เมนู

พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช จึงมีพระบรมราชโองการสั่งเจ้าพนักงาน
ทั้งหลายว่า ดูก่อนพนาย ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงเอาเชือกที่เหนียว ๆ มัดพระ
เจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมกับ พระมเหสี มัดให้แน่น ให้มีพระพาหาไพล่หลัง
กล้อนพระเกสา แล้วนำตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทุกแห่ง ด้วยวัชฌเภรีมี
สำเนียงอันคมคาย แล้วให้ออกไปทางประตูค้านทักษิณ บั่นตัวออกเป็น 4
ท่อนวางเรียงไว้ในหลุม 4 ทิศ ทางด้านทักษิณแห่งพระนคร.
พวกเขาทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นดังพระกระแสรับสั่ง
พระพุทธเจ้าข้า ดังนั้นแล้ว ได้เอาเชือกอย่างเหนียวมัดพระเจ้าทีฆีติโกศลราช
พร้อมกับมเหสี มัดให้แน่นให้มีพระพาหาไพล่หลัง กล้อนพระเกสาแล้วนำ
ตระเวนไปตามถนน ตามตรอกทั่วทุกแห่งด้วยวัชฌเภรีมีสำเนียงอันคมคาย.
ครั้งนั้น ทีฆาวุราชกุมารได้ทรงดำริดังนี้ ว่า นานมาแล้วที่เราได้เยี่ยม
พระชนกชนนี ถ้ากระไร เราพึงไปเฝ้าเยี่ยมพระชนกชนนี ครั้นแล้วเข้าไปสู่
พระนครพาราณสี ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าพนักงานทั้งหลายเอาเชือกอย่าง
เหนียว ๆ มัดพระชนกชนนีจนแน่น ให้มีพระพาหาไพล่หลัง กล้อนพระเกสา
แล้ว นำตระเวนไปตามถนนตามตรอก ด้วยวัชฌเภรีมีสำเนียงอันคมคาย ครั้น
แล้วเสด็จพระดำเนินเข้าไปใกล้พระชนกชนนี

พระราโชวาทของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช


พระเจ้าทีฆีติโกศลราช ได้ทอดพระเนตรเห็นทีฆาวุราชกุมารเสด็จพระ-
ดำเนินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้ตรัสพระบรมราโชวาทนี้แก่ทีฆาวุราชกุมาร
ว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อม
ไม่ระงับได้เพราะไม่จองเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร.

เมื่อท้าวเธอตรัสอย่างนี้แล้ว เจ้าพนักงานเหล่านั้น ได้ทูลคำนี้แด่ท้าว
เธอว่า พระเจ้าทีฆีติโกศลราชนี้เป็นผู้วิกลจริตจึงบ่นเพ้ออยู่ ที่ฆาวุของพระ
องค์คือใคร พระองค์ตรัสอย่างนี้กะใครว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้า
อย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่
จองเวร
พระเจ้าทีฆีติโกศลราช ตรัสว่า พนาย เราไม่ได้เสียจริตบ่นเพ้ออยู่ แต่
ผู้ใดรู้เรื่อง ผู้นั้นจักเข้าใจ.
พระเจ้าทีฆีติโกศลราช ได้ตรัสพระบรมราโชวาทนี้แก่ทีฆาวุราชกุมาร
เป็นคำรบสองว่า . . .
พระเจ้าทีฆีติโกศราช ได้ตรัสพระบรมราโชวาทนี้แก่ทีฆาวุราชกุมาร
เป็นคำรบสามว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้ง
หลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับ ได้เพราะไม่จองเวร
เจ้าพนักงานเหล่านั้น ได้ทูลคำนี้แค่พระเจ้าทีฆีติโกศลราชเป็นคำรบ 3
ว่า เจ้าทีฆีทิโกศลนี้เป็นผู้วิกลจริต จึงบ่นเพ้ออยู่ ทีฆาวุของพระองค์คือใคร
พระองค์ตรัสกะใครอย่างนี้ว่า เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้ง
หลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร.
พระเจ้าทีฆีติโกศลราชตรัสว่า พนาย เราไม่ได้เสียจริตบ่นเพ้ออยู่
แต่ผู้ใดรู้เรื่อง ผู้นั้นจักเข้าใจ.
พนักงานเหล่านั้น จึงได้นำพระเจ้าทีฆีติโกศลราชพร้อมกับพระมเหสี
ไปตามถนน ตามตรอกทั่วทุกแห่ง แล้วให้ออกไปทางประตูด้านทักษิณ บั่น
พระกายเป็น 4 ท่อน วางเรียงไว้ในหลุม 4 ทิศ ด้านทักษิณแห่งพระนคร
วางยามคอยระวังเหตุการณ์ไว้แล้วกลับไป ครั้งนั้น ทีฆาวุราชกุมาร เข้าไปสู่

