เมนู

พระเถระทั้งสองตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว โดยประการที่จีวรเหล่านั้นเป็นของพวกท่านเท่า
นั้น จนถึงเวลาเดาะกฐิน.
สมัยต่อมา ภิกษุ 3 รูป จำพรรษาอยู่ในพระนครราชคฤห์ ประ-
ชาชนในเมืองนั้นถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ภิกษุ
เหล่านั้นจึงได้ดำริดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าภิกษุ รูปเป็น
อย่างน้อยชื่อว่าสงฆ์ แต่เรามี 3 รูปด้วยกัน และคนเหล่านี้ถวายจีวรด้วยเปล่ง
วาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ สมัยนั้น
พระเถระหลายรูป คือ ท่านพระนีลวาสี ท่านพระสาณวาสี ท่านพระโคปกะ
ท่านพระภคุ และท่านพระผลิกสันทานะ อยู่ ณ วัดกุกกุฏาราม เขตนครปาตลี-
บุตร ภิกษุเหล่านั้นจึงเดินทางไปนครปาตลีบุตร แล้วเรียนถามพระเถระ
ทั้งหลาย ๆ กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
แล้ว โดยประการที่จีวรเหล่านั้นเป็นของพวกท่านเท่านั้น จนถึงเวลาเดาะกฐิน.

เรื่องพระอุปนันท์


[165] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนันศากยบุตร จำพรรษาอยู่
ในพระนครสาวัตถี ได้ไปอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้น
ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน ภิกษุเหล่านั้น พูดอย่างนี้ว่า อาวุโส
ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ
ท่านพระอุปนันท์ ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วน
จีวรแต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ปรารถนาจะแบ่งจีวร
จึงประชุมกัน และพูดอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์

เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ท่านพระอุปนันท์ตอบว่า
อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น
แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ปรารถนาจะแบ่งจีวรจึงประชุมกัน แลก็พูดอย่างนี้
ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านั้นแล ท่านจักยินดีส่วนแบ่ง
ไหม ขอรับ ท่านพระอุปนันท์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ
แล้วได้รับจีวรแต่อาวาสแม้นั้น ถือจีวรห่อใหญ่กลับมาพระนครสาวัตถีตามเดิม.
ภิกษุทั้งหลายชมเชยอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้าอุปนันท์ ท่านเป็นผู้มีบุญ
มากจีวรจึงเกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย.
อุป. อาวุโสทั้งหลาย บุญของผมที่ไหน ผมจำพรรษาอยู่ในพระนคร
สาวัตถีนี้ ได้ไปอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง พวกภิกษุในวัดนั้น ปรารถนาจะ
แบ่งจีวร จึงประชุมกัน พวกเธอกล่าวกะผม อย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลาย
จักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ผมตอบว่า
อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น
แม้ภิกษุในวัดนั้น ก็ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกันและพวกเธอก็ได้
กล่าวกะผมอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่าน
จักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ผมตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ
แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้น ไปวัดอื่น แม้ภิกษุในวัดนั้น ก็ปรารถนาจะ
แบ่งจีวร จึงประชุมกันและกล่าวกะผมอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่ง
จีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ผมตอบว่า อาวุโส
ทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับเอาส่วนจีวรแต่อาวาสแม้นั้น เพราะ
อย่างนี้ จีวรจึงเกิดขึ้นแก่ผมมากมาย.

ภิ. พระคุณเจ้าอุปนันท์ ท่านจำพรรษาในวัคหนึ่ง แล้วยังยินดีส่วน
จีวรในอีกวัดหนึ่งหรือ ?
อุป. อย่างนั้น ขอรับ.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร จำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว จึงได้ยินดีส่วน
จีวรในอีกวัคหนึ่งเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระอุปนันท์ว่า ดูก่อนอุปนนท์
ข่าวว่าเธอจำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว ยินดีส่วนจีวรในอีกวัดหนึ่ง จริงหรือ ?
ท่านพระอุปนันท์ทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอจำ
พรรษาในวัดหนึ่งแล้ว ไฉนจึงได้ยินดีส่วนจีวรในอีกวัดหนึ่งเล่า การกระทำ
ของเธอนั้นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส...ครั้นแล้ว
ทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจำพรรษา
ในวัดหนึ่งแล้วไม่พึงยินดีส่วนจีวรในวัดอื่น รูปใดยินดี ต้องอาบัติทุกกฎ.
สมัยต่อมา ท่านพระอุปนันทศากยบุตร รูปเดียวจำพรรษาอยู่สองวัด
ด้วยคิดว่าโดยวิธีอย่างนี้ จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรามาก ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มี
ความสงสัยว่า พวกเราจักให้ส่วนจีวรแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรอย่างไรหนอ
แล้วกราบทูลเรี่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแนะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงให้
ส่วนแบ่งแก่โมฆบุรุษส่วนเดียว.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ภิกษุรูปเดียว จำพรรษาอยู่ 2 วัค ด้วยคิด
ว่า โดยวิธีอย่างนี้ จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรามาก ถ้าภิกษุจำพรรษาโนวัดโน้นกึ่ง

หนึ่ง วัดโน้น กึ่งหนึ่ง พึงให้ส่วนจีวรในวัดโน้นกึ่งหนึ่ง วัดโน้นกึ่งหนึ่ง หรือ
จำพรรษาในวัดใดมากกว่า พึงให้ส่วนจีวรในวัดนั้น.

เรื่องพระอาพาธโรคท้องร่วง


[166] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องร่วง นอน
จมกองมูตรกองคูถของตนอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีท่านอานนท์เป็น
ปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะ ได้เสด็จเข้าไปทางที่อยู่
ของภิกษุรูปนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุรูปนั้น นอนจมกองมูตรกองคูถ
ของตนอยู่ครั้นแล้วเสด็จเข้าไปใกล้ภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสถามว่า เธออาพาธ
เป็นโรคอะไรภิกษุ ?
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าอาพาธเป็นโรคท้องร่วง พระพุทธเจ้าข้า.
พ. เธอมีผู้พยาบาลไหมเล่า ภิกษุ ?
ภิ. ไม่มี พระพุทธเจ้าข้า.
พ. เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่พยาบาลเธอ ?
ภิ. เพราะข้าพระพุทธเจ้ามิได้ทำอุปการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ฉะนั้นภิกษุ
ทั้งหลายจึงไม่พยาบาลข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอไปตัก
น้ำมาเราจักสรงน้ำภิกษุรูปนี้.
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธบัญชาว่า เป็นดังนั้น พระ-
พุทธเจ้าข้าดังนี้แล้ว ตักน้ำมาถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรดน้ำ ท่านพระ
อานนท์ขัดสี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกศีรษะ ท่านพระอานนท์ยกเท้าแล้ว วาง
บนเตียง.