เมนู

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติห้าม


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ภิกษุทั้งหลาย การกระทำของ
พวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่สมควร มิใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่
ควรทำ ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนพวกเธอจึงได้ยกภิกษุผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติเสีย
เพราะเรื่องไม่สมควร เพราะเหตุไม่สมควรเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส . . . ครั้น แล้วทรงทำ
ธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่บริสุทธิ์ไม่มี
อาบัติ อันภิกษุไม่พึงยกเสีย เพราะเรื่องไม่สมควร เพราะเหตุไรสมควร รูป
ใดยกเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทันใดภิกษุเหล่านั้นลุกจากที่นั่ง ทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าซบเศียรลงที่
พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลคำนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษที่ล่วงเกินได้ล่วงพวกข้าพระพุทธเจ้าผู้เขลา ผู้หลง
ไม่ฉลาด เพราะพวกข้าพระพุทธเจ้าได้ยกโทษภิกษุที่บริสุทธิ์ หาอาบัติมิได้เสีย
เพราะเรื่องไม่สมควร เพราะเหตุไม่สมควร ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงพระ-
กรุณารับโทษที่ล่วงเกินของข้าพระพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยความเป็นโทษล่วงเกิน
เพื่อความสำรวมต่อไป พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอาเถิด โทษที่ล่วง
เกินได้ล่วงพวกเธอผู้เขลา ผู้หลง ไม่ฉลาด เพราะพวกเธอได้ยกภิกษุที่บริสุทธิ์
หาอาบัติมิได้เสีย เพราะเรื่องไม่สมควร เพราะเหตุไม่สมควร แต่เพราะพวก
เธอเห็นโทษล่วงเกิน โดยความเป็นโทษล่วงเกิน แล้วทำคืนตามธรรม เรา
รับโทษนั้นของพวกเธอละ แท้จริง ข้อที่ภิกษุเห็นโทษล่วงเกิน โดยความ
เป็นโทษล่วงเกิน แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นั่นเป็นความ
เจริญในอารยะวินัย.

อุกเขปนียกรรม


[175] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายในเมืองจัมปา ทำกรรมเห็นปานนี้
คือ ทำกรรมเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม ทำกรรมพร้อมเพรียงโดยไม่เป็นธรรม
ทำกรรมเป็นวรรคโดยธรรม ทำกรรมเป็นวรรคโดยเทียมธรรม ทำกรรม
พร้อมเพรียงโดยเทียมธรรม ภิกษุรูปเดียวยกภิกษุรูปเดียวเสียบ้าง รูป
เดียวยกภิกษุ 2 รูปเสียบ้าง รูปเดียวยกภิกษุหลายรูปเสียบ้าง รูปเดียวยกสงฆ์
เสียบ้าง 2 รูปยกภิกษุรูปเดียวเสียบ้าง 2 รูปยกภิกษุ 2 รูปเสียบ้าง 2
รูปยกภิกษุหลายรูปเสียบ้าง 2 รูปยกสงฆ์เสียบ้าง หลายรูปยกภิกษุรูปเดียว
เสียบ้าง หลายรูปยกภิกษุ 2 รูปเสียบ้าง หลายรูปยกภิกษุหลายรูปเสียบ้าง
หลายรูปยกสงฆ์เสียบ้าง สงฆ์ต่อสงฆ์ยกกันเสียบ้าง บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มัก
น้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายในเมืองจัมปา
จึงได้กระทำกรรมเห็นปานนี้เล่า คือ ทำกรรมเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม . . .
สงฆ์ต่อสงฆ์ยกกันเสียบ้าง แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายในเมืองจัมปาทำกรรมเห็นปานนี้ คือทำกรรมเป็นวรรคโดย
ไม่เป็นธรรม สงฆ์ต่อสงฆ์ยกกันเสียบ้าง จริงหรือ ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน. . . ครั้นแล้ว ทรงธรรมีกถารับสั่ง
ก็ภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-

กรรมที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้


[176] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้ากรรมเป็นวรรคโดยธรรมใช้ไม่ได้
และไม่ควรทำ.