พระนครพาราณสี นำสุรามาเลี้ยงพวกเจ้าหน้าที่อยู่ยาม เมื่อเวลาที่คนเหล่านั้นเมา
ฟุบลง ทีฆาวุราชกุมารจึงจัดหาฟืนมาวางเรียงกันไว้ ยกพระบรมศพของพระ-
ชนกชนนีขึ้นสู่พระจิตกาธาร ถวายพระเพลิง แล้วประนมพระหัตถ์ทำประ-
ทักษิณพระจิตกาธาร 3 รอบขณะนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ประทับ
อยู่ชั้นบนแห่งปราสาทอันประเสริฐได้ทอดพระเนตรเห็นทีฆาวุราชกุมาร กำลัง
ทรงประนมพระหัตถูทำประทักษิณพระจิตการธาร 3 รอง ครั้นแล้วได้ทรงพระ-
ดำริแน่ในพระทัยว่า เจ้าคนนั้นคงเป็นญาติหรือสายโลหิต ของพระเจ้าทีฆิติ-
โกศลราชแน่นอน น่ากลัวจะก่อความฉิบหายแก่เรา ช่างไม่มีใครบอกเราเลย.
ครั้งนั้น ทีฆาวุราชกุมารเสด็จหลบเข้าป่าไป ทรงกันแสงร่ำไห้ จน
พอแก่เหตุ ทรงซับน้ำพระเนตร แล้วเสด็จเข้าพระนครพาราณสี ไปถึงโรง
ช้างใกล้พระบรมมหาราชวัง แล้วได้ตรัสคำนี้แก่นายหัตถาจารย์ว่า ท่านอาจารย์
ข้าพเจ้าปรารถนาจะศึกษาศิลปะ.
นายหัคถาจารย์ตอบว่า ถ้ากระนั้น เชิญมาศึกษาเถิดพ่อหนุ่มน้อย
อยู่มาวันหนึ่ง ทีฆาวุราชกุมาร ทรงตื่นบรรทมตอนปัจจุสมัยแห่งราตรีแล้ว
ทรงขับร้อง และดีดพิณคลอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ที่โรงช้าง.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ทรงตื่นบรรทมเวลาปัจจุสมัยแห่งราตรี
ได้ทรงสดับเสียงเพลงและเสียงพิณที่ดีดคลอเสียงอัน เจื้อยแจ้วดังแว่วมาทางโรง
มงคลหัตถี จึงมีพระดำรัสถามพวกมหาดเล็กว่า แน่ะพนาย ใครตื่นในเวลาเช้า
มืดแห่งราตรีแล้ว ขับร้องและดีดพิณแว่วมาทางโรงช้าง.
พวกมหาดเล็กกราบทูลว่า ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า
ปกกระหม่อม ชายหนุ่มศิษย์ของนายหัตถาจารย์ชื่อโน้น ตื่นในเวลาเข้ามืดแห่ง
ราตรีแล้ว ขับร้องและดีดพิณคลอเสียงอันเจื้อยแจ้วดังที่โรงช้าง พระพุทธเจ้าข้า

พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัส ว่า พนาย ถ้ากระนั้น จงพาชายหนุ่ม
มาเฝ้า พวกเขาทูลรับ สนองพระบรมราชโองการแล้ว พาทีฆาวุราชกุมารมาเฝ้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงได้ตรัสถามทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อชายหนุ่ม เจ้า
ตื่นในเวลาเช้าแห่งราตรีแล้ว ขับร้องและดีดพิณคลอเสียงอันเจื้อยแจ้วดังทาง
โรงช้างหรือ ?
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับว่า เป็นดังพระกระแสรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อชายหนุ่ม ถ้ากระนั้น เจ้าจง
ขับร้องและดีดพิณไป.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นดังพระกระแส
รับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ดังนั้น แล้วประสงค์จะให้ทรงโปรดปราน จึงขับร้อง
และดีดพิณด้วยเสียงไพเราะ.
ทีนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อชายหนุ่ม เจ้าจงอยู่รับ
ใช้เราเถิด.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นดังพระกระแส
รับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ดังนั้น แล้วจึงประพฤติทำนองตื่นก่อนนอนทีหลัง
คอยเฝ้าฟังพระราชดำรัสใช้ ประพฤติให้ถูกพระอัธยาศัย เจรจาถ้อยคำไพเราะ
ต่อพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ครั้นต่อมาไม่นานนักท้าวเธอทรงแต่งตั้งทีฆาวุ
ราชกุมาร ไว้ในตำแหน่งผู้ไว้วางพระราชหฤทัย ใกล้ชิดสนิทภายใน อยู่มา
วันหนึ่ง ท้าวเธอได้ตรัสคำนี้แก่ทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อชายหนุ่ม ถ้ากระนั้น
เจ้าจงเทียมรถ พวกเราจักไปล่าเนื้อ.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นดังพระราช
กระแสรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า แล้วจัดเทียมรถไว้เสร็จ ได้กราบทูลคำนี้แด่

พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชว่า ขอเดชะ รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว พระ-
พุทธเจ้าข้า บัดนี้ ขอจงทรงพระกรุณาโปรดทราบกาลอันควรเถิด พระพุทธ-
เจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช เสด็จขึ้นราชรถ ทีฆาวุ-
ราชกุมารขับราชรถไป แต่ขับราชรถไปโดยวิธีที่หมู่เสนาได้แยกไปทางหนึ่ง
ราชรถได้แยกไปทางหนึ่ง ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชเสด็จไปไกล
แล้วได้ตรัสคำนี้แก่ทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อชายหนุ่ม ถ้ากระนั้น เจ้าจงจอดรถ
เราเหนื่อยอ่อนจักนอนพัก.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นดังพระราช
กระแสรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ดังนั้นแล้วจอคราชรถนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นดิน
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช จึงทรงพาดพระเศียรบรรทมอยู่บนตักของทีฆาวุ
ราชกุมาร เมื่อท้าวเธอทรงเหน็ดเหนื่อยมา เพียงครู่เดียวก็บรรทมหลับ.
ขณะนั้น ทีฆาวุราชกุมารคิดถึงความหลังว่า พระเจ้าพรหมทัตกาสิก-
ราชนี้แล ทรงก่อความฉิบหายแก่พวกเรามากมาย ท้าวเธอทรงช่วงชิงรี้พล
ราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหารของพวกเราไป
และยังได้ปลงพระชนมชีพพระชนกชนนีของเราเสียด้วย เวลานี้เป็นเวลาที่เรา
พบคู่เวร ดังนี้จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝัก แต่เจ้าชายได้ทรงยั้งพระทัยไว้ได้
ในทันทีว่า พระชนกได้ทรงสั่งเราไว้เมื่อใกล้สวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่า
เห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อม
ระงับได้เพราะไม่จองเวร การที่เราจะละเมิดพระดำรัสสั่งของพระชนกนั้น ไม่
สมควรแก่เราเลย ดังนี้ แล้วสอดพระแสงขรรค์เข้าไว้ในฝัก.
ทีฆาวุราชกุมาร ได้ทรงคิดถึงความหลังเป็นคำรบสองว่า. . .

ทีฆาวุราชกุมาร ได้ทรงคิดถึงความหลังเป็นคำรบสามว่า พระเจ้า
พรหมทัตกาสิกราชนี้แล ทรงก่อความฉิบหายแก่พวกเรามากมาย ท้าวเธอทรง
ช่วงชิงรี้พลราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหารของ
พวกเราไป และยังได้ปลงพระชนมชีพพระชนกชนนีของเราเสียด้วย เวลานี้เป็น
เวลาที่เราพบคู่เวรดังนี้ จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝัก แต่ก็ทรงยั้งพระทัยไว้
ได้ทันที เป็นค้ำรบสามว่า พระชนกได้ตรัสสั่งไว้เมื่อใกล้สวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ
เจ้าอย่าเห็นแก่ยาวเจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่
ย่อมระงับ ได้เพราะไม่จองเวร การที่เราจะละเมิดพระดำรัสสั่งของพระชนกนั้น
ไม่สมควรแก่เราเลยดังนี้ แล้วทรงสอดพระแสงขรรค์เข้าไว้ในฝักตามเติม
ขณะนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ทรงกลัว หวั่นหวาด สะดุ้ง
พระทัยรีบเสด็จลุกขึ้น ทีฆาวุราชกุมารได้กราบทูลคำนี้แด่พระเจ้าพรหมทัต-
กาสิกราชในทันทีว่าขอเดชะ เพราะอะไรหรือพระองค์จึงทรงกลัว หวั่นหวาด
สะดุ้งพระทัย รีบเสด็จลุกขึ้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสตอบว่า พ่อชายหนุ่ม ฉันฝันว่า
ทีฆาวุราชกุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชฟาดฟันฉันด้วยพระแสงขรรค์
ณ ที่นี้ เพราะเหตุนั้น ฉันจึงกลัว หวั่นหวาด ตกใจรีบลุกขึ้น
ทันใดนั้น ทีฆาวุราชกุมารจับพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช
ด้วยพระหัตถ์ซ้าย ชักพระแสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วได้กล่าวคำขู่แก่
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คือ ทีฆาวุราช-
กุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น พระองค์ทรงก่อความฉิบหาย-
แก่พวกข้าพระพุทธเจ้ามากมาย คือ ทรงช่วงชิงรี้พล ราชพาหนะ ชนบท
คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ และคลังธัญญาหาร ของข้าพระพุทธเจ้าไป มิหนำ

