เมนู

พระบัญญัติ


129. 4. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีพรรษาหย่อน 12 ยังกุลธิกา
ให้บวช เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ

สิกขาบทวิภังค์


[414] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็น
ผู้ขอ. . . นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ชื่อว่า มีพรรษาหย่อน 12 คือ มีพรรษายังไม่ถึง 12.
บทว่า ยังกุลธิดาให้บวช คือ ให้กุลธิดาอุปสมบท.
ตั้งใจว่า จักให้บวช แล้วแสวงหาคณะก็ดี อาจารย์ก็ดี บาตรก็ดี
จีวรก็ดี สมมติสีมาก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบ
กรรมวาจา 2 ครั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ 2 ตัว จบกรรมวาจาครั้งสุด ภิกษุณี
ผู้อุปัชฌาย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ คณะและอาจารย์ ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร


[415] มีพรรษาครบ 12 แล้ว ยังกุลธิดาให้บวช 1 วิกลจริต 1
อาทิกัมมิกา 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
กุมารีภูตวรรคสิกขาบทที่ 4 จบ

กุมารีภูตวรรค สิกขาบทที่ 5


เรื่องภิกษุณีหลายรูป


[416] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณี
มีพรรษาครบ 12 แล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ได้พากันบวชกุลธิดา ภิกษุณี
อุปัชฌายะเหล่านั้น เป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร แม้
สัทธิวิหารินี ก็เป็นคนเขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพวกภิกษุณีมีพรรษาครบ 12 แล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ จึงได้พากัน
บวชกุลธิดาเล่า. . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกภิกษุณีมีพรรษาครบ 12 แล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ได้พากัน
บวชกุลธิดา จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
พวกภิกษุณีมีพรรษาครบ 12 แล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ จึงได้พากันบวช
กุลธิดาเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส. . . ครั้นแล้ว ทรงกระทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า