เมนู

พระอุบาลีทูลถามปัพพาชนียกรรมเป็นต้น


[199] ครั้งนั้น ท่านพระอุบาลีเข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลคำ
นี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า แต่สงฆ์ผู้พร้อม
เพรียงกันกลับทำในที่ลับหลัง การกระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย
หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็น
ธรรมไม่เป็นวินัย.
อุ. สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ทำกรรมที่ควรสอบถาม แต่ทำโดยไม่สอบ
ถาม. . . ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยมิได้ปฏิญาณ. . . ให้อมูฬหวินัย
แก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย. . . ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . .
ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยกากรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้
ควรตัชชนียกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำ
ปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม . . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้
ควรปฏิสารณียกรรม. . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม. . . ชักภิกษุ
ผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. . .
อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต . . . ให้ภิกษุผู้ควรอัพภาน ให้อุปสมบทกุลบุตร การ
กระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า
ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย
กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า แต่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันกลับทำเสียในที่ลับหลัง
อย่างนี้แลอุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้
สงฆ์ย่อมมีโทษ.

อุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำกรรมที่ควรสอบถาม แต่ทำโดยไม่
สอบถาม. . .ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยมิได้ปฏิญาณ . . . ให้อมูฬห-
วินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . . ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย
ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรตัชชนียกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำ
ปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม. . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรปฏิสารณียกรรม. . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม. . . ชัก
ภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติ
เดิม . . . อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต . . . ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสมบทกุลบุตร
อย่างนี้แลอุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้
สงฆ์ย่อมมีโทษ.
[200] อุ. กรรมที่ควรทำในที่พร้อมหน้า สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน
ทำในที่พร้อมหน้า การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรมเป็นวินัยหรือหนอ
พระพุทธเจ้าข้า ?
ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย.
อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำกรรมที่ควรสอบถามแล้วทำโดยการ
สอบถาม . . . ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยการปฏิญาณ . . . ให้สติวินัย
แก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย. . . ให้อมูฬหวินัย แก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . . ทำ
ตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำตัชชนียกรรมแก่
ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม . . . ทำ
ปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม. . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรปฏิสารณียกรรม . . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม . . .

ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส. . . ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหา
อาบัติเดิม. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต . . . อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน. . .
อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย
หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่า กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย กรรม
ที่ควรทำในที่พร้อมหน้า สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำในที่พร้อมหน้า อย่างนี้แล
อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่
มีโทษ.
อุบาลี สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำกรรมที่ควรสอบถามแล้วทำโดยสอบ
ถาม. . . ทำกรรมที่ควรทำตามปฏิญาณ โดยการปฏิญาณ. . . ให้สติวินัยแก่
ภิกษุผู้ควรสติวินัย. . . ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย . . .ทำตัสสปาปิย-
สิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม. . . ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร
ตัชชนียกรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณีย
กรรม . . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม . . . ให้ปริวาสแก่
ภิกษุผู้ควรปริวาส . . . ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. . .
ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต. . . อัพภานภิกษุผู้ควรอัพภาน. . . อุปสมบท
กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย
และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ.
[201] อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬิหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติ
วินัย . . . ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ครองอมูฬหวินัย การกระทำนั้น ชื่อว่า กรรม
เป็นธรรม เป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?

ภ. อุบายลี ถารกระทำนั้นชื่อว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย.
อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬห-
วินัย . . . ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกาธรรม . . . ทำตัชชนียกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม. . . ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุควร
ตัชชนียกรรม. . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม. . . ทำตัชชนียกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม . . .
ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม . . .ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้
ควรปัพพาชนียกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม . . .
ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ปฎิสารณียกรรม. . . ทำปฎิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้
ควรอุกเขปนียกรรม . . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม . . . ทำอุกเขป-
นียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส. . . ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติ . . . ให้
ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหา
อาบัติเดิม . . . ชักภิกษุผู้ควรมานัตเข้าหาอาบัติเดิม . . . อัพภานภิกษุผู้ควร
มานัต . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอัพภาน. . . ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสม-
บทกุลบุตร. . . อัพภานกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมเป็น
ธรรม เป็นวินัยหรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
ภ. อุบาลี การกระทำนั้นชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย อุบาลี
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . . ให้สติวินัยแก่ภิกษุ
ผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย
และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุ ผู้ควรอมูฬห
วินัย. . .ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำตัชชนียกรรมแก่

ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม. . . ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนีย
กรรม. . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม . . . ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุ
ผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม. . . ทำนิยส-
กรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม. . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพา
ชนียกรรม. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม. . . ทำอุก-
เขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้
ควรอุกเขปนียกรรม . . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม. . . ทำอุก-
เขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส . . . ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติ . . .
ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชัก
เข้าหาอาบัติเดิม . . . ชักภิกษุผู้ควรมานัตเข้าหาอาบัติเดิม . . . อัพภานภิกษุผู้
ควรมานัต . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอัพภาน. . . ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานอุป-
สมบทกุลบุตร. . . อัพภานกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แลอุบาลีชื่อว่ากรรม
ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
[202] อุ. สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย
. . . ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย การกระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็น
ธรรม เป็นวินัย หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
ภ. อุบาลี การกระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย.
อุ สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย . . .
ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำตัชชนียกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม . . .
ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม. . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่
ภิกษุผู้ควรปฎิสารณียกรรม. . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม
. . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส . . . ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้ควรชัก

