เมนู

ท่านเหล่านั้นก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
อนุรุทธะพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ ไม่ลำบาก
ด้วยอาหารบิณฑบาตหรือ ?
พวกท่านพระอนุรุทธะกราบทูลว่า พวกข้าพระพุทธเจ้า ยังพอทนได้
ยังพอให้อัตภาพเป็นไปได้ และพวกข้าพระพุทธเจ้า ไม่ลำบากด้วยอาหาร
บิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนพวกอนุรุทธะ ก็พวกเธอยังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดอง
กัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่
หรือ ?
อ. ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านั้นยังพร้อมเพรียงกัน ยังปรองดองกัน ไม่
วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ โดยส่วน
เดียว พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนพวกอนุรุทธะ พวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่
วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้า มองดูกันด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ ด้วย
วิธีอย่างไรเล่า ?

สมัคคีธรรม


อ. พระพุทธเจ้าข้า ในข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความติดอย่างนี้ว่า เป็น
ลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็น
ปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้น ได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม
เมตตามโนกรรมไว้ในท่านเหล่านี้ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ข้าพระพุทธเจ้านั้นมี
ความติดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิต

ของท่านเหล่านี้เท่านั้น ดังนี้แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่าน
เหล่านี้แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกัน ก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือน
ดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้า.
ฝ่ายท่านพระนันทิยะและท่านพระกิมพิละ ต่างได้กราบทูลคำนี้แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความติดอย่างนี้ว่า
เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราได้คืออยู่ร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีเห็น
ปานนี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้น ได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตา-
มโนกรรมไว้ในท่านเหล่านั้น ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ข้าพระพุทธเจ้านั้นมีความ
คิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงวางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่าน
เหล่านี้เท่านั้น ดังนี้ แล้ววางจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจจิตของท่านเหล่านั้น
แหละ กายของพวกข้าพระพุทธเจ้าต่างกันก็จริงแล แต่จิตเป็นเหมือนดวงเดียว
กัน พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ยังปรองดอง
กัน ไม่วิวาทกัน เป็นดุจน้ำนมสดกับน้ำ มองดูกันด้วยดวงตาอัน เป็นที่รักอยู่
ด้วยวิธีอย่างนี้แล พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนพวกอนุรุทธะ ก็พวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
เผากิเลส มีตนส่งไปอยู่หรือ ?
อ. พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มี
ตนส่งไปอยู่โดยส่วนเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนพวกอนุรุทธะ พวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผา
กิเลส มีตนส่งไปอยู่ ด้วยวิธีอย่างไรเล่า ร
อ พระพุทธเจ้าข้า ในข้อนี้ บรรดาพวกข้าพระพุทธเจ้า รูปใด
บิณฑบาตลับจากบ้านก่อน รูปนั้นก็ปูอาสนะตั้งน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า

กระเบื้องเช็ดเท้าไว้ ล้างสำรับกับข้าวแล้วตั้งไว้ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ รูปใด
บิณฑบาตกลับจากบ้านทีหลัง ถ้ามีอาหารที่ฉันแล้วเหลืออยู่ ถ้าต้องการก็ฉัน
ถ้าไม่ต้องการ ก็เททิ้งในที่ปราศจากของเขียวสด หรือล้างเสียในน้ำที่ไม่มีตัว
สัตว์ รูปนั้นรื้ออาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กรเบื้องเช็ดเท้า ล้างสำรับ
กับข้าวแล้วเก็บไว้เก็บน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดโรงฉัน รูปใดเห็นหม้อน้ำฉัน หม้อ
น้ำใช้ หรือหม้อน้ำในวัจจกุฎีว่างเปล่า รูปนั้นก็ตักน้ำตั้งไว้ ถ้ารูปนั้นไม่
สามารถ พวกข้าพระพุทธเจ้าก็กวักมือเรียกเพื่อนมา แล้วช่วยกันตักยกเข้าไป
ตั้งไว้ แต่พวกข้าพระพุทธเจ้ามิได้บ่นว่า เพราะข้อนั้น เป็นเหตุเลย และพวก
ข้าพระพุทธเจ้า นั่งประชุมกัน ด้วยธรรมมีกถาตลอดคืนยังรุ่งทุก ๆ 5 วัน พวก
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ประมาท มีตนส่งไปอยู่ ด้วยวิธีอย่างนี้แล พระพุทธ-
เจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชี้แจง ให้ท่านพระอนุรุทธะ
ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมพิละ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางตำบล
บ้านปาริไลยกะ เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านปาริไลยกะ ทราบว่าพระ-
องค์ประทับอยู่ที่โคนไม้รังใหญ่ ในไพรสณฑ์รักขิตวัน เขตตำบลบ้าน
ปาริไลยกะนั้น.

เรื่องช้างใหญ่ปาริไลยกะ


[249] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปในที่สงัดทรงหลีกเร้น
อยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งพระทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราวุ่นด้วยภิกษุ
ชาวเมืองโกสัมพีที่ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความ
อื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น อยู่ไม่สำราญเลย เดี๋ยวนี้ เราว่างเว้นจาก