เมนู

ด้วยสั่งว่า ดูก่อนอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดดย่อ หรือโดยพิสดาร
มา ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นทุก ๆ
รูปพึงพากันไปสู่อาวาสที่มีภิกษุรู้อุโบสถ หรือวิธีทำโอสถ รู้ปาติโมกข์ หรือ
วิธีสวดปาติโมกข์ถ้าไม่พากันไป ต้องอาบัติทุกกฏ.

พึงจำพรรษาในอาวาสที่มีผู้สวดปาติโมกข์ได้


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ อยู่จำพรรษาในอาวาสแห่ง
หนึ่งมากรูปด้วยกัน ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธี
ทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
เหล่านี้พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วย
สั่งว่า ดูก่อนอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา ถ้าได้
ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปชั่วระยะกาล
7 วัน ด้วยสั่งว่า ดูก่อนอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดย
พิสดารมา ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้น
ไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสนั้น ถ้าขืนอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ

อรรถกถาอัชเฌสนา


วินิจฉัยในข้อว่า โส น ชานาติ อุโปสถํ วา เป็นอาทิดังนี้:-
พระเถระนั้น ไม่รู้จักอุโบสถ 3 อย่าง โดยต่างด้วยจาตุททสิกอุโบสถ
ปัณณรสิกอุโบสถ และสามัคคีอุโบสถ และไม่รู้จักอุโบสถ 9 อย่าง โดยต่าง
ด้วยสังฆอุโบสถเป็นต้น ไม่รู้อุโบสถกรรม 4 อย่าง ไม่รู้ปาติโมกข์ 2 อย่าง
ไม่รู้ปาติโมกขุทเทส 9 อย่าง.

ในข้อว่า โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยตฺโต ปฏิพโล นี้ มีวินิจฉัยว่า
ปาฏิโมกข์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้ฉลาดแม้ยังหนุ่มก็จริงแล.
ถึงกระนั้น ในข้อนี้ ควรทราบอธิบายดังนี้:-
ถ้าปาฏิโมกขุทเทส 5 หรือ 4 หรือ 3 ของพระเถระ ยังจำไม่ได้ ส่วน
2 อุทเทสเป็นของไม่บกพร่อง ชำนาญดี คล่องปาก ปาติโมกข์คงเนื่องด้วย
พระเถระ. แต่ถ้าแม้เพียงเท่านี้ ท่านย่อมไม่อาจเพื่อทำให้ชำนาญได้ ย่อมเป็น
หน้าที่ของพระภิกษุผู้ฉลาดเทียว.
สองบทว่า สามนฺตา อาวาสา ได้แก่ อาวาสใกล้เคียงกัน.
บทว่า สชฺชุกํ มีความว่า เพื่อปร.ะโยชน์แก่การมาในวันนั้นเอง.
วินิจฉัยในข้อว่า นวกํ ภิกขุํ อาณาเปตุํ นี้ว่า ภิกษุใดสามารถ
จะเรียนได้ พึงบังคับภิกษุเห็นปานนั้น อย่าบังคับภิกษุที่โง่.
บทว่า ถตมี1 ภนฺเต นี้ มีอธิบายว่า ดิถีเป็นที่เต็มแห่งดีถีทั้ง
หลายเท่าไร ชื่อว่า ดิถีที่เท่าไร คือกี่ค่ำ. มนุษย์ทั้งหลายหมายเอากุศลกรรม
ที่เนื่องด้วยพระผู้เป็นเจ้า ถามว่า ภิกษุมีประมาณเท่าไรขอรับ ?
ข้อว่า สลากํ วา คาเหตุํ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุถือ
เอา คือ รวมสลากแล้วนับ.
บทว่า กาลวโต ได้แก่ ต่อกาลทีเดียว ความว่า แต่เช้าทีเดียว.
ในข้อว่า ยํ กาลํ สรติ นี้ มีความว่า แม้ในเวลาเย็น จะบอกว่า
วันนี้อุโบสถ ท่านทั้งหลายจงมาประชุม ก็ควร.
แม้ในข้อว่า เถเรน ภิกฺขุนา นวํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ นี้ มีวินิจฉัย
ว่า ภิกษุผู้ทำกรรมบางอย่างก็ดี ภิกษุผู้ช่วยภาระอย่างหนึ่งตลอดกาลในกาลทุก

1. พระบาลีวินัยเป็น กติมี, ฎีกาวิมติโนทนีก็เป็น กติมี.

