เมนู

มีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมี
ปรกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น เหมือนกัน ครั้นแล้วได้
ตรัสดาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์
เหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูก่อน
พรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำ-
บาก จงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว
ประณีต ในหมู่มนุษย์.

ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทาน
โอกาสเพื่อจะแสดงธรรมแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณ
แล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.
พรหมยาจนกถา จบ

อรรถกถาพรหมยาจนกถา


ครั้งนั้นแล พอล่วงเจ็ดวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น
เสร็จกิจทั้งปวงมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล ออกจากโคนต้นไม้เกต เสด็จเข้า
ไปยังต้นอชปาลนิโครธแม้อีก.
สองบทว่า ปริวิตกโก อุทปาทิ มีความว่า ความรำพึงแห่งใจนี้
ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงพระพฤติกันมาเป็นอาจิณเกิดขึ้นแด่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าผู้พอประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธนั้นเท่านั้น.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ความรำพึงแห่งใจนี้ จึงเกิดขึ้นแก่พระพุทธ-
เจ้าทุกพระองค์ ?
ตอบว่า เพราะทรงพิจารณาชื่อที่พระธรรมเป็นคุณใหญ่ เป็นคุณเลิศ
ลอย เป็นของหนัก และเพราะเป็นผู้ใคร่จะทรงแสดงตามคำที่พรหมทูลวิ่งวอน.
จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงทราบว่า เมื่อพระองค์ทรงรำพึง
อย่างนั้น พรหมจักมาทูลเชิญแสดงธรรม ที่นั้น สัตว์ทั้งหลายจักให้เกิดความ
เคารพในธรรม เพราะว่า โลกสันนิวาสเคารพพรหม. ความรำพึงนี้ เกิดขึ้น
เพราะเหตุ 2 ประการนี้ ด้วยประการฉะนั้นแล.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า อธิคโต โข มยายํ ตัดบทว่า
อธิคโต โข เม อยํ ความว่า ธรรมนี้ อันเราบรรลุแล้วแล.
บทว่า อาลยรามา มีความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมพัวพันในกามคุณ
5 อย่าง เพราะเหตุนั้น กามคุณ 5 เหล่านั้น ท่านจึงเรียกว่า อาลัย หมู่สัตว์
ย่อมรื่นรมย์ด้วยกามคุณเป็นที่พัวพันเหล่านั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้รื่นรมย์ด้วย
อาลัย. หมู่สัตว์ยินดีแล้วในกามคุณเป็นที่พัวพันทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ
ว่าผู้ยินดีในอาลัย. หมู่สัตว์เพลินด้วยดีในกามคุณเป็นที่พัวพันทั้งหลาย เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้เพลินในอาลัย.
บทว่า ยทิทํ เป็นนิบาต ความแห่งบทว่า ยทิทํ นั้น หมายเอา
ฐานะ พึงเห็นอย่างนี้ว่า ยํ อิทํ หมายเอาปฏิจจสมุปบาท พึงเห็นอย่างนี้ว่า
โย อยํ.
บทว่า อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺสมุปฺปาโท มีอรรถวิเคราะห์ว่าธรรม
เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้ ชื่อ อิทปฺปจฺจยา อิทปฺปจฺจยา นั่น
ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา ธรรมเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้นั้น เป็นธรรม

อาศัยกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ธรรม เหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่า
นี้ เป็นธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น.
ข้อว่า โส มมสฺส กิลมโถ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าเทศนาแก่เหล่าชนผู้
ไม่รู้ พึงเป็นยาความเหน็ดเหนื่อยแก่เรา พึงเป็นความลำบากแก่เรา.
บทว่า ภควนฺตํ แปลว่า แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อนจฺฉริยา ได้แก่ ที่เป็นอัศจรรย์นักหนา1.
บทว่า ปฏิภํสุ มีความว่า ได้เป็นอารมณ์แห่งญาณกล่าวคือปฏิภาณ
คือถึงความเป็นคาถาอันพระองค์พึงรำพึง. อักษรใน บทว่า หลํ นี้ สักว่า
เป็นนิบาต ความว่า ไม่ควร.
บทว่า ปกาสิตุํ ได้แก่ เพื่อแสดง. มีคำอธิบายว่า บัดนี้ไม่ควร
แสดงธรรมที่เราบรรลุได้โดยยากนี้.
บาทคาถาว่า นายํ ธมฺโม สุสมฺพุทฺโธ มีความว่า ธรรมนี้ทำ
ได้ง่าย ๆ เพื่อจะตรัสรู้หามิได้ อธิบายว่า การที่จะรู้มิใช่ทำได้ง่าย ๆ.
บทว่า ปฏิโสตคามึ มีความว่า ให้ถึงนิพพานที่ท่านเรียกว่าธรรม
อันทวนกระแส.
บทว่า ราคฺรตฺตา มีความว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้อันเครื่องย้อมคือกาม
เครื่องย้อมคือภพ และเครื่องย้อมคือทิฏฐิย้อม (ใจ) แล้ว.
บทว่า น ทกฺขนฺติ ได้แก่ ย่อมไม่เห็น.
สองบทว่า ตโมกฺขนฺเธน อาวุฏา มีความว่า ผู้อันกองแห่งอวิชชา
ปกคลุมไว้แล้ว.

