เมนู

ตติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก


มหาขันธกวรรณนา มหาวรรค


อปโลกถา


พระมหาเถระทั้งหลาย ผู้รู้เนื้อความในขันธกะ ได้สังคายนาขันธกะ
อันใด เป็นลำดับแห่งการสังคายนาปาติโมกข์ทั้ง 2. บัดนี้ถึงลำคับสังวรรณนา
แห่งขันธกะนั้นแล้ว, เพราะฉะนั้น สังวรรณนานี้จึงเป็นแต่อธิบายความยังไม่
ชัดเจนแห่งขันธกะนั้น, เนื้อความเหล่าใด แห่งบทเหล่าใด ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ได้ประกาศแล้วในบทภาชนีย์ ถ้าว่าข้าพเจ้าจะต้องกล่าวซ้ำเนื้อความเหล่านั้น
แห่งบทเหล่านั้นอีกไซร้, เมื่อไรจักจบ. ส่วนเนื้อความเหล่าใดชัดเจนแล้ว จะมี
ประโยชน์อะไรด้วยการสังวรรณนาเนื้อความเหล่านั้น. ก็แลเนื้อความเหล่าใด
ยังไม่ชัดเจน ด้วยอธิบายและอนุสนธิ และด้วยพยัญชนะ เนื้อความเหล่านั้น
ไม่พรรณนาไว้ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะทราบได้. เพราะฉะนั้น จึงมีสังวรรณนา
นัยเนื้อความเหล่านนั้น ดังนี้:-

อรรถกถาโพธิกถา


ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา
เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ
นี้.
ถึงจะไม่มีเหตุพิเศษเพราะตติยาวิภัตติ เหมือนในคำที่ว่า เตน สม-
เยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชยํ
เป็นต้น ก็จริงแล, แต่โวหารนี้ ท่านยก
ขึ้นด้วยตติยาวิภัตติเหมือนกัน เพราะเพ่งวินัย เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึง

ทราบสันนิษฐานว่า คำนั้นท่านกล่าวตามทำนองโวหารที่ยกขึ้นแต่แรกนั่น เอง.
ในคำอื่น ๆ นอกจากคำนี้ แม้อื่นอีกแต่เห็นปานนี้ก็นัยนั้น.
ถามว่า ก็อะไรเป็นประโยชน์ในการกล่าวคำนั้นเล่า ?.
ตอบว่า การแสดงเหตุทั้งแต่แรกแห่งวินัยกรรมทั้งหลาย มีบรรพชา
เป็นต้น เป็นประโยชน์.
จริงอยู่ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ประโยชน์ในการกล่าวคำนั้น ก็คือการ
แสดงเหตุตั้งแต่แรกแห่งวินัยกรรมทั้งหลาย มีบรรพชาเป็นต้นเหล่านั้น อย่าง
นี้ว่า บรรพชาและอุปสมบทอันใด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตอย่างนี้
ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้
ดังนี้1 และวัตรทั้งหลายมีอุปัชฌายวัตร อาจริยวัตรเป็นต้นเหล่าใด ซึ่งทรง
อนุญาตในที่ทั้งหลายมีกรุงราชคฤห์เป็นต้น บรรพชาอุปสมบทและอุปัชฌาย-
วัตรเป็นต้น เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว ให้
7 สัปคาห์ผ่านพ้นไปที่โพธิมัณฑ์ ทรงประกาศพระธรรมจักรในกรุงพาราณสี
แล้ว เสด็จถึงสถานนี้ ๆ โดยลำดับนี้ ทรงบัญญัติแล้วเพราะเรื่องนี้ ๆ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุรุเวลายํ. ได้แก่ ที่แดนใหญ่. อธิบายว่า
ที่กองทรายใหญ่. อีกประการหนึ่ง ทราย เรียกว่าอุรุ, เขตคัน เรียกว่าเวลา.
แลพึงเห็นความในบทนี้ อย่างนี้ว่า ทรายที่เขาขนมาเพราะเหตุที่ล่วงเขตคัน
ชื่ออุรุเวลา.
ได้ยินว่า ในอดีตสมัย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ กุลบุตรหมื่น
คนบวชเป็นดาบสอยู่ที่ประเทศนั้น วันหนึ่งได้ประชุมกันทำกติกาวัตรไว้ว่า
ธรรมดากายกรรม วจีกรรม เป็นของปรากฏแก่ผู้อื่นได้ ฝ่ายมโนกรรม หา

1. มหาวคฺค ปฐม. 42.

