เมนู

บทว่า อภินิสีทิตํ มีความว่า (เราอนุญาต) เพื่อภิกษุนั่งทับ คือ
พิงได้.
วินิจฉัยในข้อว่า คิลาเนน ภิกฺขุนา สอุปาหเนน นี้ พึงทราบ
ดังนี้:-
ภิกษุใดจัดว่าผู้อาพาธไม่สวมรองเท้า ไม่สามารถจะเข้าบ้านได้.

เรื่องพระโสณกุฏิกัณณะ


บทว่า กุรรฆเร ได้แก่ ในเมืองมีชื่ออย่างนั้น, โคจรตามของพระ-
มหากัจจายนะนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวด้วยบทว่า กุรรฆเร นั้น.
สองบทว่า ปปาเต ปพฺพเต ได้แก่ ที่ภูเขาปปาต. สถานเป็นที่
อยู่ของท่าน พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวด้วยสองบทว่า ปปาเต ปพฺพเต
นั้น.
คำว่า โสณะ เป็นชื่อของอุบาสกนั้น. ก็และอุบาสกนั้นทรงเครื่อง
ประดับหูมีราคาโกฏิหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงเรียกกันว่า กุฏิกัณณะ ความว่า
โกฏิกัณณะ.
บทว่า เอกเสยฺยํ ได้แก่ การนอนของบุคคลผู้เดียว ความว่า
พรหมจรรย์ ประกอบด้วยการเป็นที่ประกอบความเพียรเนือง ๆ.
บทว่า ปาสาทิกํ ได้แก่ ให้เกิดความเลื่อมใส.
บทว่า ปสาทนียํ นี้ เป็นคำกล่าวซ้ำเนื้อความของบทว่า ปาสาทิกํ
นั้นแล.
บทว่า อุตฺตมทมถสมถํ ได้แก่ ความฝึกและความสงบคือปัญญาและ
สมาธิอันอุดม, ความว่า ความสงบกายและสงบจิตดังนี้ ก็ได้.



บทว่า ทนฺตํ มีความว่า ชื่อว่าผู้ทรมานแล้ว เพราะกิเลสเครื่องดิ้นรน
ซึ่งเป็นช้าศึกทั้งปวงเป็นของเด็ดขาดไปแล้ว, อธิบายว่า ผู้สิ้นกิเลสแล้ว.
บทว่า คุตฺตํ ได้แก่ ผู้คุ้มครองแล้วด้วยความป้องปก คือความ
ระวัง.
บทว่า ยตินฺทฺริยํ ได้แก่ ทรงชนะอินทรีย์แล้ว.
บทว่า นาคํ ได้แก่ ผู้เว้นจากบาป, ความว่า ผู้ปราศจากกิเลส.
หลายบทว่า ตุณฺณํ เม วสฺสานํ อจฺจเยน มีความว่า ต่อล่วงไป
สามเดือนจำเติมแต่วันบรรพชาของข้าพเจ้า.
สองบทว่า อุปสมฺปทํ อลตฺถํ ความว่า ข้าพเจ้าจึงได้อุปสมบท.
บทว่า กณฺหุตฺตรา ได้แก่ มีดินดำยิ่งนัก, ความว่า มีดินดำเป็น
ก้อนนูนขึ้น.
บทว่า โคกณฺฏกหตา คือ เป็นภาคพื้นที่ถูกทำให้เสียด้วยระแหง
กีบโคซึ่งตั้งขึ้นจากพื้นที่ถูกกีบโคเหยียบ. ได้ยินว่า รองเท้าชั้นเดียวไม่อาจ
กันระแหงกีบโคเหล่านั้นได้, พื้นแผ่นดินเป็นของแข็งขรุขระด้วยประการดังนี้.
ติณชาติมีอยู่ 4 อย่างเหล่านี้ คือ เอรคุ คือหญ้าตีนกา 1 โมรคุ คือหญ้า
หางนกยูง 1 มัชชารุ คือหญ้าหนวดแมว 1 ชันตุ คือหญ้าหางช้าง 1 ชนทั้ง
หลายย่อมทำเสื่อลำแพนและเสื่ออ่อนด้วยหญ้าเหล่านี้.
บรรดาติณชาติ 4 ชนิดนั้น หญ้าเอรคุนั้น ได้แก่หญ้าทราย; หญ้าทราย
นั้นเป็นของหยาบ; หญ้าโมรคุมียอดสีแดงละเอียดอ่อน มีสัมผัสสบาย; เสื่อที่
ทำด้วยหญ้าโมรคุนั้น เมื่อนอนแล้วพอลุกขึ้นเป็นของฟูขึ้นอีกได้. ชนทั้งหลาย
ย่อมทำแม้ซึ่งผ้าสาฎกด้วยหญ้ามัชชารุ; หญ้าชันตุมีสีคล้ายแก้วมณี.

