เมนู

7. สงฆ์ธรรมวาที ยังอธรรมวาทีบุคคลให้ยินยอม ให้พินิจ ให้
เพ่ง ให้ใคร่ครวญ ให้เห็น ให้เห็นตามว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้
สัตถุศาสน์ ท่านจงถืออย่างนี้ จงชอบอย่างนี้ ถ้าอธิกรณ์นั้นระงับอย่างนี้
ชื่อว่าระงับโดยธรรม เป็นสัมมุขาวินัย
8. สงฆ์ธรรมวาที ยังภิกษุอธรรมวาทีมากรูปให้ยินยอม ให้
พินิจ ให้เพ่ง ให้ใคร่ครวญ ให้เห็น ให้เห็นตามว่า นี้ธรรม นี้
วินัย นี้สัตถุศาสน์ พวกท่านจงถืออย่างนี้ ถ้าอธิกรณ์นั้นระงับอย่างนี้
ชื่อว่าระงับโดยธรรมเป็นสัมมุขาวินัย
9. สงฆ์ธรรมวาที ยังสงฆ์อธรรมวาทีให้ยินยอม ให้พินิจ ให้
เพ่ง ให้ใคร่ครวญ ให้เห็นตามว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านจงถืออย่างนี้ จงชอบอย่างนี้ ถ้าอธิกรณ์นั้นระงับอย่างนี้ ชื่อว่า
ระงับโดยธรรม เป็นสัมมุขาวินัย.
ธรรมฝ่ายขาว 9 อย่าง จบ

เรื่องพระทัพพมัลลบุตร


[589] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนคร
ราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระทัพพมัลลบุตร มีอายุ 7 ปีนับแต่เกิด
ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสาวกจะพึง

บรรลุ ท่านได้บรรลุแล้วโดยลำดับทั้งหมด อนึ่ง ท่านไม่มีกรณียกิจ
อะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก.
[590] ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้
เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เราแลมีอายุ 7 ปีนับแต่เกิด ได้ทำ
ให้แจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ
เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่งเล่า เราไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่ง
ขึ้นไป หรือกรณียกิจที่เราทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาสั่งสมอีก เรา
ควรทำความช่วยเหลือแก่สงฆ์อย่างไรหนอ ลำดับนั้น ท่านพระทัพพ-
มัลลบุตรได้คิดว่า มิฉะนั้น เราควรแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหาร
แก่สงฆ์.
[591] ครั้นท่านพระทัพพมัลลบุตรออกจากที่เร้นในเวลาเย็น
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง เเล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า
หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ณ ตำบลนี้ได้เกิดความวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า ข้า-
พระพุทธเจ้าแล มีอายุ 7 ปีนับแต่เกิด ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต
คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสาวกจะบรรลุ ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุ
แล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่งเล่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่ง
ขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ข้าพระพุทธเจ้าทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสม
อีก ข้าพระพุทธเจ้าควรทำความช่วยเหลือสงฆ์อย่างไรหนอ พระพุทธ-
เจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า นั้นคิดตกลงใจว่า ถ้ากระไร ข้าพระพุทธเจ้า

ควรแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์ ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนา
จะแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์ พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ ทัพพะ ถ้าเช่นนั้น
เธอจงแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์เถิด ท่านพระทัพพ-
มัลลบุตรทูลรับสนองพระพุทธานุญาตแล้ว.

สมมติภิกษุแต่งตั้งเสนาสนะเป็นต้น


[592] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ใน
เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงสมมติทัพพมัลล-
บุตรให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหาร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ เบื้องต้นพึง
ขอให้ทัพพะรับ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์
ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติ


ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อม
พรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติท่านพระทัพพ-
มัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งเสนาสนะและแจกอาหาร นี้
เป็นญัตติ