ปรากฏไม่ เพราะฉะนั้น ผู้ใดตรึกกามวิตกหรือพยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
คนอื่นที่จะโจทผู้นั้นย่อมไม่มี ผู้นั้นต้องโจทคนด้วยคนเองแล้ว เอาห่อ
แห่งใบไม้1 ขนทรายมาเกลี่ยในที่นี้ ด้วยตั้งใจว่า นี่พึงเป็นทัณฑกรรม จำเดิม
แต่นั้นมาผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมใช้ห่อแห่งใบไม้ขนทรายมาเกลี่ยในที่
นั้น. ด้วยประการอย่างนี้ กองทรายในที่นั้นจึงใหญ่ขึ้นโดยลำดับ. ภายหลังมา
ประชุมชนในภายหลัง จึงได้แวดล้อมกองทรายใหญ่นั้นทำให้เป็นเจดียสถาน.
ข้าพเจ้าหมายเอากองทรายนั้นกล่าวว่า บทว่า อุรุเวลายํ ได้แก่ที่แดน
ใหญ่ อธิบายว่า ที่กองทรายใหญ่. หมายเอากองทรายนั้นเองกล่าวว่า อีก
ประการหนึ่ง ทราย เรียกว่าอุรุ, เขตคัน เรียกว่าเวลา. และพึงเห็นความใน
บทนี้ อย่างนี้ว่า ทรายที่เขาขนมา เพราะเหตุที่ล่วงเขตคัน ชื่ออุรุเวลา.
บทว่า โพธิรุกฺขมูเล มีความว่า ญาณในมรรค 4 เรียกว่า โพธิญาณ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุโพธิญาณนั้นที่ต้นไม้นี้ เพราะฉะนั้นต้นไม้จึง
พลายได้นามว่า โพธิพฤกษ์ด้วย ที่โคนแห่งโพธิพฤกษ์นั้นชื่อว่า โพธิรุกขมูล.
บทว่า ปฐมาภิสมพุทฺโธ ได้แก่ แรกตรัสรู้. อธิบายว่า เป็นผู้
ตรัสรู้พร้อมเสร็จก่อนทุกอย่างทีเดียว.
บทว่า เอกปลฺลงฺเกน มีความว่า ประทับนั่ง ด้วยบัลลังก์อันเดียว
ตามที่ทรงคู้แล้วเท่านั้น ไม่เสด็จลุกขึ้นแม้ครั้งเดียว.
บทว่า วิมุตฺติสุขปฏิสํเวที มีความว่า เสวยวิมุตติสุข คือสุขที่เกิด
แต่ผลสมาบัติ.

1. หรือว่าใบไม้สำหรับห่อ ตามนัยอรรถกถา สตฺติคุมฺพชาตก ที่ท่านชักมาไว้ไน มงฺคลตฺถทีปนี
ว่า ปตฺตปูฏสฺเสวาติ. . . ปลิเวจนปณฺณสฺเสว. น่าจะเป็นอย่างที่เรียกว่า กระทง คือเอาใบ
ไม้มาเย็บมากลัดติดกันเป็นภาชนะใส่ของได้. โนโยชนา ภาค 2 หน้า 167 แก้ว่า ปตฺตปูเฎ-
นาติ ปณฺณปูเฏน.

บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ได้แก่ ปัจจยาการ. จริง ปัจจยาการท่าน
เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า อาศัยกันและกัน ยังธรรม
ที่สืบเนื่องกันให้เกิดขึ้น. ความสังเขปในบทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ นี้ เท่านี้.
ส่วนความพิสดาร ผู้ปรารถนาวินิจฉัยที่พร้อมมูลด้วยอาการทั้งปวง พึงถือเอา
จากวิสุทธิมรรค และมหาปกรณ์.
บทว่า อนุโลมปฏิโลมํ มีวิเคราะห์ว่า ตามลำดับด้วย ทวนลำดับ
ด้วย ชื่อว่าทั้งตามลำดับทั้งทวนลำดับ. ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทอย่างนี้แล
ว่า ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง 2 นั้น ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ที่ท่านกล่าว
โดยนัยว่า อวิชิชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้ เรียกว่า อนุโลม เพราะทำกิจที่ตน
พึงทำปัจจยาการนั้นนั่นเอง ที่ท่านกล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า อวิชฺชาย เตฺวว
อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ
ดังนี้ เมื่อดับเพราะนิโรธ คือไม่
เกิดขึ้นย่อมไม่ทำกิจนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ปฏิโลม เพราะไม่ทำกิจนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ปัจจยาการที่กล่าวแล้ว ตามนัยก่อนนั่นแล เป็นไปตาม
ประพฤติเหตุ นอกนี้เป็นไปย้อนประพฤติเหตุ. ก็แลความเป็นอนุโลมและปฎิโลม
ในปัจจยาการนี้ ยังไม่ต้องด้วยเนื้อความอื่นจากนี้ เพราะท่านมิได้กล่าวตั้งแต่
ต้นจนปลายและตั้งแต่ปลายจนถึงต้น.
บทว่า มนสากาสิ ตัดบทว่า มนสิ อกาสิ แปลว่า ได้ทำในพระหฤทัย
ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง 2 นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำในพระหฤทัย
ด้วยอนุโลมด้วยประการใด เพื่อแสดงประการนี้ก่อนพระธรรมสังคาหกาจารย์
จึงกล่าวคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น. ในคำนั้นผู้ศึกษาพึงทราบ
ความในทั้งปวงโดยนัยนี้ว่า อวิชฺชานี้ด้วย เป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น ชื่อ

