เมนู

หัวข้อประจำขันธกะ


[261] เรื่องสมเด็จพระชินวรประทับในพระนครโกสัมพีภิกษุวิวาท
กันเพราะไม่เห็นอาบัติ และยกกันเพราะเหตุเล็กน้อย. เรื่องทรงแนะนำให้
ภิกษุแสดงอาบัติ. เรื่องภิกษุผู้สนับสนุนฝ่ายถูกยกทำอุโบสถภายในสีมานั้นเอง.
เรื่องบ้านพาลกโลณการกคาม. เรื่องเสด็จพระพุทธดำเนินสู่ปาจีนวังสทายวัน.
เรื่องเสด็จพระพุทธดำเนินสู่ป่าปาริไลยกะ. เรื่องเสด็จพระพุทธดำเนินสู่
พระนครสาวัตถี. เรื่องพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระโกลิตะ
พระมหากัสสปะ พระมหากัจจานะ พระมหาโกฏฐิตะ พระมหากัปปินะ
พระมหาจุนทะ พระอนุรุทธะ พระเรวตะ พระอุบาลี พระอานนท์ พระราหุล
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี อนาถบิณฑิกคหบดี และนางวิสาขามิคารมาตา
เข้าเฝ้าทูลถามข้อปฏิบัติ. เรื่องเสนาสนะว่าง. เรื่องจัดเสนาสนะให้ว่า.
เรื่องแบ่งอามิสให้เท่า ๆ กัน. เรื่องทำสังฆสามัคคี. ภิกษุรูปไรจะให้
ฉันทะไม่ได้. เรื่องพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามสังฆสามัคคีในศาสนาของพระ
ชินเจ้า. เรื่องไม่ถูกตำหนิโดยศีล.
มหาวรรคภาคที่ 2 จบ

อรรถกถาโกสัมพิขันธกะ


วินิจฉัยในโถสัมพิขันธกะ


วินิจฉัยในโกสัมพิขันธกะ พึงทราบดังนี้:-
ในคำว่า ตํ ภิกฺขุํ อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺขิปึสุ นี้ มีอันปุพพิกถา
ดังต่อไปนี้:-

ได้ยินว่า ภิกษุ 2 รูป คือ พระวินัยธร 1 พระสุตตันติกะ 1 อยู่ใน
อาวาสเดียวกัน. ในภิกษุ 2 รูปนั้น วันหนึ่ง พระสุตตันติกภิกษุเข้าไปยังเว็จ-
กุฏิ ค้างน้ำชำระที่เหลือไว้ในภาชนะแล้วออกไป. พระวินัยธรเข้าไปทีหลัง
เห็นน้ำนั้น ออกไปแล้วจึงถามภิกษุนั้นว่า:-
ผู้มีอายุ ท่านเหลือน้ำนี้ไว้หรือ ?
ขอรับ ผู้มีอายุ
ท่านไม่รู้ว่าเป็นอาบัติในเพราะเหลือน้ำไว้นี้หรือ ?
ขอรับ ผมไม่รู้.
ผู้มีอายุ มีอาบัติเพราะเหตุนี้.
ถ้ามี, ผมจักแสดง.
ผู้มีอายุ แต่ถ้าท่านไม่แกล้ง ทำด้วยไม่มีสติ. ก็ไม่มีอาบัติ.
พระสุตตันติกะนั้น ได้เป็นผู้มีความเห็นอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ.
ฝ่ายพระวินัยธร ได้บอกแก่เหล่านิสิตของตนว่า พระสุตตันติกะนี้ แม้ต้อง
อาบัติอยู่ ก็ยังไม่รู้. นิสิตเหล่านั้น พบพวกนิสิตของพระสุตตันติกะนั้นเข้า
จึงกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ.
นิสิตเหล่านั้นจึงมาบอกแก่อุปัชฌาย์. เธอจึงกล่าวอย่างนี้ว่า วินัยธรนี้ แต่ก่อน
พูดว่า ไม่เป็นอาบัติ มาบัดนี้พูดว่า เป็นอาบัติ เธอพูดปด. นิสิตเหล่านั้น
จึงไปก่อการทะเลาะกะกันและกันอย่างนี้ว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดปด. ลำดับ
นั้น พระวินัยธรได้โอกาส จึงได้ลงอุกเขปนียกรรม เพราะไม่เห็นอาบัติแก่
เธอ. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์พึงกล่าวว่า ได้ยกวัตรภิกษุนั้น
เพราะไม่เห็นอาบัติ.
วินิจฉัยในคำว่า ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ นี้พึง
ทราบดังนี้:-

