เมนู

อุป. มีพรรษาเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ภิกษุรูปนี้เป็นอะไรกับเธอ ?
อุป. เป็นสัทธิวิหาริกของข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียน


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระ
ทำของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่
ควรทำ ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอยังเป็นผู้อันผู้อื่นพึงโอวาทอนุศาสน์อยู่ ไฉนจึง
สำคัญคนเพื่อโอวาทอนุศาสน์ผู้อื่นเล่า เธอเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ซึ่ง
มีความพัวพันด้วยหมู่เร็วเกินนัก การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยิ่งไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส
แล้ว . . . ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ภิกษุมีพรรษาหย่อน 10 ไม่พึงให้อุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้อง
อาบัติทุกกฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุมีพรรษาได้ 10 หรือมี
พรรษาเกิน 10 ให้อุปสมบท.

พระอุปัชฌายะและสัทธิวิหาริก


[91] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายคิดว่า เรามีพรรษาได้ 10 แล้ว
เรามีพรรษาได้ 10 แล้ว ดังนี้ แต่ยังเป็นผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ย่อมให้
อุปสมบท ปรากฏว่าพระอุปัชฌายะเป็นผู้เขลา สัทธิวิหาริกเป็นผู้ฉลาด ปรากฏ
ว่าพระอุปัชฌายะเป็นผู้ไม่เฉียบแหลม สัทธิวิหาริกเป็นผู้เฉียบแหลม, ปรากฏว่า
พระอุปัชฌายะ เป็นผู้มีสุตะน้อย สัทธิวิหาริกเป็นผู้มีสุตะมาก ปรากฏว่าพระ-

พระอุปัชฌายะเป็นผู้มีปัญญาทราม สัทธิวิหาริกเป็นผู้มีปัญญา. แม้ภิกษุรูปหนึ่ง
เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เมื่อพระอุปัชฌายะว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม ได้ยกวาทะ
ขึ้นโต้เถียงแก่พระอุปัชฌายะ แล้วหลีกไปสู่ลัทธิเดียรถีย์นั้นตามเดิม.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ภิกษุทั้งหลายจึงได้อ้างว่า เรามีพรรษาได้ 10 แล้ว เรามีพรรษาได้ 10
แล้ว ดังนี้แต่ยังเป็นผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ให้อุปสมบท ปรากฏว่าพระ-
อุปัชฌายะเป็นผู้แหลมสัทธิวิหาริกเป็นผู้ฉลาด ปรากฏว่าพระอุปัชฌายะเป็นผู้
ไม่เฉียบแหลมสัทธิวิหาริกเป็นผู้เฉียดแหลม, ปรากฏว่าพระอุปัชฌายะเป็นผู้มี
สุตะน้อย สัทธิวิหาริกเป็นผู้มีสุตะมาก, ปรากฏว่าพระอุปัชฌายะเป็นผู้มีปัญญา
ทราม สัทธิวิหาริก เป็นผู้มีปัญญาเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายอ้างว่า เรามีพรรษาได้ 10 แล้ว เรามีพรรษาได้
10 แล้ว ดังนี้ แต่ยังเป็นผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ให้อุปสมบท ปรากฏว่า
อุปัชฌายะเป็นผู้เขลา สัทธิวิหาริกเป็นผู้ฉลาด, ปรากฏว่าอุปัชฌายะเป็นผู้ไม่
เฉียบแหลมสัทธิวิหาริกเป็นผู้เฉียบแหลม, ปรากฏว่าอุปัชฌายะเป็นผู้มีสุตะน้อย
สัทธิวิหาริกเป็นผู้มีสุตะมาก, ปรากฏว่าอุปัชฌายะเป็นผู้มีปัญญาทราม สัทธิ-
วิหาริกเป็นผู้มีปัญญา จริงหรือ ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.