เมนู

อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ


พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องบุคคลผู้ฆ่ามารดาเป็นต้นต่อไป:-
สองบทว่า นิกฺขนฺตึ ถเรยฺยํ มีความว่า เราพึงกระทำความออก
คือ ความหลีกไป ความชำระสะสาง.
ในคำว่า มาตุฆาตโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า มารดาผู้ให้เกิด
ซึ่งเป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดแม้ตนเองก็เป็นชาติมนุษย์เหมือนกันแกล้งปลง
เสียจากชีวิต บุคคลนี้เป็นผู้ฆ่ามารดาด้วยอนันตริยมาตุฆาตกรรม. บรรพชา
และอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
ส่วนมารดาผู้เลี้ยงดูก็ดี ป้าก็ดี น้าก็ดี ซึ่งมิใช่ผู้ให้เกิด แม้เป็นหญิง
มนุษย์ หรือมารดาผู้ให้เกิด แต่มิใช่หญิงมนุษย์ อันบุคคลใดฆ่าแล้ว บรรพชา
ของบุคคลนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้าม และเขาไม่เป็นผู้มีอันนตริยกรรม.
มารดาผู้เป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดซึ่งตนเองเป็นสัตว์ดิรัจฉานฆ่า
แล้ว แม้บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้มีอันนตริยกรรม. สวนบรรพชาของเขาเป็น
อันทรงห้ามด้วย เพราะข้อที่เขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน. คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น .
แม้ในบุคคลผู้ฆ่าบิดา ก็นัยนี้แล.
ก็ถ้าแม้บุรุษเป็นลูกหญิงแพศยา ไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา
เขาเกิดด้วยน้ำสมภพของชายใด และชายนั้นอันเขาฆ่าแล้วย่อมถึงความ
นับว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาเหมือนกัน ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย. แม้บุคคลผู้ฆ่าพระ
อรหันต์ พึงทราบด้วยอำนาจพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน.
วินิจฉัยในอรหันตฆาตกวัตถุนี้ พึงทราบดังนี้ว่า อันบุคคลเมื่อแกล้ง
ปลงพระขีณาสพผู้เป็นชาติมนุษย์ โดยที่สุดแม้ไม่ใช่บรรพชิตเป็นทารกก็ตาม

เป็นทาริกาก็ตาม จากชีวิต ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าพระอรหันต์แท้; ย่อมถูกอนันตริย-
กรรมด้วย และบรรพชาของผู้นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม. ส่วนบุคคล
ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งมิใช่ชาติมนุษย์ หรือพระอริยบุคคลที่เหลือซึ่งเป็นชาติมนุษย์
ยังไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แม้บรรพชาของเขา ก็ไม่ทรงห้าม. แต่ว่า กรรม
เป็นของรุนแรง. ดิรัจฉานแม้ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ก็ไม่เป็นผู้มี
อนันตริยกรรม แต่ว่า เป็นกรรมอันหนัก.
หลายบทว่า เต วธาย โอนียนฺติ มีความว่า โจรเหล่านั้นอันพวก
ราชบุรุษย่อมนำไป เพื่อประโยชน์แก่การฆ่า. อธิบายว่านำไปเพื่อประหารชีวิต.
ก็คำใด ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในบาลีว่า สจา
จ มยํ
ความแห่งคำนั้นเท่านี้เองว่า สเจ มยํ. จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ ท่าน
กล่าวนิบาตินี้ว่า สจา จ ในเมื่อนิบาตว่า สเจ อันท่านพึงกล่าว. อีกอย่าง
หนึ่งปาฐะว่า สเจ จ ก็มี. ใน 2 ศัพท์นั้น ศัพท์ว่า สเจ เป็นสัมภาว-
นัตถนิบาต. ศัพท์ว่า เป็นนิบาตใช้ในอรรถมาตรว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม
ปาฐะว่า สจชฺช มยํ บ้าง ความแห่งปาฐะนั้นว่า สเจ อชฺช มยํ.

อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ จบ

เรื่องห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นต้น


[131] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีหลายรูป เดินทางไกลจากเมืองสาเกต
ไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกออกมา แย่งชิงภิกษุณี
บางพวก ทำร้ายภิกษุณีบางพวก เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้ว
จับโจรได้เป็นบางพวก บางพวกหลบหนีไป พวกที่หลบหนีไป ได้บวชใน
สำนักภิกษุ พวกที่ถูกจับได้เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้น
ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดี พวก
เราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน
ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้ จึงบรรพ-
ชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย อนุ-
ปสัมบันคือ คนประทุษร้ายภิกษุณี ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว
ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้
อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อ
พระโลหิต ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.