เมนู

และในปาริวาสิกวัตตาธิการนี้ ภิกษุผู้ควรแก่มูลายปฏิกัสสนาเป็น
ต้น พึงทราบว่า ตั้งอยู่ในฐานของผู้ปกตัตตะของปาริวาสิกภิกษุเป็นต้น.
วินิจฉัยในคำว่า ปาริวาสิกจตุตฺโถ เจ ภิกฺขเว ปริวาสํ
นี้ พึงทราบดังนี้ :-
การที่สงฆ์ทำปาริวาสิกภิกษุให้เป็นที่ 4 ทำกรรมมีให้ปริวาสเป็น
ต้น แก่กันและกัน ย่อมใช้ไม่ได้โดยแท้. ในกรรมมีให้ปริวาสเป็นต้น
เหล่านั้นเท่านั้น ที่ปาริวาสิกภิกษุนี้เป็นคณปูรกะไม่ได้, ในสังฆกรรมที่
เหลือ เป็นได้ และเมื่อคณะไม่ครบ พึงให้ปาริวาสิกภิกษุเก็บวัตรแล้ว
จึงทำให้เป็นคณปูรกะฉะนี้แล.
ปาริวาสิกวัตรกถา จบ

ปริวาส


ก็แลเพราะได้ฟังวัตตกถานี้ พระอุบาลีเถระผู้ทรงวินัยผู้อยู่ ณ ที่เร้น
จึงได้เกิดการรำพึงอย่างนี้ว่า วัตรสำหรับภิกษุผู้อยู่ปริวาส พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้มาก, ในวัตรนี้ รัตติเฉทย่อมมีด้วยเหตุเท่าไรหนอ?
ท่านจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามเนื้อความนั้น. แม้พระผู้
มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์แก่ท่าน.
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อถ โข
อายสฺมา อุปลิ ฯลฯ รตฺติจฺเฉทา
ดังนี้.
ใน 3 อย่างนั้น ที่ชื่อว่าการอยู่ร่วม ได้แก่ การอยู่ด้วยกันที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยมีคำเป็นต้นว่า ในที่มุงอันเดียวกันกับ
ภิกษุผู้ปกตัตตะ.