เมนู

สันนิธิการสิกขาบทที่ 8


ในสิกขาบทที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

[เรื่องพระเวฬัฏฐสีสะทำการสั่งสม]


พระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งรวมอยู่ภายในแห่งภิกษุชฎิลพันรูป ชื่อว่า
เวฬัฏฐสีสะ.
สองบทว่า อรญฺเญ วิหรติ ได้แก่ อยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง อันเป็น
เรือนเป็นที่บำเพ็ญเพียรใกล้พระเชตวันวิหาร.
บทว่า สุกฺขกูรํ ได้แก่ ข้าวสุกไม่มีแกงและกับ. ได้ยินว่า พระเถระ
นั้นฉันภายในบ้านแล้ว ภายหลังเที่ยวบิณฑบาต นำเอาข้าวสุกเช่นนั้นมา. ก็แล
พระเถระนำเอาข้าวสุกนั้นมาเพราะความเป็นผู้มักน้อย ไม่ใช่เพราะความเป็นผู้
ติดในปัจจัย. ได้ยินว่า พระเถระยับยั้งอยู่ด้วยนิโรธสมาบัติตลอด 7 วัน
ออกจากสมาบัติแล้ว เอาบิณฑบาตนั้นชุบน้ำฉัน, ย่อมนั่งเข้าสมาบัติต่อจาก
7 วันนั้นไปอีก 7 วัน, ท่านยับยั้งอยู่ตลอด 2 สัปดาห์บ้าง 3 สัปดาห์บ้าง
4 สัปดาห์บ้าง ด้วยประการอย่างนี้ จึงเข้าสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. เพราะเหตุนั้น
พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า นาน ๆ ท่านจึงจะเข้าไปยังบ้าน
เพื่อบิณฑบาต.
คำว่า การ การณ์ กิริยา (ทั้ง 3 นี้) โดยอรรถเป็นอันเดียวกัน.
การทำความสะสมมีอยู่แก่ขาทนียะและโภชนียะนั้น; ฉะนั้น จึงชื่อว่าสันนิธิการ.
สันนิธิการนั่นแหละ ชื่อว่า สันนิธิการก. ความว่า สันนิธิกิริยา (ความทำการ
สะสม). คำว่า สันนิธิการกนั้น เป็นชื่อ (แห่งขาทนียโภชนียะ) ที่ภิกษุ
รับประเคนไว้ให้ค้างคืน 1. ด้วยเหตุนั้นแล พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ในบท

ภาชนะแห่งบทว่า สนฺนิธิการกํ นั้นว่า ที่ภิกษุรับประเคนในวันนี้ ขบฉัน
ในวันอื่น ชื่อว่า สันนิธิการก.
คำว่า ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุ
รับยาวกาลิก หรือยามกาลิกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่กระทำสันนิธิอย่างนี้ ด้วย
ความประสงค์จะกลืนกิน ต้องทุกกฏ ในเพราะรับประเคนก่อน. แต่เมื่อกลืนกิน
เป็นปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน. ถ้าแม้นว่า บาตรล้างไม่สะอาด ซึ่งเมื่อลูบด้วย
นิ้วมือ รอยปรากฏ, เมือกซึมเข้าไปในระหว่างหมุดแห่งบาตรที่มีหมุด, เมือกนั้น
เมื่ออังที่ความร้อนให้ร้อนย่อมซึมออก หรือว่า รับข้าวยาคูร้อน จะปรากฏ
เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉัน แม้ในบาตรเช่นนั้นในวันรุ่งขึ้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
พึงล้างบาตรแล้ว เทน้ำใสลงไปในบาตรนั้น หรือลูบด้วยนิ้วมือ จึงจะรู้ได้ว่า
ไม่มีเมือก. ถ้าแม้นว่ามีเมือกบนน้ำก็ดี รอยนิ้วมือปรากฏในบาตรก็ดี, บาตร
ย่อมเป็นอันล้างไม่สะอาด. แต่ในบาตรมีสีน้ำมัน รอยนิ้วมือยู่อมปรากฏ,
รอยนิ้วมือนั้นเป็นอัพโพหาริก. ภิกษุทั้งหลายไม่เสียดาย สละโภชนะใดให้แก่
สามเณร ถ้าสามเณรเก็บโภชนะนั้นไว้ถวายแก่ภิกษุ ควรทุกอย่าง. แต่ที่ตน
เองรับประเคนแล้วไม่สละเสียก่อน ย่อมไม่ควรในวันรุ่งขึ้น. จริงอยู่ เมื่อภิกษุ
กลืนกินข้าวสุกแม้เมล็ดเดียวจากโภชนะที่ไม่สละนั้น เป็นปาจิตตีย์เหมือนกัน.
บรรดาเนื้อที่เป็นอกัปปิยะ ในเนื้อมนุษย์เป็นปาจิตตีย์กับถุลลัจจัย.
ในเนื้อที่เหลือเป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ. เมื่อกลืนกินยามกาลิกในเมื่อมีเหตุเป็น
ปาจิตตีย์. เมื่อกลืนกินเพื่อประโยชน์เป็นอาหาร เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ. ถ้า
ภิกษุเป็นผู้ห้ามภัต กลืนกินโภชนะที่ไม่ได้ทำให้เป็นเดน, ในอามิสตามปรกติ
เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว. ในเนื้อมนุษย์เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว กับถุลลัจจัย. ใน