ภิกษุสงฆ์ยังไม่แตกกันก่อน, เช่นอย่างว่า เมื่อฝนตก ชนทั้งหลาย
ย่อมกล่าวว่า บัดนี้ข้าวกล้าสำเร็จแล้ว, จริงอยู่ ข้าวกล้านั้นจักสำเร็จเป็นแน่
ข้อนี้ฉันใด; ด้วยเหตุนี้ ต่อไป ภิกษุสงฆ์จักแตกกันแน่แท้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น.
จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้นแลจักแตกกันด้วยอำนาจความทะเลาะ, จักแตกกันด้วย
อำนาจสังฆเภทหามิได้; เพระเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า แตกกัน
แล้ว. ส่วนคำที่ตรัสซ้ำในข้อนี้ พึงทราบด้วยอำนาจเนื้อความที่ปรากฏ.
ข้อว่า เอตมตฺถํ ภาสิตฺวา อฏฺฐายาสนา ปกฺกามิ มีคำถามว่า
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงเสด็จหลีกไปเสีย
ตอบว่า ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสกะเหล่าภิกษุผู้ยกวัตร
ว่า ภิกษุนั้น อันท่านทั้งหลายยกวัตรแล้ว โดยมิใช่เหตุ หรือจะพึงตรัสกะ
เหล่าภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตรว่า ท่านทั้งหลายต้องอาบัติ ภิกษุ
เหล่านั้น จะพึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นฝักฝ่ายแห่งภิกษุเหล่านี้, พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นฝักฝ่ายแห่งภิกษุเหล่านี้, และผูกอาฆาต; เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงตั้งเพียงแบบแผนเท่านั้น จึงทรงภาษิตเนื้อความนั้น
แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย.
ในข้อว่า อตฺตนา ว อตฺตานํ นี้ มีความว่า ภิกษุใด นั่งในฝ่าย
แห่งเหล่าอธรรมวาที ผู้มีกรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุผู้ควรยกวัตร ถามว่า
พวกท่านกล่าวอย่างไร ได้ฟังลัทธิของพวกเธอและของอีกฝ่ายหนึ่ง ยังจิต
ให้เกิดขึ้นว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นอธรรมวาที, ภิกษุนอกจากนี้ เป็นธรรมวาที;
ภิกษุนี้คงนั่งในท่ามกลางแห่งพวกภิกษุอธรรมวาทีนั้น ย่อมเป็นนานาสังวาสก์
ของพวกเธอ; ย่อมยังกรรมให้กำเริบ, ชื่อว่ายังกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งให้กำเริบ
ด้วย เพราะข้อที่เธอไม่มาเข้าหัตถบาส. ภิกษุย่อมทำคนให้เป็นนานาสังวาสก์
ด้วยตนเอง ด้วยประการอย่างนี้.

