เมนู

แล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาเข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือ
บาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินสู่พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่
ใหญ่ จำนวน 1000 รูป ล้วนปุราณชฎิล.
[61] ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงนิรมิตเพศเป็น
มาณพ เสด็จพระดำเนินนำหน้าภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พลางขับ
คาถาเหล่านั้น ว่าดังนี้:-

คาถาสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้า


พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีเสมอ
ด้วยลิ่มทองสิงดี ทรงฝึกอินทรีย์แล้ว ทรง
พ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราช-
คฤห์พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้ฝึก
อินทรีย์แล้ว ผู้พ้นวิเศษแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีเสมอ
ด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงพ้นแล้ว ทรงพ้นวิเศษ
แล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์พร้อม
ด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว ผู้
พ้นวิเศษแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระฉวี
เสมอด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงข้ามแล้ว ทรงพ้น
วิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์
พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว
ผู้พ้น วิเศษแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีเสมอ
ด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงสงบแล้ว ทรงพ้นวิเศษ
แล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์พร้อม
ด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้สงบแล้ว ผู้
พ้นวิเศษแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรง
มีอริยวาสธรรม 10 ประการ เป็นเครื่องอยู่
ทรงประกอบด้วยพระกำลัง 10 ทรงทราบ
ธรรม คือ กรรมบถ 10 และทรงประกอบ
ด้วยธรรมอันเป็นองค์ของพระอเสขะ 10 มี
ภิกษุบริวารพันหนึ่ง เสด็จประเวศสู่พระ
นครราชคฤห์.

[62] ประชาชนได้เห็นท้าวสักกะจอมทวยเทพแล้วพากันกล่าวอย่างนี้
ว่า พ่อหนุ่มนี้มีรูปงามยิ่งนัก น่าดูนัก น่าชมนัก พ่อหนุ่มนี้ของใครหนอ
เมื่อประชาชนกล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจอมทวยเทพได้กล่าวตอบประชาชน
พวกนั้นด้วยคาถา ว่าดังนี้:-
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดเป็น
นักปราชญ์ ทรงฝึกอินทรีย์ทั้งปวงแล้ว เป็น
ผู้ผ่องแผ้วทาบุคคลเปรียบมีได้ ไกลจาก
กิเลส เสด็จไปดีแล้วในโลก ข้าพเจ้าเป็นผู้
รับใช้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.

ทรงรับพระเวฬุวันสังฆิกาวาส


[63] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่พระ-
ราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่ง
เหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงพระเจ้าพิมพิสารจอม
เสนามาคธราช ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนีย-
โภชนียาหารอันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์จนให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสวยเสร็จทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตห้ามภัตแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ท้าวเธอได้ทรงพระราชดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงประทับ
อยู่ ณ ที่ไหนดีหนอ ซึ่งจะเป็นสถานที่ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านนัก สะดวกด้วย
การคมนาคม ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะเข้าไปเฝ้าได้ กลางวันไม่พลุก
พล่าน กลางคืนเงียบสงัด เสียงไม่กึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก
ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณ-
วิสัย แล้วได้ทรงพระราชดำริต่อไปว่า สวนเวฬุวันของเรานี้แล ไม่ไกลไม่
ใกล้จากบ้านนัก สะดวกด้วยการคมนาคม ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะ
พึงเข้าไปเฝ้าได้ กลางวันไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงัด เสียงไม่กึกก้อง
ปราศจากลมแต่ชนที่เข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และ
ควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย ผิฉะนั้น เราพึงถวายสวนเวฬุวันแก่ภิกษุ
สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ดังนี้ ลำดับนั้น จึงทรงจับพระสุวรรณภิงคาร
ทรงหลั่งน้ำน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระราชดำรัสว่า หม่อมฉัน
ถวายสวนเวฬุวันนั่นแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอารามแล้ว และทรงชี้แจงให้พระเจ้าพิมพิ-
สารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
แล้วเสด็จลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ ต่อมา พระองค์ทรงทำธรรมีกถาในเพราะ