เมนู

มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว ข้าพเจ้านั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้
ประพฤติละเมิดกิจอันไม่ควรแก่สมณะเป็นอันมาก ทั้งที่กล่าวด้วยวาจา
และพยายามทำด้วยกาย ข้าพเจ้าระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าหลง ได้
ทำสิ่งนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย ผู้อันเธอกล่าวอยู่แม้อย่างนั้น ก็ยังโจทเธอ
อยู่ตามเดิมว่า ท่านต้องอาบัติแล้วจงระลึกอาบัติเห็นปานนี้ แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ได้ยินว่าภิกษุทั้งหลายโจทภิกษุคัคคะ.... จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียน.....ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์
จงให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุคัคคะผู้หายวิกลจริตแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงให้อย่างนี้ คัคคะภิกษุนั้นพึง
เข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระ-
โหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขอ ว่าดังนี้:-

คำขออมูฬหวินัย


ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าวิกลจริต มีจิตแปรปรวนเสีย
แล้ว ข้าพเจ้านั้นวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติ
ละเมิดกิจอันไม่ควรแก่สมณะเป็นอันมาก ทั้งที่กล่าวด้วย
วาจาและพยายามทำด้วยกาย ภิกษุทั้งหลายโจทข้าพเจ้า

ด้วยอาบัติที่ข้าพเจ้าวิกลจริต มีจิตแปรปรวน ประพฤติ
ละเมิดต้องแล้วว่า ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติ
เห็นปานนี้ ข้าพเจ้ากล่าวกะภิกษุเท่านั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ทั้งทลาย ข้าพเจ้าวิกลจริต มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว
ข้าพเจ้านั้นวิกลจริล มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิด
กิจอันไม่ควรแก่สมณะเป็นอันมาก ทั้งที่กล่าวด้วยวาจา
และพยายามทำด้วยกาย ข้าพเจ้าระลึกอาบัตินั้นไม่ได้
ข้าพเจ้าหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายผู้อันข้าพเจ้า
กล่าวอยู่แม้อย่างนั้นก็ยังโจทข้าพเจ้าอยู่ตามเดิมว่า ท่าน
ต้องอาบัติแล้ว จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้ ท่านเจ้าข้า
ข้าพเจ้านั้น หายวิกลจริตแล้ว ขออมูฬหวินัยกะสงฆ์
พึงขอแม้ครั้งที่สอง....
พึงขอแม้ครั้งที่สาม.... ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าวิกล
จริต มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว ข้าพเจ้านั้นวิกลจริต มี
จิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดกิจอันไม่ควรแก่สมณะ
เป็นอันมาก ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย
ภิกษุทั้งหลายโจทข้าพเจ้าด้วยอาบัติที่ข้าพเจ้าวิกลจริต มี
จิตแปรปรวนประพฤติละเมิดต้องแล้วว่า ท่านต้องอาบัติ
แล้ว จงระลึกอาบัติเห็นปานนี้ ข้าพเจ้ากล่าวกะภิกษุ
เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิกลจริต มี
จิตแปรปรวนเสียแล้ว ข้าพเจ้านั้นวิกลจริต มีจิตแปร

ปรวน ได้ประพฤติละเมิดกิจอันไม่ควรแก่สมณะเป็นอัน
มาก ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย ข้าพเจ้า
ระลึกอาบัติไม่ได้ ข้าพเจ้าหลงได้ทำสิ่งนี้แล้ว ภิกษุทั้ง-
หลายผู้อันข้าพเจ้ากล่าวอยู่แม้อย่างนี้ ก็ยังโจทข้าพเจ้าอยู่
ตามเดิมว่า ท่านต้องอาบัติแล้วจงระลึกอาบัติเห็นปานนี้
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นหายวิกลจริตแล้ว ขออมูฬหวินัย
กะสงฆ์ แม้ครั้งที่สาม.

[601] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทรามด้วย
ญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาให้อมูฬหวินัย


ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า คัคคะภิกษุนี้
วิกลจริตมีจิตแปรปรวน เธอวิกลจริต มีจิตแปรปรวน
ได้ประพฤติละเมิดกิจอันไม่ควรแก่สมณะเป็นอันมาก ทั้ง
ที่กล่าวด้วยวาจาและพยายามทำด้วยกาย ภิกษุทั้งหลาย
โจทคัคคะภิกษุด้วยอาบัติที่เธอวิกลจริต มีจิตแปรปรวน
ประพฤติละเมิดต้องแล้วว่า ท่านต้องอาบัติแล้ว จงระลึก
อาบัติเห็นปานนี้ เธอกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย
ข้าพเจ้าวิกลจริต มีจิตแปรปรวนเสียแล้ว ข้าพเจ้านั้น
วิกลจริต มีจิตแปรปรวน ได้ประพฤติละเมิดกิจอันไม่
ควรแก่สมณะเป็นอันมาก ทั้งที่กล่าวด้วยวาจาและพยา-
ยามทำด้วยกาย ข้าพเจ้าระลึกอาบัตินั้นไม่ได้ ข้าพเจ้า