เมื่อทีเดียวก็ดี ภิกษุผู้สรภาณกะและธรรมกถึก เป็นต้นรูปใดรูปหนึ่งก็ดี พระ-
เถระไม่ควรสั่งบังคับ เพื่อกวาดโรงอุโบสถ ส่วนภิกษุที่เหลือพึงสั่งบังคับตาม
วาระ คือผลัดเปลี่ยนกัน หากว่า ภิกษุผู้ได้รับคำสั่งแล้ว จะไม่ได้ไม้กวาดแม้
เป็นของยืมไซร้ พึงวานกัปปิยการกหักกิ่งไม้ทำให้ควรแล้วกวาด เมื่อเธอไม่ได้
แม้ซึ่งกัปปิยการกนั้น เป็นอันได้ชื่ออ้าง. ถึงในการสั่งบังคับเพื่อให้ปูลาดอาสนะ
ก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล.
ฝ่ายภิกษุผู้รับคำสั่งแล้ว ถ้าอาสนะในโรงอุโบสถไม่มี พึงขนมาจาก
สังฆิกาวาส ปะลาดแล้ว ต้องขนไปคืน. เมื่ออาสนะไม่มีจะปูเสื่อลำแพนก็ดี
เสื่ออ่อนก็ดี ย่อมควร ถึงเมื่อเสื่ออ่อนไม่มีก็พึงวานกัปปิยการกให้ช่วยหักกิ่งไม้
ทำให้ควรแล้วปูลาดเถิด เมื่อเธอไม่ได้กัปปิยการก เป็นอันได้ข้ออ้าง.
ในการตามประทีปเล่า พระเถระก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั่น
แล. และเมื่อจะสั่งบังคับ ต้องบอกว่า น้ำมัน หรือไส้ หรือตะเกียง มีอยู่ใน
โอกาสโน้น เธอจงถือเอาสิ่งนั้น ๆ มาตามประทีป. หากน้ำมันเป็นต้น ไม่มี
ภิกษุผู้รับคำสั่งต้องแสวงหามา เมื่อแสวงหาแล้วไม่ได้ เป็นอันได้ข้ออ้าง. อีก
อย่างหนึ่ง จะพึงติดไฟให้โพลงบนกระเบื้องก็ได้.
ข้อว่า สงฺคเทตพฺโพ มีความว่า ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อันภิกษุ
ทั้งหลายพึงสงเคราะห์ ด้วยถ้อยคำอันไพเราะอย่างนี้ว่า ท่านมาแล้ว ก็ดีแหละ
ขอรับ ที่นี่ภิกษาหาได้ง่าย แกงและกับข้าวก็มี อย่าต้องเป็นกังวลเลย นิมนต์
อยู่เถิด พึงอนุเคราะห์เนื่องด้วยการพูดจากันบ่อย ๆ พึงเกลี้ยกล่อมด้วยให้เธอ
ให้คำตอบว่า ขอรับผมจักอยู่.

