เมนู

มีความประสงค์จะให้ท่านพระทัพพมัลลบุตรเคลื่อนจากพรหมจรรย์ จึงได้
ให้นางใส่ไคล้
ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็พวกคุณโจทท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วย
ศีลวิบัติอันหามูลมิได้หรือ
ภิกษุทั้งสองนั้นรับว่า อย่างนั้น ขอรับ
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย....ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ จึงได้โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วย
ศีลวิบัติอันหามูลมิได้เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ได้ยินว่าภิกษุเมตติยะและภิกษุภุมมชกะโจททัพพมัลลบุตร ด้วย
ศีลวิบัติอันไม่มีมูล จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

ทรงติเตียน


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน.... ครั้นแล้วทรงทำธรรมมีกถา
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์
จงให้สติวินัยแก่ทัพพมัลลบุตรผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงให้อย่างนี้ ทัพพมัลลบุตรนั้น
พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่ง
กระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขอ ว่าดังนี้:-

คำขอสติวินัย


ท่านเจ้าข้า ภิกษุเมตติยะและภิกษุภุมมชกะนี้
โจทข้าพเจ้าด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล ข้าพเจ้านั้นถึงความ
ไพบูลย์แห่งสติแล้ว ขอสติวินัยกะสงฆ์
พึงขอแม้ครั้งที่สอง....
พึงขอแม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ภิกษุเมตติยะ
และภิกษุภุมมชกะนี้ โจทข้าพเจ้าด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล
ข้าพเจ้านั้นถึงความไพบูลย์แห่งสติแล้ว ขอสติวินัยกะ
สงฆ์ แม้ครั้งที่สาม.

[598] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย
ญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาให้สติวินัย


ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุเมตติยะ
เเละภิกษุภุมมชกะนี้ โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีล
วิบัติอันไม่มีมูล ท่านพระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้ถึงความ
ไพบูลย์แห่งสติแล้ว ขอสติวินัยกะสงฆ์ ถ้าความพร้อม
พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สติวินัย แก่ท่านพระ
ทัพพมัลลบุตรผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติแล้ว นี้เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุเมตติยะ
และภิกษุภุมมชกะนี้ โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีล