เมนู

อารามวรรค สิกขาบทที่ 7


เรื่องภิกษุณีหลายรูป


[352] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณี
หลายรูปจำพรรษาอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้าน แล้วได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถี
ภิกษุณีทั้งหลายได้พากัน ถามภิกษุณีพวกนั้นว่า เจ้าแม่ทั้งหลายจำพรรษาอยู่ ณ
ที่ไหนได้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์แล้วหรือ.
ภิกษุณีเหล่านั้นตอบว่า พวกดิฉันยังมิได้ปวารณาตัวต่อภิกษุสงฆ์เจ้าข้า
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนภิกษุณีทั้งหลายอยู่จำพรรษาแล้ว จึงได้ไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์เล่า. . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีทั้งหลายจำพรรษาแล้วไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
ภิกษุณีจำพรรษาแล้วจึงได้ไม่ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์เล่า การกระทำของพวกนาง
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่าง
นี้ ว่าดังนี้ :-

พระบัญญัติ


112. 7. อนึ่ง ภิกษุณีใด จำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณาต่อ
สงฆ์สองฝ่าย ด้วยสถาน 3 คือ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ยินก็ดี ด้วย
รังเกียจก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ

สิกขาบทวิภังค์


[353] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า จำพรรษาแล้ว คือ อยู่ตลอดไตรมาสต้น หรือไตรมาส
หลัง.
พอทอดธุระว่า จักไม่ปวารณาต่อสงฆ์สองฝ่าย ด้วยสถาน 3 คือ ด้วย
ได้เห็นก็ดี ด้วยได้ยินก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร


[354] ในเมื่ออันตรายมี 1 แสวงหาแล้วไม่ได้ 1 อาพาธ 1 มีเหตุ
ขัดข้อง 1 วิกลจริต 1 อาทิกัมมิกา 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
อารามวรรค สิกขาบทที่ 7 จบ