เข้าหาอาบัติเดิม. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต. . . อัพภานภิกษุผู้ควร
อัพภาน. . . อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท การกระทำนั้นชื่อว่ากรรม
เป็นธรรม เป็นวินัย หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ?
ภ. อุบาลี การกระทำนั้น ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย อุบาลี
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้สติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . . ให้อมูฬหวินัยแก่
ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล อุบาลี ชื่อว่ากรรมเป็นธรรม เป็นวินัย
และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย . . .
ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำตัชชนียกรรม
แก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม . . . ทำ
ปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่
ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม . . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนีย
กรรม . . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรปริวาส . . . ชักเข้าหาอาบัติเดิมซึ่งภิกษุผู้
ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรมานัต . . . อัพภานภิกษุผู้
ควรอัพภาน. . . อุปสมบทกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แลอุบาลี ชื่อว่า
กรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมไม่มีโทษ.
[203] ครั้งนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ารับ สั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย
อย่างนี้แลภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการ
กระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมม่โทษ.

สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . .
ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . ท่านิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . .
ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย. . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร
สติวินัย. . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย . . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้
ควรสติวินัย. . . ชักภิกษุผู้ควรสติวินัยเข้าหาอาบัติเดิม . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควร
สติวินัย . . . อัพภานภิกษุผู้ควรสติวินัย . . . ให้ภิกษุผู้ควรสติวินัยให้อุปสมบท
กุลบุตร อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย
และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬห-
วินัยอย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการ
กระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย . . .
ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร
อมูฬหวินัย . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . . ทำอุกเขปนีย-
กรรมแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย. . .
ชักภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัยเข้าหาอาบัติเดิม . . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย
. . . อัพภานภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย . . . ให้ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัยให้อุปสมบท-
กุลบุตร. . . ใหัสติวินัยแก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลายชื่อ
ว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิย-
สิกากรรม . . . ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำปัพพา-
ชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้

ควรตัสสปาปิยสิกากรรม . . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกา
กรรม. . . ให้ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม. . . ให้สติวินัยแก่ภิกษุ
ผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม. . . ให้อมูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้ควรจตัสสปาปิยสิกากรรม
อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระ
ทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ.
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ทำนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม . . .
ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม . . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่ภิกษุผู้ควร
ปัพพาชนียกรรม. . . ทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุควรปฏิสารณียกรรม. . . ให้
ปริวาสแก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม . . . ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม
. . . ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. . . อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต. . .
ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานให้อุปสมบทกุลบุตร. . . ให้สติวินัยแก่กุลบุตรผู้ควรอุป-
สมบท. . . ให้อมูฬหวินัยแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . . ทำตัสสปาปิยสิกากรรม
แก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . . ทำตัชชนียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . .
ทำนิยสกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . . ทำปัพพาชนียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควร
อุปสมบท. . . ทำปฏิสารณียกรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท . . . ทำอุกเขปนีย-
กรรมแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . . ให้ปริวาสแก่กุลบุตรผู้ควรอุปสมบท. . .
ชักกุลบุตรผู้ควรอุปสมบทเข้าหาอาบัติเติม. . . ให้มานัตแก่กุลบุตรผู้ควรอุป-
สมบท. . . อัพภานกุลบุตรผู้ควรอุปสมบท อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า
กรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และการกระทำอย่างนี้ สงฆ์ย่อมมีโทษ

อุบาลีปุจฉาภาณวาร ที่ 2 จบ

ตัชชนียกรรม


[204] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมก่อความ
บาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์
ในเรื่องนั้นถ้าภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษาตกลงกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุ
รูปนี้แล ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว
ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เอาละ พวกเราจะลงตัชชนียกรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้เป็น
วรรคโดยไม่เป็นธรรมลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุนั้น ภิกษุรูปนั้น ไปจากอาวาสนั้น
สู่อาวาสแม้อื่น แม้ในอาวาสนั้น ภิกษุทั้งหลายก็ไปปรึกษาตกลงกัน อย่างนี้ ว่า
อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้แล ถูกสงฆ์เป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรมลงตัชชนีย-
กรรม เอาละ พวกเราจะลงตัชชนียกรรมแก่เธอดังนี้ แล้วได้พร้อมเพรียงกัน
โดยไม่เป็นธรรมลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้น ไปจากอาวาสนั้น
สู่อาวาสแม้อื่น แม้ในอาวาสนั้นภิกษุทั้งหลายก็ได้ปรึกษาตกลงกันอย่างนี้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้แล ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันโดยไม่เป็นธรรมลง
ตัชชนียกรรม เอาละ พวกเราจะลงตัชชนียกรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้เป็นวรรค
โดยธรรมลงตัชชนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นไปจากอาวาสนั้นสู่อาวาส
แม้อื่น แม้นอาวาสนั้น ภิกษุทั้งหลายก็ได้ปรึกษาตกลงกันอย่างนี้ว่า อาวุโส
ทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้แล ถูกสงฆ์เป็นวรรค โดยธรรมลงตัชชนียกรรม เอาละ
พวกเราจะลงตัชชนีกรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้เป็นวรรคโดยเทียมธรรมลง
ตัชชนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นไปจากอาวาสนั้นสู่อาวาสแม้อื่น แม้
ในอาวาสนั้น ภิกษุทั้งหลายก็ได้ปรึกษาตกลงกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุรูปนี้แล ถูกสงฆ์เป็นวรรคโดยเทียมธรรมลงตัชชนียกรรม เอาละ พวก
เราจะลงตัชชนียกรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้พร้อมเพรียงกัน โดยเทียมธรรมลง
ตัชชนียกรรมแก่ภิกษุรูปนั้น.