แม้ในข้อว่า สมานสํวาสกํ นี้ มีความว่า ภิกษุใด นั่งในฝ่าย
อธรรมวาทีทราบว่า พวกนี้เป็นอธรรมวาที พวกนอกจากนี้เป็นธรรมวาที
แล้วเข้าไปในท่ามกลางของพวกนั้น, นั่งแล้วในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถืออยู่ว่า พวก
นี้เป็นธรรนวาที. ภิกษุนี้พึงทราบว่า ทำตนให้เป็นสมานสังวาสก์ด้วยตนเอง.
ในคำว่า กายกมฺมํ วจึกมฺมํ นี้ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น เมื่อ
ประหารกันด้วยกาย พึงทราบว่า ยังกายกรรมให้เป็นไป เมื่อกล่าวคำหยาบ
พึงทราบว่า ยังวจีกรรมให้เป็นไป.
สองบทว่า หตฺปรามสํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้นกระทำ
การตีกันและกันด้วยมือ ด้วยอำนาจความโกรธ.
บทว่า อธมฺมิยมาเน ได้แก่ ผู้ทำอยู่ซึ่งกิจทั้งหลาย อันไม่สมควร
แก่ธรรม.
สองบทว่า อสมฺโมทิกาย วตฺตมานาย คือ เมื่อถ้อยคำอันชวน
ให้บันเทิง ไม่เป็นไปอยู่. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะนี้เองเป็นบาลี. ความว่า เมื่อ
ถ้อยคำเป็นเครื่องบันเทิงพร้อม ไม่เป็นไปอยู่.
วินิจฉัยในข้อว่า เอตฺตาวตา น อญฺญมญฺญํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
พึงทำให้เป็น 2 แถว นั่งเว้นอุปจารไว้. ส่วนในฝ่ายผู้กระทำกรรม
สมควรแก่ธรรม เมื่อถ้อยคำอันชวนให้บันเทิงเป็นไปอยู่ พึงนั่งในแถวมีอาสนะ
คั่นในระหว่าง คือ พึงนั่งเว้นอาสนะอันหนึ่ง ๆ ไว้ในระหว่าง.
ในบทว่า มา ภณฺฑนํ เป็นต้น พึงถือเอาปาฐะที่เหลือว่า อกตฺถ
เห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำความบาดหมางกัน.
บทว่า อธมฺมวาที ได้แก่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ในพวกภิกษุผู้
ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตร. อันภิกษุนี้ เป็นผู้ใคร่ประโยชน์แด่พระผู้มี-

พระภาคเจ้า. ได้ยินว่า ความประสงค์ของภิกษุนี้ ดังนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ ถูก
ความโกรธครอบงำ ย่อมไม่เธอฟังคำของพระศาสดา, พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่า
ต้องทรงลำบากตักเตือนภิกษุเหล่านั้นเลย เพราะฉะนั้น เธอจึงทูลอย่างนั้น.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสด้วยทรงเอ็นดูแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเธอจักได้ความรู้สึกแล้วงดเว้นในภายหลังบ้าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนตฺถโต ตัดบทว่า อนตฺโถ อโต.
มีคำอธิบายว่า ความเสื่อมเสียจักมีแก่เราจากบุรุษนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนตฺถโต ได้แก่ อนตฺถโท แปลว่า บุรุษ
นั้นจักเป็นผู้ให้ความฉิบหาย. คำที่เหลือชัดเจนแล้ว .
ก็วินิจฉัยในคาถาว่า ปุถุสทฺโท เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้:-
ชนชื่อว่าผู้มีเสียงดัง เพราะเขามีเสียงมากคือใหญ่ ชนผู้เป็นเช่นเดียว
กัน ชื่อว่าชนผู้สมกัน. มีคำอธิบายว่า จริงอยู่ ชนผู้ทำความบาดหมางกันนี้
ทั้งหมด เป็นผู้มีเสียงดังเพราะเปล่งเสียงรอบด้านและเป็นเช่นกัน.
บาทคาถาว่า น พาโล โกจิ มญฺญถ มีความว่า ในชนนิกายนั้น
ใคร ๆ แม้คนหนึ่ง (ไม่) สำนึกในเลยว่า เราเป็นพาล, ทุก ๆ คนเป็นผู้มี
ความสำคัญว่า เราเป็นบัณฑิตทั้งนั้น.
บาทคาถาว่า นาญฺญํ ภิยฺโย อมญฺญรุํ มีความว่า ใคร ๆ แม้
ผู้หนึ่ง ไม่สำนึกตนเลยว่า เราเป็นพาล, และยิ่งกว่านั้น เมื่อสงฆ์แตกกันอยู่
ไม่สำนึกถึงเหตุอันหนึ่งแม้คนอื่น คือ เหตุอันนี้ว่า สงฆ์แตกกันเพราะเราเป็น
เหตุ.
บทว่า ปริมุฏฺฐา ได้แก่ ผู้หลงลืมสติ.

