เมนู

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิลด้วยคาถาเหล่านี้ ว่า
ดังนี้:-
[87] ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็น
หัวหน้า สาวิตติฉันท์เป็นยอดของฉันท-
ศาสตร์ พระมหาราชเจ้าเป็นประมุขของ-
มนุษยนิกร สมุทรสาครเป็นประธานของ
แม่น้ำทั้งหลาย ดวงจันทร์ใหญ่กว่าดวงดาว
นักษัตรในอากาศ ดวงภาณุมาศใหญ่กว่า
บรรดาสิ่งของที่มีแสงร้อนทั้งหลาย ฉันใด
พระสงฆ์ ย่อมเป็นใหญ่สำหรับทายกผู้หวัง
บุญบำเพ็ญทานอยู่ฉันนั้น .

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิล ด้วยคาถาเหล่านั้น
แล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.

เตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้า


[88] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อาปณนิคมคาม
พระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุ
หมู่ใหญ่ประมาณ 1,250 รูป.
พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนครกุสินารา ได้ทรงทราบข่าวแน่ถนัดว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ประมาณ 1,250 รูป มัลลกษัตริย์เหล่านั้นได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้ใดไม่ต้อนรับ
เสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน 500 กษาปณ์ สมัย

นั้น โรชะมัลลกษัตริย์เป็นพระสหายของพระอานนท์ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครกุสินาราแล้ว พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนคร
กุสินาราได้จัดการต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์
รับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่พักทรงอภิวาท
แล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ท่านพระอานนท์ได้ปราศรัยกะโรชะมัลลกษัตริย์ผู้ประทับยืน ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่งว่า ท่านโรชะ การรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของท่านโอฬารแท้.
โรชะมัลลกษัตริย์ตรัสว่า พระคุณเจ้าอานนท์ พระพุทธเจ้าก็ดี พระ
ธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าใหญ่โต พวกญาติต่างหากได้ตั้ง
กติกาไว้ว่า ผู้ไม่ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะต้องถูกปรับสินไหม
เป็นเงิน 500 กษาปณ์ ข้าพเจ้านั้นแลได้ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเช่น
นี้เพราะกลัวพวกญาติปรับสินไหม.
ทันใดท่านพระอานนท์แสดงความไม่พอใจว่า ไฉน โรชะมัลลกษัตริย์
จึงได้ตรัสอย่างนี้ แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลคำนี้ แด่พระผู้มีพระภาคะเจ้าว่า พระพุทธ-
เจ้าข้า โรชะมัลลกษัตริย์ผู้นี้ เป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมาก และความ
เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ ของคนที่มีผู้รู้จักมากเช่นนี้ มีอิทธิพลมากนัก
ขอประทานพระวโรกาสขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์
เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะ-
มัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์
แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระ-
เมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกต้องแล้ว ได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตาม
บริเวณทั่วทุกแห่งดุจโคแน่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า
เวลานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับ อยู่
ที่ไหน เพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์
ภิกษุทั้งหลายถวายพระพรว่า ท่านโรชะ พระวิหารนั่นเขาปิดพระ-
ทวารเสียแล้ว ขอท่านโปรดสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหารนั้น ต่อย ๆ
ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้วทรงเคาะพระทวารเถิด พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจักทรงเปิดพระทวารรับท่าน ถวายพระพร.

โรชะมัลลกษัตริย์ได้ธรรมจักษุ


ขณะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ทรงสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหาร
ซึ่งปิดพระทวารเสียแล้วนั้น ค่อย ๆ ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้ว
เคาะบานพระทวาร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิดพระทวารรับ จึงโรชะมัลล-
กษัตริย์เสด็จเข้าพระวิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่งเฝ้า
อยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่โรชะ-
มัลลกษัตริย์ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา ซึ่งโทษแห่ง
กามอันต่ำทรามอันเศร้าหมอง และอานิสงส์ในความออกจากกาม ขณะเมื่อ
พระองค์ทรงทราบว่าโรชะมัลลกษัตริย์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจาก
นิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่
พระพุทธเจ้าทั้งหลายยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค