เมนู

สมันตปาสาทิกา


จุลวรรค


กัมมักขันธกวรรณนา


ตัชชนียกรรม


วินิจฉัยในกัมมักขันธกะเป็นที่ 1 แห่งจุลวรรค พึงทราบก่อน
ดังนี้ :-
บทว่า ปณฺฑุกโลหิตกา ได้แก่ชน 2 ในพวกฉัพพัคคีย์ คือ
ปัณฑุกะ 1 โลหิตกะ 1 แม้นิสิตทั้งหลายของเธอทั้ง 2 ก็ปรากฏชื่อว่า
ปัณฑุกะ และ โลหิตกะ เหมือนกัน.
สามบทว่า พลวา พลวํ ปฏิมนฺเตถ มีความว่า ท่านทั้งหลาย
จงโต้ตอบให้ดี ให้แข็งแรง.
บทว่า อลมตฺถตรา จ คือเป็นผู้สามารถกว่า.
ในองค์ 3 มี อสมฺมุขา กตํ เป็นต้น มีความว่า กรรมที่ทำคือ
ฟ้องร้องไม่พร้อมหน้าสงฆ์ ธรรมวินัย และบุคคล, ไม่สอบถามก่อนทำ,
ทำด้วยไม่ปฏิญญาแห่งบุคคลนั้นแล.
บทว่า อเทสนาคามินิยา ได้แก่ ทำด้วยอาบัติปาราชิกหรือ
สังฆาทิเสส.

บรรดาติกะเหล่านี้ 9 บท ใน 3 ติกะต้น ทรงผสมทีละบท ๆ กับ
2 บทนี้ คือ อธมฺเมน กตํ วคฺเคน กตํ ตรัสเป็น 9 ติกะ.
รวมทั้งหมดจึงเป็น 12 ติกะ ด้วยประการฉะนี้.
12 ติกะนี้แล ตรัสไว้แม้ในสุกกปักษ์ ด้วยอำนาจแห่งฝ่ายเป็น
ข้าศึกกัน.
สองบทว่า อนนุโลมิเกหิ คิหิสํสคฺเคหิ มีความว่า ด้วยการ
คลุกคลีกับคฤหัสถ์ มีความเป็นผู้มีความเศร้าโศกกับเขาเป็นต้น ซึ่ง
ไม่สมควรแก่บรรพชิต.
ข้อว่า น อุปสมฺปาเทตพฺพํ เป็นต้น มีความว่า เป็นอุปัชฌาย์
อยู่แล้ว ไม่พึงให้กุลบุตรอุปสมบท, ไม่พึงให้นิสัยแก่ภิกษุอาคันตุกะ, ไม่
พึงรับสามเณรอื่นไว้ .
สองบทว่า อญฺญา วา ตาทิสิกา ได้แก่อาบัติที่เสมอกัน.
บทว่า ปาปิฏฺฐตรา ได้แก่ อาบัติที่หนักกว่า
กรรม นั้น ได้แก่ ตัชชนียกรรม.
กรรมอันภิกษุเหล่าใดทำแล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า ผู้ทำกรรม.
ข้อว่า น สวจนี ยํ กาตพฺพํ มีความว่า คนอันภิกษุใดโจท
แล้วอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจะฟ้องท่านเป็นจำเลยในคดีนี้ และท่านอย่าก้าวออก
จากอาวาสนี้แม้ก้าวเดียว ตลอดเวลาที่อธิกรณ์นั้นยังระงับไม่เสร็จ ภิกษุ
นั้นอันตนไม่พึงทำให้เป็นผู้ให้การ.
บทว่า น อนุวาโท มีความว่า ไม่พึงรับตำแหน่งหัวหน้าในวัด.

บทว่า น โอกาโส มีความว่า ไม่พึงให้ภิกษุอื่นทำโอกาสอย่างนี้
ว่า ท่านจงทำโอกาสแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใคร่จะพูดกะท่าน.
ข้อว่า น โจเทตพฺโพ มีความว่า ไม่พึงโจทภิกษุอื่นด้วยวัตถุ
หรืออาบัติ, คือไม่พึงให้ภิกษุอื่นให้การด้วยคำว่า นี้เป็นโทษของท่านหรือ ?
ข้อว่า นํ สมฺปโยเชตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงช่วยกันและกัน
ให้ทำความทะเลาะ.
คำว่า ติณฺณํ ภิกขเว ภิกฺขูนํ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ เพื่อแสดงว่า สงฆ์สมควรลงตัชชนียกรรม ด้วยองค์แม้อันหนึ่ง ๆ.
จริงอยู่ ความเป็นผู้ทำความบาดหมาง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
เป็นองค์พิเศษ สำหรับภิกษุผู้ควรขู่, ความเป็นผู้มีอาบัติเนือง ๆ ตรัสไว้
เป็นองค์พิเศษ สำหรับภิกษุควรไร้ยศ, ความเป็นผู้ประทุษร้ายสกุล ตรัส
ไว้เป็นองค์พิเศษ สำหรับภิกษุผู้ควรขับไล่, แต่สงฆ์สมควรจะทำกรรมแม้
ทั้งหมด ด้วยองค์อันใดอันหนึ่งใน 3 องค์นี้.
หากจะมีคำท้วงว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น, คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ในจัมเปยยักขันธกะว่า สงฆ์ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรจะลงตัชชนียกรรม.
ฯ ล ฯ อัพภานผู้ควรอุปสมบท, อุบาลี กรรมไม่เป็นธรรมและกรรมไม่
เป็นวินัย ย่อมมีอย่างนี้แล ก็แลเมื่อเป็นอย่างนั้น สงฆ์ย่อมเป็นผู้มีโทษ
ดังนี้ ย่อมแย้งกับคำว่า ติณฺณํ ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ เป็นต้นนี้.
เฉลยว่า อันคำนี้จะแย้งกันหามิได้.
เพราะเหตุไร ?
เพราะใจความแห่งคำต่างกัน.