ซ้ำยังปลงพระชนกชีพพระชนกชนนีของข้าพระพุทธเจ้าเสียด้วย เวลานี้เป็นเวลา
ที่ข้าพระพุทธเจ้าพบคู่เวรละ.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงซบพระเศียรลงแทบยุคลบาทของทีฆาวุ-
ราชกุมาร แล้วได้ตรัสคำวิงวอนแก่เจ้าชายว่า พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิต แก่ฉัน
พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิตแก่ฉันด้วยเถิด.
เจ้าชายกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าหรือจะเอื้อมอาจทูลเกล้าถวายชีวิต
แก่พระองค์ พระองค์ต่างหากควรพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระพุทธเจ้า.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อทีฆาวุ ถ้าเช่นนั้น พ่อจงให้
ชีวิตแก่ฉัน และฉันก็ให้ชีวิตแก่พ่อ.
ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช และทีฆาวุราชกุมาร ต่างได้ให้
ชีวิตแก่กันและกัน ได้จับพระหัตถ์กัน และได้ทำการสบถ เพื่อไม่ทำร้ายกัน
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงได้ตรัสดำนี้แก่ทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อทีฆาวุ ถ้า
กระนั้นพ่อจงเทียมรถไปกันเถอะ.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโอองการว่า เป็นดังพระกระแส
รับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ดังนั้น แล้วเทียมรถ ได้กราบทูลพระเจ้าพรหม.
ทัตกาสิกราชว่า รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้า บัดนี้ ขอพระ
องค์โปรดทรงทราบกาลอันควรเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงเสด็จในรถทรงแล้ว ทีฆาวุราชกุมารขับ
รถไป ได้ขับรถไปโดยวิธีไม่นานนักก็มาพบกองทหาร ครั้นพระเจ้าพรหมทัต-
กาสิกราชเสด็จเข้าสู่พระนครพาราณสีแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้เรียกประชุม
หมู่อำมาตย์ราชบริพาร ได้ตรัสถามความเห็นข้อนี้ว่า พ่อนายทั้งหลาย ถ้าพวก
ท่านพบทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช จะพึงทำอะไรแก่เขา.

อำมาตย์บางพวกกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้า
จะพึงตัดมือ จะพึงตัดเท้า จะพึ่งตัดทั้งมือและเท้า จะพึงตัดหู จะพึงตัดจมูก
จะพึงตัดทั่งหูและจมูก จะพึงตัดศีรษะพระพุทธเจ้าข้า.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อนายทั้งหลาย ชายหนุ่มผู้นี้แล
คือ ทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ใคร ๆ
จะทำอะไรไม่ได้ เพราะชายหนุ่มผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่เรา และเราก็ได้ให้ชีวิตแก่
ชายหนุ่มผู้นี้ ครั้นแล้วได้ตรัสถามความข้อนี้แก่ทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อทีฆาวุ
พระชนกของเธอได้ตรัสคำใดไว้ เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่า
เห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่เวร
ทั้งหลายย่อมระงับได้ เพราะไม่จองเวร ดังนี้ พระชนกของเธอได้ตรัสดำนั้น
หมายความว่าอย่างไร ?
ทีฆาวุราชกุมารกราบทูลว่า ขอเดชะ พระชนกของข้าพระพุทธเจ้าได้
ตรัสพระบรมราโชวาทอันใดแลไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว ดัง
นี้หมายความว่า เจ้าอย่าได้จองเวรให้ยืดเยื้อ เพราะฉะนั้น พระชนกของข้า
พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสพระบรมราโชวาทอันนี้แลไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า เจ้า
อย่าเห็นแก่ยาว พระชนกของข้าพระพุทธะเจ้า ได้ตรัสพระบรมราโชวาทอันใด
แลไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น ดังนี้ หมายความว่า เจ้าอย่า
แตกร้าวจากมิตรเร็วนัก เพราะฉะนั้น พระชนกของข้าพระพุทธเจ้า จึงได้ตรัส
พระบรมราโชวาทอันนี้แลไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น พระชนก
ของข้าพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระบรมราโชวาทอันใดแลไว้ เมื่อใกล้จะสวรรคต
ว่า พ่อทีฆาวุ เวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะ
ไม่จองเวร ดังนี้ หมายความว่าพระชนกชนนีของข้าพระพุทธเจ้า ถูกพระองค์