1 แปลเอาความตามนัยฎีกา สารตฺถทีปนี ภาค 1 หน้า 530 ซึ่งแก้ไว้ว่า อนุอจฺฉริยาติ สวน-
กาเล อุปรปริ วิมฺหมกราติ อตฺโถ.

บทว่า อปฺโปสฺสุกฺกตาย มีความว่า เพื่อความเป็นผู้ไม่ประสงค์จะ
แสดง เพราะค่าที่เป็นผู้ปราศจากความขวนขวาย.
บทว่า ยตฺร หิ นาม มีความว่า ในโลกชื่อใด.
บทว่า ภควโต ปุรโต ปาตุรโหสิ มีความว่า ท้าวสหัมบดีพรหม
ได้พามหาพรหมทั้งหลาย ในหมื่นจักรวาล มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาคเจ้า เพื่อทูลวิงวอน ให้ทรงแสดงธรรม.
บทว่า อปฺปรชกฺชาติกา มีอรรถวิเคราะห์ว่า ธุลี คือ ราคะ โทสะ
โมหะ น้อย ในจักษุ ที่แล้วด้วยปัญญา เป็นปกติแห่งตนของสัตว์เหล่านี้ เหตุ
นั้นสัตว์เหล่านี้ ชื่อผู้มีชาติแห่งสัตว์ผู้มีธุลีน้อยในจักษุ.
บทว่า ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมคือสัจจะ 4.
บทว่า อญฺญาตาโร ได้แก่ ผู้ตรัสรู้.
บทว่า ปาตุรโหสิ ได้แก่ มีปรากฏ.
สองบทว่า สมเลหิ จินฺติโต มีความว่า อันครูทั้งหกผู้มีมลทินมี
ราคะเป็นต้น คิดแล้ว.
บทว่า อปาปุเรตํ มีความว่า ขอจงเปิดประตูนั้น.
สองบทว่า อมตสฺส ทฺวารํ มีความว่า อริยมรรคเป็นประตู แห่ง
นิพพานซึ่งเป็นธรรมไม่ตาย.
บาทพระคาถาว่า สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทธํ มีความว่า สัตว์
เหล่านี้จงฟังธรรมคือสัจจะ 4 ที่พระสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ปราศจากมลทิน
เพราะไม่มีมลทินมีราคะเป็นต้น ตรัสรู้สมควรแล้ว.
บาทพระคาถาว่า เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต มีความ
ว่า เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มีดวงตานั้น ยืนบนยอดภูเขาซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลา

เป็นเทือกเดียวกัน จะพึงเห็นประชุมชนได้รอบด้านฉันใด. ข้าแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้มีเมธาดี คือผู้มีปัญญาดี ผู้มีพระจักษุรอบคอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
แม้พระองค์เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งแล้วด้วยธรรม คือ ล้วนด้วยพระปัญญา
พระองค์เองปราศจากความโศกแล้ว ขอจงทรงแลดู คือทรงพิจารณาประชุมชน
ผู้คับคั่งด้วยความโศก ถูกความเกิดและความแก่ครอบงำแล้ว ฉันนั้นเถิด.
ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อจะทรงวิงวอนให้พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปเพื่อ
ทรงแสดงธรรม จึงทูลว่า ขอจงเสด็จลุกขึ้นเถิด.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า วีร เป็นต้น ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
มีพระนามว่า วีระ เพราะทรงมีความเพียร ทรงพระนามว่า วิชิตสงความ เพราะ
ทรงชำนะเทวบุตรมาร มัจจุมาร กิเลสมาร และอภิสังขารมาร ทรงพระนาม
ว่า สัตถวาหะ เพราะทรงสามารถช่วยหมู่สัตว์ให้พ้นจากกันดารมีชาติกันดาร
เป็นต้น ทรงพระนามว่า ผู้ไม่มีหนี้ เพราะไม่มีหนี้ คือ กามฉันท์.
บทว่า อชฺเฌสนํ ได้แก่ คำวิงวอน.
บทว่า พุทธจกฺขุนา คือ ด้วยอินทริยปโรปริยัติญาณ และอาสยา-
นุสยญาณ. จริงอยู่ คำว่า พุทธจักขุ เป็นชื่อแห่งพระญาณ 2 อย่างนี้.
บทว่า อปฺปริชกฺเข เเป็นต้น มีความว่า ธุลีมีราคะเป็นต้น โนปัญญา-
จักขุของสัตว์เหล่าใดมีน้อย สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มีธุลีในจักษุน้อย. ของสัตว์
เหล่าใดมีมาก สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าผู้มีธุลีในจักษุมาก. อินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้น
ของสัตว์เหล่าใดกล้า สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มีอินทรีย์กล้า, ของสัตว์เหล่าใดอ่อน
สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มีอินทรีย์อ่อน. อาการมีศรัทธาเป็นต้น ของสัตว์เหล่าใดดี
สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มีอาการดี, ของสัตว์เหล่าใดไม่ดี สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มี

อาการชั่ว. สัตว์เหล่าใด กำหนดเหตุที่ท่านกล่าวได้ คือเป็นผู้ที่สามารถจะให้
รู้ได้โดยง่าย สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้ที่จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย. สัตว์เหล่าใด
ไม่เป็นอย่างนั้น สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้ที่จะพึงสอนให้รู้โดยยาก. สัตว์เหล่าใด
เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย สัตว์เหล่านั้น ชื่อผู้มีปกติเห็นปรโลกและ
โทษโดยความเป็นภัย.
บทว่า อุปฺปลินิยํ ได้แก่ ในกออุบล. แม้ในบทนอกจากนี้ ก็นัย
นี้เหมือนกัน.
บทว่า อนุโตนิมุคฺคโปสินี ได้แก่ ดอกบัวที่ยังจมอยู่ภายในน้ำ อัน
น้ำเลี้ยงไว้.
บทว่า สโมทกฏฺฐิตานิ ได้แก่ ดอกบัวที่ทั้งอยู่เสมอน้ำ.
หลายบทว่า อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ติฏฺฐนฺติ ได้แก่ ตั้งอยู่พ้นน้ำ.
บทว่า อปารุตา ได้แก่ เปิดแล้ว.
สองบทว่า อมตสฺส ทฺวารา ได้แก่ อริยมรรค. จริงอยู่ อริย-
มรรคนั้น เป็นประตูแห่งพระนิพพาน กล่าวคือ อมตธรรม.
สองบทว่า ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ มีความว่า ชนทั้งปวงจงปล่อย คือ
จงสละความเชื่อของตน. ในสองบทข้างท้าย มีเนื้อความดังนี้นี่เอง เพราะว่า
เราเป็นผู้มีความสำคัญว่าจะต้องลำบากกายวาจา จึงไม่ได้แสดงธรรมที่อุดม
ประณีตนี้ แม้ที่เป็นไปดีแคล่วคล่องสำหรับตนในหมู่มนุษย์ คือ ในเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย.

อรรถกถาพรหมยาจนกถา จบ

พุทธปริวิตกกถา


[10] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดง
ธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระ-
ดำริต่อไปว่าอาฬารดาบสกาลามโคตรนี้แล เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปรกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่
อาฬารดาบสกาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ทีนั้น เทพดา
อันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร สิ้นชีพ
ได้ 7 วันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อาฬาร
คาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได้ 7 วันแล้ว จึงทรงพระดำริว่าอาฬารดาบสกาลาม
โคตรเป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้จะพึงรู้ทั่วถึงได้
ฉับพลัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรม
แก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อ
ไปว่าอุทกดาบสรามบุตรนี้แลเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลส
ในจักษุน้อยเป็นปรกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบสราม
บุตรก่อนเธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ทีนั้น เทพดาอันตธานมากราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อุทกดาบสรามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อุทกดาบสรามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว
จึงทรงพระดำริว่าอุทกดาบสรามบุตรนี้ เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอ
ได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.