จริงอยู่ กรรมสันนิษฐานเป็นใจความแห่งคำนี้ว่า ตชฺชนีย
กมฺมารหสฺส
เป็นต้น. สภาพแห่งองค์เป็นใจความแห่งคำ เป็นต้นว่า
ติณฺณํ ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ ดังนี้. เพราะเหตุนั้น สงฆ์ประชุมกันทำกรรม
สันนิษฐานว่า จะทำกรรมชื่อนี้ แก่ภิกษุนี้ ดังนี้ ในกาลใด, ในกาลนั้น
ภิกษุนั้นเป็นผู้ชื่อว่า ควรแก่กรรม เพราะเหตุนั้นโดยลักษณะนี้ พึง
เข้าใจว่ากระทำนิยสกรรมเป็นต้น แก่ภิกษุผู้ควรแก่ตัชชนียกรรมเป็นต้น
เป็นกรรมผิดธรรม และเป็นกรรมผิดวินัย.
ก็ในองค์ทั้งหลาย มีความเป็นผู้ทำความบาดหมางเป็นต้น องค์
อันใดอันหนึ่งมีแก่ภิกษุใด. สงฆ์ปรารถนาจะทำแก่ภิกษุนั้น พึงกำหนด
กรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยองค์อันใดอันหนึ่ง ในองค์ และกรรมทั้ง
หลายตามที่ทรงอนุญาตไว้แล้ว พึงทำภิกษุนั้นให้เป็นผู้ควรแก่กรรมแล้วทำ
กรรมเถิด. วินิจฉัยในคำทั้ง 2 นี้เท่านี้ เมื่อถือเอาวินิจฉัยอย่างนี้ คำหลัง
กับคำต้นย่อมสมกัน.
ในบาลีนั้น กรรมวาจาในตัชชนียกรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้ทำความบาดหมาง แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น เมื่อจะ
ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก สงฆ์พึงทำ
กรรมวาจาด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้เป็นพาล ไม่ฉลาด. จริงอยู่ เมื่อทำอย่าง
นั้น กรรมเป็นอันทำแล้วด้วยวัตถุที่มี, และไม่เป็นอันทำด้วยวัตถุแห่ง
กรรมอื่น.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า แม้ตัชชนียกรรมนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต

ให้ทำด้วยวัตถุ กล่าวคือความเป็นผู้พาล เป็นผู้ไม่ฉลาด ดังนี้แล. ใน
กรรมทั้งปวงมีนัยเหมือนกัน.
ข้าพเจ้า จักพรรณนาวัตถุแห่งความประพฤติชอบ 18 อย่าง ใน
ปาริวาสิกักขันธกะ.
สองบทว่า โลมํ ปาเตนฺติ มีความว่า เป็นผู้หายเย่อหยิ่ง.
อธิบายว่า ประพฤติตามภิกษุทั้งหลาย.
สองบทว่า เนตฺถารํ วตฺตนฺติ มีความว่า วัตรนี้เป็นของภิกษุ
ทั้งหลายผู้ออก เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า เนตฺถารํ วัตรของผู้ออก.
อธิบายว่า ตนสามารถจะออกจากนิสสารณาด้วยวิธี 18 อย่างใด,
ย่อมประพฤติวิธี 18 อย่างอันนั้นโดยชอบ.
ถามว่า ภิกษุผู้ถูกนิสสารณา บำเพ็ญวัตรสิ้นกาลเท่าไร ?
ตอบว่า 10 วัน หรือ 20 วันก็ได้.
จริงอยู่ ในกัมมักขันธกะนี้ วัตรเป็นของที่ภิกษุพึงบำเพ็ญโดยวัน
เท่านี้เท่านั้น.

นิยสกรรม


วินิจฉัยในเรื่องพระเสยยสกะ พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า อปิสสุ ภิกฺขู ปกตตฺตา มีความว่า ก็แต่ว่าภิกษุทั้ง
หลายย่อมเป็นผู้ขวนขวายเป็นนิตย์
คำที่เหลือเช่นกับคำที่กล่าวแล้วในตัชชนียกรรมนั่นแล.