด
ได้มีแล้ว อันนั้น ได้สงบแล้ว
แม้ครั้งที่สอง . . .
แม้ครั้งที่สาม แสงสว่างหายไป ความมืดได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิก-
คหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง เกล้าได้บังเกิด เธอคิคจะ
กลับจากที่นั้นอีก แม้ครั้งที่สาม สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียง
ว่าดังนี้ :-
ช้าง 1 แสน ม้า 1 แสน รถม้าอัสดร
1 แสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชร 1 แสน
ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวที่ 16 แห่งการย่างเท้าไป
ก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่าน
คหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่าอย่าถอยกลับเลย.

แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิก-
คหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว
อันนั้นได้สงบแล้ว จึงอนาถบิณฑิกคหบดีเดินเข้าไปยังสีตวันแล้ว.
[248] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นจงกรมในที่แจ้ง ณ
เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นเดินมา
แต่ไกลเทียว ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้นแล้วได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า มาเถิดสุทัตตะ ทันใดนั้น อนาถ-
บิณฑิกคหบดี เบิกบานใจ ดีใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกชื่อเรา แล้ว
เข้าไปเฝ้าซบเศียรลงแทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า พระองค์
ประทับสำราญ หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
[349] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบโดยคาถา ว่าดังนี้ :-
พราหมณ์ผู้ดับทุกข์ได้แล้ว ย่อมอยู่
เป็นสุขแท้ทุกเวลา ผู้ใดไม่ติดในกาม มีใจ
เย็น ไม่มีอุปธิ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่าง
ได้แล้ว บรรเทาความกระวนระวายในใจ
ถึงความสงบแห่งจิตเป็นผู้สงบระงับแล้ว
ย่อมอยู่เป็นสุข.

[250] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่อนาถ
บิณฑิกคหบดี คือ บรรยายถึงทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม
ขณะที่พระองก์ทรงทราบว่า อนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตควรแก่การงาน มีจิตอ่อน

มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตเลื่อมใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรม
เทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ เหตุ
ให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

อนาถบิณฑิกคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม


ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมี
ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่
อนาถบิณฑิกคหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับ
น้ำย้อม ฉะนั้น.
[251] ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรม
แล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศ
จากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำ
สอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ขอพระพุทธเจ้านี้ถึงพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระ
พุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแด่วันนี้เป็นต้น และ
ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหาร เพื่อเจริญบุญกุศล ปิติ
และปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ของข้าพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
อาราธนา โดยดุษณีภาพ ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรับอาราธนาแล้วจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม ทำประทักษิณกลับไป.