1. วิ. ปญฺญา. ตติย. 107.

ว่า อวิชชาเป็นปัจจัย, สังขารทั้งหลายย่อมเกิดพร้อม เพราะอวิชชาอันเป็น
ปัจจัยนั้น ความสังเขปในบทว่า มนสากาสิ นี้เท่านี้. ส่วนความพิสดารผู้ต้อง
การวินิจฉัยที่พร้อมมูลด้วยอาการทุกอย่าง พึงถือเอาจากวิสุทธิมรรค1 สัมโมห-
วิโนทนี2 และอรรถกถาแห่งมหาวิภังค์. และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำใน
พระหฤหัย โดยปฏิโลมด้วยประการใด เพื่อแสดงประการนี้ ท่านจึงกล่าวคำว่า
อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เป็นต้น.
ในคำนั้นพึงทราบวินิจฉัยดังนี้ บทว่า อวิชฺชาย เตฺวว ตัดบทว่า
อวิชฺชาย ตุ เอว.
บทว่า อเสสวิราคนิโรธา มีความว่า เพราะดับไม่เหลือด้วยมรรค
กล่าวคือวิราคะ.
บทว่า สงฺขารนิโรโธ ได้แก่ ความดับ คือความไม่เกิดขึ้นแห่ง
สังขารทั้งหลาย. ก็แลเพื่อแสดงว่า ความดับแห่งวิญญาณ จะมีก็เพราะดับแห่ง
สังขารทั้งหลายที่ดับไปแล้วอย่างนั้น และธรรมทั้งหลายมีวิญญาณเป็นต้น. จะ
เป็นธรรมที่ดับดีแล้วทีเคียว ก็เพราะดับแห่งธรรมทั้งหลายมีวิญญาณเป็นต้น
ท่านจึงกล่าวคำว่า สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เป็นต้น แล้วกล่าว
คำว่า กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เป็นอันดับไปด้วยประการอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เกวลสฺส ได้แก่ทั้งมวลหรือล้วน ความว่า
ปราศจากสัตว์.
บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ได้แก่กองทุกข์.
สองบทว่า นิโรโธ โหติ มีความว่า ความไม่เกิดย่อมมี.

1. วิ. ปญฺญา. ตติยะ. 124. 2. สมฺ. วิ. 168.

สองบทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา มีความว่า เนื้อความนี้ใดที่พระ-
ธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวว่า กองทุกข์มีสังขารเป็นต้น เป็นอันเกิคขึ้นด้วย
อำนาจแห่งปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น และเป็นอันดับไปด้วยอำนาจดับแห่งปัจจัย
มีอวิชชาเป็นต้นดังนี้ ทรงทราบเนื้อความนั้นด้วยอาการทั้งปวง.
สองบทว่า ตายํ เวลายํ ได้แก่ ในเวลาที่ทรงทราบเนื้อความนั้น ๆ.
บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทานชึ่งมี
ญาณอันสัมปยุตด้วยโสมนัสเป็นเดนเกิด มีคำว่า ยทา ทเว ปาตุภวนฺติ
เป็นต้น ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งความทรงทราบเหตุและธรรมที่เกิดแต่เหตุ ใน
เนื้อความที่ทรงทราบแล้วนั้น มีคำอธิบายว่า ทรงเปล่งพระวาจาแสดงความ
เบิกบานพระหฤทัย.
เนื้อความแห่งอุทานนั้นว่า บทว่า ยทา หเว ได้แก่ ในกาลใดแล.
บทว่า ปาตุภวนฺติ ได้แก่ ย่อมเกิด. โพธิปักขิยธรรม ซึ่งให้
สำเร็จความตรัสรู้ปัจจยาการโดยอนุโลม ชื่อว่าธรรม.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาตุภวนฺติ มีความว่า แจ่มแจ้ง คือเป็น
ของชัดเจน ปรากฏด้วยอำนาจความรู้ตรัสรู้. ธรรมคืออริยสัจ 4 ชื่อว่าธรรม.
ความเพียรเรียกว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่าย่างกิเลสให้ร้อน.
บทว่า อาตาปิโน ได้แก่ ผู้มีความเพียรอันบุคคลพึงตั้งไว้ชอบ.
บทว่า ฌายโต มีความว่า ผู้เพ่งด้วยฌาน 2 คือ ด้วยการกำหนดคือ
อารัมมณูปนิชฌาน 1 ด้วยการกำหนดคือลักขณูปนิชฌาน 1.
บทว่า พฺราหฺมณสฺส ได้แก่ พระขีณาสพผู้ลอยบาปแล้ว.
หลายบทว่า อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ มีความว่า เมื่อนั้นความ
สงสัยของพราหมณ์นั้น คือผู้มีธรรมปรากฏแล้วอย่างนั้นย่อมสิ้นไป.

บทว่า สพฺพา มีความว่า ความสงสัยในปัจจยาการที่ท่านกล่าวไว้
โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อเขาถามว่า ใครเล่าหนอ ? ย่อมถูกต้องพระเจ้าข้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควรแก้1 ดังนี้ และโดยนัยเป็นต้นว่า
เมื่อเขาถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ชราและมรณะเป็นอย่างไรหนอ. ก็แล
ชราและมรณะนี้จะมีแก่ใคร ?. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควร
แก้. ดังนี้ 2 และความสงสัย 16 อย่างเป็นต้นว่า ในอดีตกาลเราได้มีแล้ว
หรือหนอ ? ซึ่งมาแล้วเพราะยังไม่ได้ตรัสรู้ปัจจยาการนั่นเอง (เหล่านี้) ทั้งหมด
ย่อมสิ้นไป คือย่อมปราศจากไป ย่อมดับไป. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่
มาทราบธรรมพร้อมทั้งเหตุ. มีอธิบายว่า เพราะทราบ คือทราบชัด ตรัสรู้
ธรรมคือกองทุกข์ทั้งมวล มีสังขารเป็นต้นพร้อมทั้งเหตุ ด้วยเหตุมีอวิชชา
เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยวาร:-
สามบทว่า อิมํ อุทานํ อิทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทาน
มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งความตรัสรู้ ความสิ้นปัจจัย
กล่าวคือนิพพานซึ่งปรากฏแล้วอย่างนี้ว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา
สงฺขารนิโรโธ
ในเนื้อความที่ทรงทราบแล้วนั้น.
ความสังเขปในอุทานนั้นดังนี้ต่อไปนี้:-
เพราะได้รู้ คือได้ทราบชัดได้ตรัสรู้นิพพานกล่าวคือความสิ้นปัจจัย
ทั้งหลาย เมื่อใดธรรมทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วปรากฏแก่พราหมณ์นั้น
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทุกอย่างที่จะพึงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้นิพพาน
ย่อมสิ้นไป.

