เมนู

ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร


เสด็จพระนครราชคฤห์ครั้งแรก


[56] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับออยู่ ณ ตำบลคยาสีสะตาม
พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไป โดยบรรดาอันจะไปสู่พระนคราชคฤห์
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จำนวน 1000 รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล เสด็จจาริก
โดยลำดับถึงพระนครราชคฤห์แล้วทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทรชื่อ
สุประดิษฐเจดีย์ในสวนตาลหนุ่ม เขตพระนครราชคฤห์นั้น
[57] พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงสดับข่าวถนัดแน่ว่า
พระสมณโคตมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จถึงพระนครราชคฤห์
โดยลำดับ ประทับอยู่ ใต้ต้นไทรชื่อสุประดิษฐเจดีย์ในสวนตาลหนุ่ม เขต
พระนครราชคฤห์ ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น
ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็น
พระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี
ทรงทราบโลก ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา
ของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์
ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระ
ปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริบูรณ์บริสุทธิ์
อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.

หลังจากนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทรงแวดล้อมด้วย
พราหมณ์คหบดีชาวมคธ 12 นหุต เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ถึงจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ส่วนพราหมณ์คหบดีชาวมคธ 12 นหุต นั้นแล บางพวกถวายบังคมพระผู้
พระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มี
พระภาคเจ้า ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไป
แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนขางหนึ่ง บางพวก ประคองอัญชลีไปทางที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศนามและ
โคตรในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวก
นั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธ 12 นหุต
นั้นได้ความดำริว่า พระมหาสมณะพระพฤติพรหมจรรย์ในท่านอุรุเวลกัสสป
หรือว่าท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ลำดับนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทั้งทราบความดำริในใจของพราหมณ์คหบดีชาวมคธ 12 นหุต
นั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ ได้ตรัสกะท่านพระอุรุเวลกัสสปด้วยพระคาถาว่า
ดังนี้.
ดูก่อนท่านผู้อยู่ในอุรุเวลามานาน เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนหมู่ชฎิลผู้
ผอม เพราะกำลังพรต ท่านเห็นเหตุอะไรจึงยอมละเพลิงเสียเล่า ?
ดูก่อนกัสสป เราถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านละเพลิงที่บูชาเสียทำ
ไมเล่า ?
ท่านพระอุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า ยังทั้งหลายกล่าวยกย่องรูปเสียงและ
รสที่น่าปราถนา และสตรีทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้ารู้ว่านั้น เป็นมลทินในอุปธิ
ทั้งหลายแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงไม่ยินดี ในการเช่นสรวง ในการบชา.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนกัสสป ก็ใจของท่านไม่ยินดี
แล้วในอารมณ์ คือรูป เสียงและรสเหล่านั้น ดูก่อนกัสสป ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น
ใจของท่านยินดีในสิ่งไรเล่า ในเทวโลกหรือมนุษยโลก ท่านจงบอกข้อนั้นแก่
เรา.
ท่านพระอุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทางอันสงบ
ไม่มีอุปธิ ไม่กังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพ ไม่มีภาวะเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ธรรม
ที่ผู้อื่นแนะให้บรรลุ เพราะฉะนั้น จึงไม่ยินดี ในการเซ่นสรวง ในการบูชา.
[58] ลำดับนั้นท่านพระอุรุเวลกัสสปลุกจากอาสนะ ห่มผ้าอุตราสงค์
เฉวียงบ่า ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระศาสดาของ
ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระศาสดา
ของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ทั้ง 12 นหุต นั้น ได้มีความ
เข้าใจว่า ท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของพราหมณ์คหบดี ชาว-
มคธทั้ง 12 นหุตนั้น ด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ทรงแสดงอนุปุพพิกถา
คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความ
เศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงทราบว่า พวกเขามี จิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์
มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศ พระธรรมเทศนา ที่พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ
มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมี

ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่
พราหมณ์คหบดีชาวมคธ 11 นหุต ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ณ ที่นั่ง
นั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย่อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น
พราหมณ์คหบดีอีก 1 นหุต แสดงตนเป็นอุบายสก.
[59] ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงเห็นธรรม
แล้ว ได้ทรงบรรลุธรรมแล้ว ได้ทรงรู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว ทรงมีธรรมอันหยั่ง
ลงแล้ว ทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ทรง
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องทรงเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้
ทูลพระวาจานี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ครั้งก่อน เมื่อหม่อมฉันยังเป็นราช-
กุมาร ได้มีความปรารถนา 5 อย่าง บัดนี้ ความปรารถนา 5 อย่างนั้น ของ
หม่อมฉันสำเร็จแล้ว.

ความปรารถนา 5 อย่าง


1. ครั้งก่อน เมื่อหม่อนฉันยังเป็นราชกุมาร ได้มีความปรารถนาว่า
ไฉนหนอ ชนทั้งหลายพึงอภิเษกเราในราชสมบัติดังนี้ นี้เป็นความปรารถนา
ของหม่อมฉันประการที่ 1 บัดนี้ความปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า.
2. ขอพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พึงเสด็จมาสู่แว่นแคว้นของ
หม่อมฉันนั้น นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ 2 บัดนี้ ความ
ปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้า.
3. ขอหม่อมฉันพึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นี้เป็น
ความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ 3 บัดนี้ ความปรารถนานั้น ของหม่อม-
ฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.