เมนู

อนาปัตติวาร


[100] ภิกษุถือไปเพียงระยะ 3 โยชน์ 1 ภิกษุถือไปหย่อนระยะ
3 โยชน์ 1 ภิกษุถือไปก็ดี ถือกลับมาก็ดี เพียงระยะ 3 โยชน์ 1 ภิกษุ
ถือไปเพียง 3 โยชน์ แล้วพักแรมเสีย รุ่งขึ้นต่อจากนั้นไปอีก 1 ขนเจียม
ถูกโจรชิงไปแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก 1 ขนเจียมที่สละแล้ว ภิกษุ
ได้คืนมา ถือไปอีก 1 ภิกษุให้คนอื่นช่วยถือไป 1 ขนเจียมที่ทำเป็นสิ่ง
ของแล้วภิกษุถือไป 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้อง
อาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ 6 จบ

โกสิยวรรคที่ 2 สิกขาบทที่ 6


พรรณนาเอฬกโลมสิกขาบท


เอฬกโลมสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:- ในเอฬกโลมสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า อุปฺผณฺเฑสุํ มีความว่า พวกชาวบ้านกล่าวคำสัพยอก
เป็นต้นว่า ท่านขอรับ (ขนเจียมนี้) ท่านซื้อมาด้วยราคาเท่าไร่ ?
สองบทว่า ฐิตโกว อาสุมฺภิ มีความว่า พวกชาวบ้านขนมัดฟืน
แบกใหญ่มาจากป่าเหน็ดเหนื่อยแล้วโยนลงไป ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ฉันใด ภิกษุนี้
ได้โยน (ขนเจียม) ให้ตกลงไปฉันนั้น.
บทว่า สหคฺถา แปลว่า ด้วยมือตนเอง. มีคำอธิบายว่า นำไป
ด้วยตนเอง.

สองบทว่า พหิติโยชนํ ปาเตติ มีความว่า โยนออกไปภายนอก
3 โยชน์. เมื่อขนเจียมจะตกไปโดยไม่มีอันตราย พอพ้นจากมือ เป็น
นิสสัคคีย์ยปาจิตตีย์มากตัวตามจำนวนเส้นขน. ถ้าขนเจียมที่โยนไปนั้น
กระทบที่ต้นไม้ หรือเสาในภายนอก 3 โยชน์แล้วตกลงภายใน (3 โยชน์)
อีก ยังไม่ต้องอาบัติ. ถ้าห่อขนเจียม ตกลงฟื้นหยุดแล้วกลิ้งไป กลับ
เข้ามาภายใน ( 3 โยชน์) อีก เป็นอาบัติแท้.
ภิกษุยืนข้างในเอามือ หรือเท้า หรือไม้เท้ากลิ้งไป, ห่อขนเจียม
จะหยุด หรือไม่หยุดก็ตาม กลิ้งออกไป, เป็นอาบัติเหมือนกัน. ภิกษุ
วางไว้ด้วยตั้งใจว่า คนอื่นจักนำไป, แม้เมื่อคนนั้นนำขนเจียมไปเป็น
อาบัติเหมือนกัน. ขนเจียมที่ภิกษุวางไว้ด้วยจิตบริสุทธิ์ลมพัดไปหรือคนอื่น
ให้ตกไป ในภายนอกโดยธรรมดาของตน เป็นอาบัติเหมือนกัน เพราะ
ภิกษุมีอุตสาหะ และเพราะสิกขาบทเป็นอจิตตกะ. แต่ในกุรุนทีเป็นต้น
ท่านกล่าวอนาบัติไว้ ในเพราะขนเจียมที่ถูกลมพัดไป หรือบุคคลอื่นให้
ตกไปภายนอกนี้, อนาบัติที่ท่านกล่าวไว้นั้น ไม่สมด้วยบาลีแห่งอนา-
ปัตติวาร.
ภิกษุกระทำห่อทั้งสองข้างให้เนื่องเป็นอันเดียวกัน เมื่อวางไว้ให้
ห่อหนึ่งอยู่ภายในเขตแดน อีกห่อหนึ่งให้อยู่ในภายนอกเขตแดน, ยัง
รักษาอยู่ก่อน. แม้ในหาบที่เนื่องเป็นอัน เดียวกัน ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
แต่ถ้าว่าขนเจียมเป็นเพียงแต่ภิกษุวางไว้ที่ปลายหาบมิได้ผูกเลย, ย่อมคุ้ม
อาบัติไม่ได้. เมื่อภิกษุสับเปลี่ยนแม้ขนเจียมที่เนื่องเป็นอันเดียวกันไปวาง
ไว้แทน ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน.
ในคำว่า อญฺญสฺส ยาเน วา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุวางไว้บน

ยาน หรือบนหลังช้างเป็นต้น ซึ่งกำลังไป ด้วยตั้งใจว่า เมื่อเจ้าของเขา
ไม่รู้เลย มันจักนำไปเอง, เมื่อยานนั้น ล่วงเลย 3 โยชน์ ไปเป็นอาบัติ
ทันที. แม้ในยานที่จอดอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็ถ้าว่า ภิกษุวาง
ขนเจียมไว้บนยาน หรือบนหลังช้างเป็นต้นที่ไม่ไป แล้วขึ้นขับขี่ไป หรือ
ไปเตือนภายใต้ (ให้ไป) หรือเรียกให้ (จอดอยู่) ติดตามไป, ไม่เป็นอาบัติ
เพราะพระบาลีว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป. แต่ในกุรุนทีเป็นต้นท่าน
กล่าวว่า เป็นอาบัติ. คำนั้นไม่สมด้วยคำนี้ว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป.
ก็ในอทินนาทานเป็นอาบัติในเพราะสุงกฆาฏ (ตระบัดภาษี). แท้จริง
อาบัติใด ในอทินนาทานนั้น, อาบัตินั้น เป็นอนาบัติในสิกขาบทนี้,
อาบัติใดในสิกขาบทนี้, อาบัตินั้น เป็นอนาบัติในอทินนาทานนั้น.
ภิกษุไปถึงสถานที่นั้นส่งใจไปอื่น หรือถูกพวกโจรเป็นต้นรบกวน
เลยไปเสียก็ดี, เป็นอาบัติเหมือนกัน . พึงทราบจำนวนอาบัติ ตามจำนวน
เส้นขนในฐานะทั้งปวง.
หลายบทว่า ติโยชนํ วาสาธิปฺปาโย คนฺตฺวา ตโต ปรํ หรติ มี
ความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำไป แม้ตั้งร้อยโยชน์อย่างนี้ คือเพราะ
ไม่ได้อุเทศและปริปุจฉาเป็นต้น ในที่ที่คนไปแล้ว ภิกษุจึงไปในที่อื่นต่อ
จากที่นั้น, ไปในที่อื่นแม้จากที่นั้น.
สองบทว่า อจฺฉินฺนํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า พวกโจรชิงเอาขนเจียม
นั้นไป รู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้วคืนให้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำขนเจียม
นั้นไป.
สองบทว่า นิสฺสฏฺฐํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า ได้ขนเจียมที่ทำวินัย-
กรรมแล้วคืนมา.

บทว่า กตภณฺฑํ มีความว่า ขนเจียมที่เขาทำเป็นสิ่งของ มีผ้า
กัมพล พรม และสันถัตเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่สุดแม้เพียงมัด
ด้วยเส้นด้าย. อนึ่ง ภิกษุใด สอดขนเจียมลงในระหว่างถลกบาตรบาง ๆ
ก็ดี ในหลืบผ้ารัดเข่า ผ้าอังสะ และประคดเอวเป็นต้นก็ดี ในฝักมีด เพื่อ
ป้องกันสนิมกรรไกรเป็นต้นก็ดี โดยที่สุดอาพาธเป็นลม ยอนขนเจียมไว้
แม้ในช่องหูแล้วเดินไปเป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้นเหมือนกัน, แต่ขนเจียมที่มัด
ด้วยด้ายใส่ไว้ (ในระหว่างรองเท้าและถลกบาตรเป็นต้น) ย่อมตั้งอยู่ใน
ฐานะแห่งขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของ. ภิกษุทำให้เป็นช้องผมแล้วนำไป, นี้
ชื่อว่าทางเลี่ยงเก็บ, เป็นอาบัติเหมือนกัน. คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น เอฬกโลมสิกขาบทนี้ ชื่อว่าเอฬกโลม-
สมุฏฐาน (มีขนเจียมเป็นสมุฏฐาน) ย่อมเกิดขึ้น ทางกาย 1 ทางกายกับ
จิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม
มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
เอฬกโลมสิกขาบทที่ 6 จบ

โกสิยวรรค สิกขาบทที่ 7
เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[101] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโคร-
ธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แถบสักกชนบท ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์
ใช้ภิกษุณีซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียม ภิกษุณีทั้งหลายมัว