เมนู

หนึ่งทรงโฉมวิไลน่าพิศพึงชม บุรุษผู้หนึ่งพอได้เห็นนางก็มีจิตปฏิพัทธ์ จึงเมื่อ
เขาตกแต่งที่พักแรมถวายภิกษุณีเหล่านั้น ได้จัดที่พักแรมสำหรับภิกษุณีสวยนั้น
ไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง คราวนั้นนางกำหนดรู้ได้ทันทีว่า บุรุษผู้นี้ถูกราคะกลุ้ม
รุมแล้ว ถ้ากลางคืนเขาจักเข้าหา ความเสียหายจักมีแก่เรา แล้วไม่บอกลา
ภิกษุณีทั้งหลายหนีไปพักแรมในสกุลอื่น ครั้นเวลาราตรีบุรุษนั้นมาค้นหา
ภิกษุณีสวยนั้น ได้กระทบถึงภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายไม่เห็นภิกษุณีสวย
นั้น จึงพูดกันอย่างนี้ว่า นางตามผู้ชายไปแล้วเป็นแน่.
ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ภิกษุณีสาวก็เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลาย ๆ ถามนาง
ว่า เธอเดินออกไปกับผู้ชายอื่นหรือ.
นางปฏิเสธว่า ไม่ได้เดินออกไปกับผู้ชาย เจ้าค่ะ แล้วเล่าเรื่องนั้น
แก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉนในราตรี ภิกษุณีจึงได้อยู่แต่ลำพังปราศจากพวกเล่า . . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณี
ข่าวว่าภิกษุณีผู้เดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรี จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณี
ผู้เดียว จึงได้อยู่ปราศจากพวกในราตรีเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุนชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .