เมนู

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าพวกเธออยู่ฉันอาหารในโรงทานประจำ จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับ ว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย
ไฉนพวกเธอจึงได้อยู่ฉัน อาหารในโรงทานเป็นประจำเล่า การกระทำของพวก
เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ


80.1 ก. ภิกษุพึงฉันอาหารในโรงทานได้ครั้งหนึ่ง ถ้าฉัน
ยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ

เรื่องพระสารีบุตร


[471] สมัยต่อมา ท่านพระสูตรีบุตร เดินทางไปพระนครสาวัตถี
ในโกศลชนบท ได้ไปยังโรงทานแห่งหนึ่ง ประชาชนตั้งใจอังคาสด้วยดีใจว่า

แม้ต่อนาน ๆ พระเถระจึงได้มา ครั้นท่านพระสูตรีบุตรฉันอาหารแล้ว บังเกิด
อาพาธหนัก ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้ ครั้นวันที่ 2 ประชาชน
พวกนั้น ได้กราบเรียนท่านว่า นิมนต์ฉันเถิด เจ้าข้า จึงท่านพระสูตรีบุตร
รังเกียจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการอยู่ฉัน อาหารในโรงทานเป็นประจำ
ดังนี้ จึงไม่รับนิมนต์ ท่านได้ยอมอดอาหารแล้ว ครั้นท่านเดินทางไปถึง
พระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ๆ ได้กราบทูลเนื้อความ
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันอาหารในโรงทานได้


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธ อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็น
ประจำได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้

พระอนุบัญญัติ


80.1 ข. ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงฉันอาหารในโรงทานได้
ครั้งหนึ่ง ถ้าฉันยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระสารีบุตร จบ

สิกขาบทวิภังค์


[472] ที่ชื่อว่า มิใช่ผู้อาพาธ คือ สามารถจะหลีกไปจากโรงทาน
นั้นได้.