อีกประการหนึ่ง พึงสงเคราะห์และอนุเคราะห์ด้วยปัจจัย 4 พึงเกลี้ย-
กล่อมด้วยถ้อยคำอันไพเราะ อธิบายว่า พึงเจรจาให้เสนาะหู พึงให้บำรุงด้วย
สิ่งของต่าง ๆ มีจุณเป็นต้น.
ข้อว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ถ้าสงฆ์แม้ทั้งมวลไม่ทำไซร้,
ต้องทุกกฏทั้งหมด. ในอธิการนี้ พระเถระทั้งหลายก็ไม่พ้น พวกภิกษุหนุ่มก็
ไม่พ้น. ภิกษุทั้งปวงพึงให้เปลี่ยนวาระกันบำรุง เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่บำรุง
ในวาระของตน. แต่ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อย่าพึงยินดีวัตรมีการกวาดบริเวณ
และให้ไม้สีฟันเป็นต้น ของพระมหาเถระทั้งหลาย. แม้เมื่อข้อที่เธอได้ยินดี
มีอยู่ พระมหาเถระทั้งหลาย ก็ควรมาสู่ที่บำรุงทั้งเย็นเช้า. แต่ภิกษุผู้พหุสูต
นั้นรู้ความมาของพวกท่านแล้ว พึงไปสู่ที่บำรุงของพระมหาเถระทั้งหลายเสีย
ก่อน. ถ้าภิกษุผู้สหจร ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของเธอมีอยู่ เธอพึงห้ามเสียว่าอุปัฏ-
ฐากของผมมี ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ขวนขวายน้อยอยู่เถิด. แม้ถ้าว่า ภิกษุผู้
สหจรของเธอไม่มี. แต่ภิกษุรูปหนึ่งหรือ 2 รูป ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรในวัด
ที่อยู่นั่นเอง กล่าวว่า ผมจักทำกิจที่ควรทำแก่พระเถระเอง ภิกษุที่เหลือจง
อยู่เป็นผาสุกเถิด ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งปวง.
ข้อว่า โส อาวาโส คนฺตพฺโพ มีความว่า อาวาสนั้น อันภิกษุ
ทั้งหลายผู้เขลา ไม่ฉลาด พึงไปทุกกึ่งเดือน เพื่อประโยชน์แก่การทำอุโบสถ
ก็อาวาสนั้นแล ควรไปทั้งเหมันตฤดู และคิมหฤดูทีเดียว แต่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า ผู้เขลาไม่ฉลาดจำพรรษา ดังนี้ ก็เพื่อแสดงกิจที่
ควรทำในฤดูฝน.

ในพระบาลี ข้อว่า น ภิกฺขเว เตหิ ภิกฺขูหิ ตสฺมึ อาวาเส วสฺสํ
วสิตพฺพํ
มีความว่า ในการเข้าพรรษาแรก อย่าจำพรรษาปราศจากภิกษุผู้
สวดปาฏิโมกข์. หากว่าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้นหลีกไปเสีย หรือสึกเสีย หรือ
ทำกาลกิริยาเสีย ต่อเมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาแล้ว เมื่อภิกษุอื่น ที่สวดได้
มีอยู่นั่นแล จึงควรจำพรรษาหลัง เมื่อไม่มี ต้องไปในอาวาสอื่น เมื่อไม่ไป
ต้องทุกกฏ. แต่ถ้าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้น หลีกไปเสีย หรือสึกเสีย หรือทำ
กาลกิริยาเสีย ในการเข้าพรรษาหลัง พึงอยู่ในที่นั้น ตลอด 2 เดือน.

อรรถกถาอัชเฌสนา จบ

พระพุทธานุญาตให้นำปาริสุทธิของพระอาพาธมา


[181] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน สงฆ์จักทำอุโบสถ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ยังมีภิกษุอาพาธ
ท่านมาไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ
อาพาธมอบปาริสุทธิ.

วิธีมอบปาริสุทธิ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบปาริสุทธิ อย่างนี้:-
ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่ง
กระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว กล่าวคำมอบปาริสุทธิอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบ
ปาริสุทธิ ขอท่านจงนำปาริสุทธิของข้าพเจ้าไป ขอท่านจงบอกปาริสุทธิของ
ข้าพเจ้า.
ภิกษุรับด้วยกาย รับด้วยวาจา รับด้วยทั้งกายและวาจาก็ได้ เป็นอัน
ภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ไม่รับด้วยกาย ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยทั้ง
กายและวาจา ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิ ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้
นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุทั้งหลายพึงใช้เตียงหรือตั่งหามภิกษุอาพาธนั้นมา
ในท่ามกลางสงฆ์ แล้วทำอุโบสถ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้คิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวก
เราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นก็จักถึงมรณภาพ