1. สํ. นิ. 16 /ข้อ 33 2. สํ. นิ. 16/ข้อ 129

พึงทราบวินิจฉัยในตติยวาร:-
สามบทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทาน
มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งอริยมรรคที่เป็นเหตุ ทรงทราบ
เนื้อความกล่าวคือความเกิดและความดับแห่งกองทุกข์นั้น ด้วยอำนาจกิจ
และด้วยทำให้เป็นอารมณ์.
ความสังเขปในอุทานนั้นดังต่อไปนี้:- เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย
ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัด เสนา
มารด้วยโพธิปักขิยธรรมซึ่งเกิดแล้วเหล่านั้น หรือด้วยอริยมรรคเป็นเครื่อง
ปรากฏแห่งจตุสัจจธรรมาดำรงอยู่ ข้อว่า วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ ความ
ว่า ย่อมกำจัด คือผจญ ปราบเสนามาร มีประการดังกล่าวแล้ว โดยนัยเป็น
ต้นว่า การทั้งหลาย เป็นเสนาที่ 1 ของท่านดังนี้1 ดำรงอยู่.
ถามว่า กำจัดอย่างไร ?
ตอบว่า เหมือนพระอาทิตย์ส่องอากาศให้สว่างฉะนั้น.
อธิบายว่า พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว เมื่อส่องอากาศให้สว่างด้วย
รัศมีของตนแล ชื่อว่ากำจัดมืดเสีย ข้อนี้ฉันใด. พราหมณ์แม้นั้นเมื่อตรัสรู้
สัจจะทั้งหลายด้วยธรรมเหล่านั้นหรือด้วยมรรคนั้นแล ชื่อว่ากำจัดเสนามารเสีย
ได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่าใน 3 อุทาน
นี้ อุทานที่ 1 เกิดขึ้นด้วยอำนาจความพิจารณาปัจจยาการ อุทานที่ 2 เกิดขึ้น
ด้วยอำนาจความพิจารณาพระนิพพาน อุทานที่ 3 เกิดขึ้นด้วยอำนาจความ
พิจารณามรรค ด้วยประการฉะนี้.

1. ขุ. สุ. 25/ข้อ 355.

ส่วนในอุทาน1 ท่านกล่าวว่า ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท โดย
อนุโลมตลอดยามต้นแห่งราตรี โดยปฏิโลมตลอดยามที่ 2 โดยอนุโลมและปฏิ-
โลมตลอดยามที่ 3 คำนั้นท่านกล่าวหมายเอามนสิการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ให้เกิดขึ้นตลอดราตรี ด้วยทรงตั้งพระหฤทัยว่า พรุ่งนี้เราจักลุกจากอาสนะ
เพราะครบ 7 วัน. จริงอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพิจารณาส่วน
อันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ตลอดปฐมยาม และมัชฌิมยาม ด้วยอำนาจแห่งความทราบ
ชัดซึ่งปัจจยาการ และความบรรลุความสิ้นปัจจัย ซึ่งมีอานุภาพอันอุทานคาถา
2 เบื้องต้นแสดงไว้ แต่ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพิจารณาอย่างนั้น
ในราตรีวันปาฏิบท. จริงอยู่ ในราตรีเพ็ญวิสาขมาส พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ระลึกปุพเพนิวาสในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุในมัชฌิยามทรงพิจารณา
ปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลมในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุความเป็นพระ
สัพพัญญูในขณะที่จะพึงกล่าวว่า อรุณจักขึ้นเดี๋ยวนี้. อรุณขึ้นในเวลาติดต่อ
กับเวลาที่ได้ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูทีเดียว. แต่นั้นพระองค์ทรงปล่อย
วันนั้นให้ผ่านพ้นไปด้วยการนั่งขัดสมาธิฉะนั้นแล แล้วทรงพิจารณาอย่างนั้น
เปล่งอุทานเหล่านั้น ในยามทั้ง 3 แห่งราตรีวันปาฏิบทที่ถึงพร้อมแล้ว. พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอย่างนั้นในราตรีวันปาฏิบท ให้ 7 วันที่ท่านกล่าว
อย่างนี้ว่า ประทับนั่งด้วยบัลลังก์อันเดียว ที่โพธิรุกขมูลตลอด 7 วัน. นั้น
ผ่านพ้นไปที่โพธิรุกขมูลนั้นแล ด้วยประการฉะนี้แล.

อรรถกถาโพธิกถา จบ

1. ขุ. อุ. 25/38

อชปาลนิโครธกถา


เรื่องพราหมณ์หุหุกชาติ


[4] ครั้นล่วง 7 วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากควงไม้โพธิพฤกษ์เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ แล้วประทับนั่งด้วย
บัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้อชปาลนิโครธตลอด 7 วัน.
ครั้งนั้น พราหมณ์หุหุกชาติคนหนึ่ง ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึง
แล้วได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็น
ที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พราหมณ์
นั้นครั้นได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ แด่พระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคตม บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยเหตุเพียงเท่า
ไรหนอ ก็แลธรรมเหล่าไหนทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้.

พุทธอุทานคาถา


พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสีย
แล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึหึ ไม่มีกิเลสดุจน้ำ
ฝาด มีตนสำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท มี
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว พราหมณ์นั้นไม่มี
กิเลสเครื่องฟูขึ้น ในอารมณ์ไหน ๆ ในโลก
ควรกล่าวถ้อยคำว่า ตนเป็นพราหมณ์โดย
ธรรม.


อชปาลนิโครธกถา จบ