สองบทว่า เสนาสนํ ปญฺญาเปสิ มีความว่า พระอานนท์ผู้มีอายุ
ได้ปูฟูกหรือเสื่อลำแพน. ก็แลครั้นปูแล้วจึงบอกแก่พระโสณะว่า ผู้มีอายุ พระ
ศาสดามีพระประสงค์จะอยู่ในที่มุงที่บังอันเดียวกับท่าน, เสนาสนะสำหรับท่าน
เราจัดไว้แล้ว ในพระคันธกุฏีนั่นเอง.
หลายบทว่า ปฏิกาตุ ตํ ภิกฺขุ ธมฺโม ภาสิตุ. มีความว่าธรรมจง
รับหน้าที่ต่อญาณ กล่าวคือปฏิญาณ เพื่อสวด.
บทว่า อฏฺฐกวคฺคิกานิ1 มีความว่า พระโสณะผู้มีอายุได้สวด
พระสูตร 16 สูตรมีกามสูตรเป็นต้น ที่ว่าเป็นอัฏฐกวัคคิกะ2 เหล่านั้น.
บทว่า วิสฺสฏฺฐาย คือ มี อักขระอันสละสลวย.
บทว่า อเนลคลาย มีความว่า ความเป็นวาจาประกอบด้วยโทษ
ย่อมไม่มี.
สองบาทคาถาว่า อริโ ย น รมตี ปาเป, ปาเป น รมติ สุจิ3
มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คนสะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป เพื่อ
แสดงเนื้อความวิเศษว่า จริงอยู่ บุคคลใด ประกอบด้วยคุณธรรมเครื่องเป็น
ผู้สะอาดทางกายวาจาและใจ, บุคคลนั้น ย่อมไม่ยินดีในบาป; เพราะฉะนั้น
เฉพาะพระอริยเจ้า ชื่อว่าไม่ยินดีในบาป,
หลายบทว่า อยํ ขฺวสฺส กาโล ความว่า เวลานี้แลพึงเป็นกาล.
บทว่า ปริทสฺสิ ได้แก่ สั่งมาแล้ว.
ในคำนี้ว่า อยํ ขฺวสฺส กาโล. . . . ปริทสฺสิ มีคำอธิบายดังนี้ว่า
อุปัชฌาย์ของเรา ให้เรารับทราบคำสั่งอันใดมาว่า เธอพึงทูลเรื่องนี้ด้วย เรื่อง
นี้ด้วย, เวลานี้ พึงเป็นกาลแห่งคำสั่งนั้น, เอาเถิด เราจะทูลคำสั่งนั้นเดี๋ยวนี้.

1. อฏฺฐกวคฺคิกานีติ : อฏฺฐกวคฺคภูตานิ กามสุตฺตาทีนิ โสฬสสุตฺตานีติ สารตฺถทีปนี.
2. เป็นวรรคที่ 4 แห่งสตตนิบาต ขททกนิกาย 393. 3 มหาวคฺค. ทุติย. 34.

บทว่า วินยธรปญฺจเมน คือมีอาจารย์ผู้สวดประกาศเป็นที่ 5.
วินิจฉัยในข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพปจฺจนฺติเมสุ ชน-
ปเทสุ คณงฺคณุปาหนํ
นี้ พึงทราบดังนี้:-
รองเท้าที่ทำด้วยหนังชนิดใดชนิดหนึ่ง เว้นหนังมนุษย์เสีย ย่อมควร
แม้ในถุงรองเท้า ฝักมีดและฝักกุญแจ ก็นัยนี้แล.

ว่าด้วยหนัง


ก็แลวินิจฉัยในคำว่า จมฺมานิ อตฺถรณานิ นี้ พึงทราบดังนี้:-
ภิกษุจะปูหนังแกะและหนังแพะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วนอนหรือนั่ง
ก็ควร.
วินิจฉัยในหนังมฤค พึงทราบดังนี้:-
หนังแห่งมฤคชาติ คือเนื้อทราย เนื้อสมัน เนื้อฟาน กวาง เนื้อถึก
ละมั่งเหล่านี้ เท่านั้นควร. ส่วนหนังแห่งสัตว์เหล่าอื่นไม่ควร.
ลิง ค่าง นางเห็น ชะมด และสัตว์ร้ายเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามี,
หนังของสัตว์เหล่านั้นไม่ควร.
ในสัตว์เหล่านั้น ที่ชื่อว่าสัตว์ร้าย ได้แก่ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือ
เหลือง หมี เสือดาว. แต่จะไม่ควรเฉพาะสัตว์เหล่านี้ พวกเดียวเท่านั้น หามิ
ได้; อันหนังของสัตว์เหล่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควร เว้นสัตว์
เหล่านั้นเสีย สัตว์ทั้งหลายที่เหลือ ชั้นที่สุด แม้โค กระบือ กระต่าย แมว
เป็นต้น รวมทั้งหมด พึงทราบว่า สัตว์ร้ายเหมือนกันในอรรถนี้. จริงอยู่
หนังของสัตว์ทุก ๆ ชนิดไม่ควร.