ปลงพระชนมชีพเสีย ถ้าข้าพระพุทธเจ้า จะพึงปลงพระชนมชีพของพระองค์
เสียบ้าง คนเหล่าใดใคร่ความเจริญแก่พระองค์ คนเหล่านั้นจะพึงปลงชีวิตข้า
พระพุทธเจ้า คนเหล่าใดใคร่ความเจริญแก่ข้าพระพุทธเจ้า คนเหล่านั้นจะพึง
ปลงชีวิตคนเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เวรนั้น ไม่พึงระงับเพราะเวร แต่มาบัด
นี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระพุทธเจ้า และข้า
พระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถวายพระชนมชีพแก่พระองค์ เป็นอันว่าเวรนั้นระงับแล้ว
เพราะไม่จองเวร พระชนกของข้าพระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสพระบรมราโชวาทอัน
นี้แลไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เวรทั้งหลายย่อมไม่งับเพราะเวรเลย
แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร พระพุทธเจ้า.
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีเลย ทีฆาวุราชกุมารนี้เป็นบัณฑิต จึงได้เข้าใจความ
แห่งภาษิต อันพระชนกตรัสแล้วโดย่อได้โดยพิสดาร แล้วทรงพระกรุณาโปรด
พระราชทานคืนรี้พล ราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลัง
ธัญญาหารอัน เป็นพระราชสมบัติของพระชนก และได้พระราชทานพระราชธิดา
อภิเษกสมรสด้วย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันติ โสรัจจะ เห็นปานนี้ ได้มีแล้วแก่พระ
ราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัสตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัย
อันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงามในธรรม
วินัยนี้แน่.
[245] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระโอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นเป็น
คำรบสามว่า อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย อย่าบาดหมางกัน อย่าแก่งแย่งกัน
อย่าวิวาทกันเลย อธรรมวาทีภิกษุรูปนั้น ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเป็นคำรบสามว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของ
แห่งธรรมได้โปรดทรงยับยั้งเถิด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดทรงมีความ
ขวนขวายน้อย ประกอบสุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่เถิด พวกข้าพระพุทธเจ้า
จักปรากฏด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง การวิวาทนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้หัวดื้อนักแล เราจะให้
โมฆบุรุษเหล่านี้เข้าใจกัน ทำไม่ได้ง่ายเลย ดังนี้ แล้วเสด็จลุกจากพระพุทธ-
อาสนะกลับไป.
ทีฆาวุภาณวาร ที่ 1 จบ

[246] ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว
ทรงถือบาตรจีวรเสด็จเข้าพระนครโกสัมพีเพื่อบิณฑบาต เสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ที่พระนครโกสัมพีแล้ว ครั้นเวลาบ่าย เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงเก็บเสนา
สนะถือบาตรจีวร ประทับยืนท่ามกลางพระสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่า
ดังนี้:-

เวรุปสมคาถา


[247] ภิกษุมีเสียงดังเป็นเสียงเดียว
กัน จะได้สำคัญตัวว่า เป็นพาล ไม่มีเลย
สักรูปเดียว ยิ่งเมื่อสงฆ์แตกกัน ก็ไม่ได้
สำคัญเหตุอื่น ภิกษุทั้งหลายลืมติ สำคัญ
ตัวว่าเป็นบัณฑิต ช่างพูด เจ้าคาราม พูดไป
ตามที่ตนปรารถนาจะยื่นปากพูด ไม่รู้สึก
ว่าความทะเลาะเป็นเหตุชักพาไป.