เมนู

บทภาชนีย์


[721] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ให้ฉันทะ
แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัยอยู่ ไม่ให้ฉันทะแล้ว ลุกจากอาสนะหลีก
ไปต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ให้ฉันทะแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป ไม่ต้องอาบัติ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม...ต้องอาบัติ
ทุกกฎ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัยอยู่. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร


[722] ภิกษุติดเห็นว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความ
แก่งแย่งหรือการวิวาท จักเกิดแก่สงฆ์ ดังนี้แล้วหลีกไป 1 ภิกษุคิดเห็นว่า
สงฆ์จักแตกแยกกัน หรือจักร้าวรานกัน ดังนี้แล้วหลีกไป 1 ภิกษุคิดเห็นว่า
สงฆ์จักทำกรรมแก่ภิกษุมิใช่ผู้ควรแก่กรรม ดังนี้แล้วหลีกไป 1 ภิกษุเกิดอาพาธ
หลีกไป 1 ภิกษุหลีกไปด้วยธุระอันจะทำแก่ภิกษุอาพาธ 1 ภิกษุปวดอุจจาระ
ปัสสาวะแล้วหลีกไป 1 ภิกษุไม่ตั้งใจจะทำกรรมให้เสีย หลีกไปด้วยคิดว่าจะ
กลับมาอีก 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ 10 จบ

ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ 10


วินิจฉัยในสิกขาบทที่ 10 พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า วตฺถุํ วา อาโรจิตํ โหติ มีความว่า ทั้งโจทก์และจำเลยได้
แถลงถ้อยคำของตนแล้ว ภิกษุผู้สอบสวนสืบสวนก็ได้รับสมมติแล้วแม้ด้วย
อาการเพียงเท่านี้ วัตถุเป็นอันบอกแล้ว. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต
เป็นทังกิริยาทั้งอกิริยา ส้ญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจี-
กรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ 10 จบ