บาทคาถาว่า วาจาโคจรภาณิโน คือ ทำอาเทศ ร อักษรให้เป็น
รัสสะ, ความว่า ผู้มีวาจาเป็นโคจร หาใช่ผู้มีสติปัฏฐานเป็นต้น เป็นโคจรไม่.
บทว่า ภาณิโน ได้แก่ ผู้มักกล่าวถ้อยคำ.
บาทคาถาว่า ยาวจฺฉนฺติ มุขายามํ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ตน
ปรารถนาจะต่อปากกันเพียงใด, ย่อมเป็นผู้มักกล่าวยืดไปเพียงนั้น, แม้รูปหนึ่ง
ก็ไม่ทำความสยิ้วหน้าด้วยความเคารพต่อสงฆ์.
สองบทว่า เยน นีตา มีความว่า อันความทะเลาะใดนำไปสู่ความ
เป็นผู้ไม่มีละอายนี้.
สองบทว่า น ตํ วิทู มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ไม่รู้ซึ่งความทะเลาะ
นั้นว่า ความทะเลาะนี้ มีโทษอย่างนี้.
บาทคาถาว่า เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ มีความว่า ชนเหล่าใดเข้าไป
ผูกอาการที่ว่า ผู้นี้ได้ด่าเรา, เป็นต้นนั้นไว้.
บทว่า สนนฺตโน คือ เป็นของเก่า.
บทว่า ปเร มีความว่า เว้นพวกบัณฑิตเสีย ชนเหล่าอื่นจากบัณฑิต
นั้น คือ ผู้ก่อความบาดหมางกัน ชื่อว่าชนเหล่าอื่น. ชนเหล่าอื่นนั้น เมื่อทำ
การทะเลาะอยู่ท่ามกลางสงฆ์นี้ ย่อมไม่รู้เสียเลยทีเดียวว่าเราทั้งหลายยุบยับ
คือป่นปี้ ฉิบหาย ไปสู่ที่ใกล้ความตายเนือง ๆ คือ สม่ำเสมอ.
บาทคาถาว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ มีความว่า ฝ่ายชนเหล่า
ใดเป็นบัณฑิตในท่ามกลางสงฆ์นั้น ทราบชัดว่า เราทั้งหลายไปสู่ที่ใกล้แห่ง
ความตาย.

บาทคาถาว่า ตโต สมฺนนฺติ เมธคา มีความว่า จริงอยู่ ชน
เหล่านั้น เมื่อทราบอย่างนั้น ยังโยนิโสมนสิการให้เกิดขึ้น ย่อมปฏิบัติเพื่อ
ความเข้าไปสงบแห่งความหมายมั่น คือความทะเลาะเสีย.
คาถาว่า อฏฺฐิจฺฉิทา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเจ้า-
พรหมทัต และทีฆาวุกุมาร. ความว่า ความพร้อมเพรียง แม้แห่งชนเหล่านั้น
ยังมีได้, เหตุไร ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลายจะมีไม่ได้เล่า ? กระดูก
ของมารดาบิดาอันพวกท่านเหล่าใด ก็หาได้ถูกดัดเสียไม่เลย, ชีวิตก็หาได้ถูก
ผลาญเสียไม่, โค ม้าและทรัพย์ทั้งหลายก็หาได้ถูกลักไม่.
คาถาว่า สเจ ลเภถ เป็นอาทิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เพื่อแสดง
คุณแห่งสหายผู้เป็นบัณฑิตและโทษแห่งสหายผู้เป็นพาล.
บาทคาถาว่า อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ มีความว่า พึงย่ำยี
อันตรายที่ปรากฏ และอันตรายที่ซ่อนเร้นเสีย มีใจชื่นชมกับด้วยสหายนั้น มี
สติเที่ยวไป.
หลายบทว่า ราชาว รฏฺฐํ วิชิตํ มีความว่า พระราชาทรง
พระนามว่า มหาชนก และพระมหาราชาทรงพระนามว่า อรินทมะทรงละ
แว่นแคว้น คือ ดินแดงเป็นที่ยินดีของพระองค์เสีย เที่ยวไปตามลำพัง ฉันใด,
พึงเที่ยวไป ฉันนั้น.
สองบทว่า มาตงฺครญฺเญว นาโค มีความว่า เหมือนช้างใหญ่
ละโขลง เที่ยวไปในป่า.
สัตว์มีงวงเรียกช้าง.
คำว่า นาค นี้ เป็นชื่อแห่งผู้เป็นใหญ่. มีคำอธิบายว่า เหมือนอย่างว่า
ช้างใหญ่ผู้เลี้ยงมารดา เที่ยวไปในป่าแต่ลำพังทั้งไม่ได้ทำบาปทั้งหลาย ฉันใด;