อกัปปิยมังสะที่เหลือ เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ. เมื่อกลืนกินยามกาลิก ทางปาก
ที่มีอามิส เมื่อมีเหตุ เป็นปาจิตตีย์ 2 ตัว. ทางปากไม่มีอามิสเป็นปาจิตตีย์
ตัวเดียวเท่านั้น. เมื่อกลืนกินเพื่อประโยชน์เป็นอาหาร ทุกกฏเพิ่มขึ้นแม้ใน
วิกัปทั้ง 2. ถ้าภิกษุกลืนกินในเวลาวิกาล, ในโภชนะตามปรกติ เป็นปาจิตตีย์
2 ตัว เพราะการสันนิธิเป็นปัจจัย 1 เพราะฉันในวิกาลเป็นปัจจัย 1. ใน
อกัปปิยมังสะ ถุลลัจจัยและทุกกฏเพิ่มขึ้น. ในพวกยามกาลิกไม่เป็นอาบัติ
เพราะฉันในวิกาลเป็นปัจจัย. แต่ไม่เป็นอาบัติในวิกัปทุกอย่าง ในเวลาวิกาล
เพราะความไม่เป็นเดนในยามกาลิกเป็นปัจจัย.
ข้อว่า สตฺตาหกาลิกํ ยาวชีวิกํ อาหารตฺถาย มีความว่า เมื่อ
ภิกษุรับประเคนเพื่อประโยชน์เป็นอาหาร เป็นทุกกฏ เพราะการรับประเคน
เป็นปัจจัยก่อน. แต่เมื่อกลืนกิน ถ้าเป็นของไม่มีอามิสเป็นทุกกฏ ทุก ๆ
คำกลืน. ถ้าสัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ระคนด้วยอามิสเป็นของที่ภิกษุรับประเคน
เก็บไว้ เป็นปาจิตตีย์ตามวัตถุแท้.
ในคำว่า อนาปตฺติ ยาวกาลิกํ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า ขาทนียะ
โภชนียะ ทำพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงขยายไว้แล้วในวิกาลโภชนสิกขาบท
เรียกว่า ยาวกาลิก เพราะเป็นของอันภิกษุพึงฉันได้ชั่วเวลา คือ เที่ยงวัน,
ปานะ 8 อย่าง กับพวกอนุโลมปานะ เรียกว่า ยามกาลิก ด้วยอรรถว่า
มีเวลาเป็นครู่ยาม เพราะเป็นของที่ภิกษุพึงฉันได้ตลอดชั่วยาม คือ ปัจฉิมยาม
แห่งราตรี, เภสัช 5 อย่าง มีสัปปิเป็นต้น เรียกว่า สัตตาหกาลิก ด้วย
อรรถว่า มีเวลา 7 วัน เพราะเป็นของที่ภิกษุพึงเก็บไว้ได้ถึง 7 วัน, กาลิก
ที่เหลือแม้ทั้งหมด เว้นน้ำเสีย เรียกว่า ยาวชีวิก เพราะเป็นของที่ภิกษุพึง
รักษาไว้ฉันได้ตลอดชีวิตเมื่อมีเหตุ.

บรรดากาลิกเหล่านั้น ภิกษุเก็บยาวกาลิกที่รับประเคนในเวลารุ่งอรุณ
ไว้ ฉันได้ทั้งร้อยครั้ง ตราบเท่าที่กาลเวลายังไม่ล่วงเลยไป, ฉันยามกาลิกได้
ตลอดวัน 1 กับคืน 1, ฉันสัตตาหกาลิกได้ 7 คืน ฉันยาวชีวิกนอกนี้ได้แม้
ตลอดชีวิตเมื่อมีเหตุ ไม่เป็นอาบัติ. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
แต่ในฐานะนี้ ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวปานกถา กัปปิยานุ-
โลนกถา กถามีอาทิว่า ยามกาลิก กับยาวกาลิก ระคนกัน ควรไหมหนอ ?
และกัปปิยภูมิกถาไว้พิสดารแล้ว. ข้าพเจ้าจักกล่าวกถานั้น ๆ ในอาคตสถาน
นั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย 1 ทาง
กายกับจิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม
มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
สันนิธิการกสิกขาบทที่ 8 จบ

โภชนวรรค สิกขาบทที่ 9


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[516] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระฉัพพัคคีย์ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ประชาชนพากัน
เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขอ
โภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน โภชนะที่ดีใครจะไม่พอใจ ของ
ที่อร่อยใครจะไม่ชอบ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนา
อยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระ-
ฉัพพัคคีย์จึงได้ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า... แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าพวกเธอขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉันเล่า การกระทำ
ของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.