อนึ่ง ช้างปาริเลยยกะ เที่ยวไปในป่าตามลำพัง, ทั้งไม่ได้ทำบาปทั้งหลาย
ฉันใด: บุคคลพึงเที่ยวไปตามลำพัง ทั้งไม่พึงทำบาปทั้งหลายก็ฉันนั้น.
หลายบทว่า ปาริเลยฺยเก วิหรติ รกฺขิตวนสณฺเฑ มีความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไปอาศัยบ้านชื่อปาริเลยยกะ. เสด็จอยู่ในรักขิต
ไพรสณฑ์.
บทว่า หตฺถินาโค ได้แก่ ช้างใหญ่.
บทว่า หตฺถิกลเภหิ ได้แก่ ลูกช้าง.
บทว่า ทตฺถิจฺฉาเปหิ ได้แก่ ลูกช้างอ่อน ซึ่งยังดื่มนม.
บทว่า ฉินฺนคฺคานิ มีความว่า เคี้ยวกินหญ้า มียอดซึ่งช้างเหล่า
นั้นไปข้างหน้า ๆ ตะพ่วนเสีย คือ คล้ายตอซึ่งเหลือจากที่เคี้ยวกินแล้ว.
ข้อว่า โอภคฺโคภคฺคํ มีความว่า อันช้างใหญ่นั้นหักให้ตกลงจากที่
สูงแล้ว.
สองบทว่า อสฺส สาขาภงคํ ความว่า ช้างเหล่านั้นย่อมเคี้ยวกิน
กิ่งไม้ที่พึงหัก ซึ่งเป็นของช้างใหญ่นั่น.
บทว่า อาวิลานิ มีความว่า ช้างใหญ่นั้น ย่อมดื่มน้ำเจือตม ซึ่ง
ช้างเหล่านั้น เมื่อลงดื่มก่อนลุยเสียแล้ว.
บทว่า โอคาหา คือจากท่า.
สองบทว่า นาคสฺส นาเคน คือ แห่งสัตว์ใหญ่ คือ ช้าง ด้วยผู้เป็น
ใหญ่ คือ พระพุทธเจ้า.
บทว่า อีสาทนฺตสฺส คือ ผู้มีงาเช่นกับงอนรถ.
บาทคาถาว่า ยเทโก รมตี วเน มีความว่า สัตว์ใหญ่ คือ ช้าง
แม้นี้ เป็นผู้เดียว คือเงียบสงัด รื่นรมย์ในป่า เหมือนผู้ประเสริฐ คือ

พระพุทธเจ้า. เพราะฉะนั้น จิตของสัตว์ใหญ่นั้น ชื่อว่า เสมอด้วย ท่านผู้
ประเสริฐ คือเป็นเช่นเดียวกัน ด้วยความยินดีในความเป็นผู้เดียว.
พึงทราบความในคำว่า ยถารนฺตํ วิหริตฺวา นี้ว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จอยู่บ้านปาริเลยยกะนั้น ตลอดไตรมาส. คำที่พูดกัน ได้แพร่
หลายไปในที่ทั้งปวงว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า อันภิกษุชาวเมือง
โกสัมพีเบียดเบียนด้วยเหตุเท่านี้ จึงเสด็จเข้าป่าอยู่ตลอดไตรมาส.
หลายบทว่า อถ โข โกสมฺพิกา อุปาสกา มีความว่า ครั้งนั้น
แล พวกอุบายสกชาวเมืองโกสัมพี ได้พึงถ้อยคำที่เจรจากันนี้.
ข้าพเจ้าจักพรรณนาเภทกรวัตถุ 18 มีคำว่า อธมฺมํ ธมฺโม เป็นต้น
ในสังฆเภทขันธกะ.
บทว่า อาทายํ ได้แก่ ฝั่งแห่งลัทธิ.
บทว่า วิวิตฺตํ ได้แก่ ว่าง.
หลายบทว่า ตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุํ โอสาเรตฺวา มีความว่า
พาภิกษุผู้ถูกยกวัตรนั้น ไปนอกสีมา ให้แสดงอาบัติแล้ว เรียกเข้าหมู่ด้วยกรรม
วาจา.
สองบทว่า ตาวเทว อุโปสโถ มีความว่า พึงทำสามัคคีอุโบสถ
ตามนัยที่กล่าวแล้วในอุโปสถขันธกะในวันนั้นทีเดียว.
หลายบทว่า อมูลา มูลํ คนฺตฺวา มีความว่า ไม่ออกจากมูลไป
หามูล อธิบายว่า ไม่วินิจฉัยวัตถุนั้น.
ข้อว่า อยํ วุจฺจติ อุปาลี สงฺฆสามัคฺคี อตฺถาเปตา พฺยญฺชนุ-
เปตา
มีความว่า สังฆสามัคคีนี้ ปราศจากอรรถ แต่อาศัยเพียงพยัญชนะว่า
สังฆสามัคคดี นี้.

อรรถแห่งคาถา


สองบทว่า สงฺฆสฺส กิจฺเจสุ มีความว่า เมื่อกิจทีจะพึงกระทำ เกิด
ขึ้นแก่สงฆ์.
บทว่า มนฺตนาสุ ได้แก่ เมื่อการปรึกษาวินัย.
สองบทว่า อตฺเถสุ ชาเตสุ ได้แก่ เมื่อเนื้อความแห่งวินัยเกิดขึ้น.
บทว่า วินิจฺฉเยสุ ได้แก่ ครั้นวินิจฉัยอรรถเหล่านั้นแล.
บทว่า มหตฺถิโก ได้แก่ ผู้มีอุปการะมาก.
บทว่า ปคฺคหารโห ได้แก่ สมควรเพื่อยกย่อง.
บาทคาถาว่า อนานุวชฺโช ปฐเมน สีลโต มีความว่า ใน
ชั้นต้น ทีเดียว ใคร ๆ ก็ติเตียนไม่ได้โดยศีลก่อน.
บทว่า อเวกฺขิตาจาโร คือ ผู้มีอาจาระอันคนพิจารณาแล้ว ได้แก่
ผู้มีอาจาระอันตนคอยตรวจตราแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า มีปกติ ทำความรู้สึก
ตัว ในเมื่อมองดู ในเมื่อเหลียวแล.
ส่วนในอรรถกถาทั้งหลายแก้ว่า ผู้มีอาจาระไม่ปกปิด คือผู้ระวังตัวดี.
บทว่า วิสยฺห ได้แก่ องอาจ.
สองบทว่า อนุยฺยุตฺตํ ภณํ คือ เมื่อพูด ไม่นอกเหตุอันควรคือ
ไม่เข้ากัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า จริงอยู่ บุคคลนั้น ย่อมพูดไม่นอก
เหตุอันควร, คือไม่พูดปราศจากเหตุด้วยความริษยา หรือด้วยอำนาจความ
ลำเอียง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ยังประโยชน์ให้เสีย. ฝ่ายบุคคลผู้พูดด้วย
ความริษยา หรือด้วยอำนาจความลำเอียง ชื่อว่าย่อมยังประโยชน์ให้เสีย
บุคคลนั้นไปในบริษัทย่อมประหม่าและสะทกสะท่าน, บุคคลใด ไม่เป็นผู้เช่น
นี้, บุคคลนี้สมควรเพื่อยกย่อง.