เมนู

เครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี 1
ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ 5 จบ

โกสิยวรรคที่ 2 สิกขาบทที่ 5


พรรณนานิสีทนสันถตสิกขาบท


นิสีทนสันถตสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:- ในนิสีทนสันถตสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
สองบทว่า อิจฺฉามหํ ภิกฺขเว ความว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ที่ควรให้ตรัสรู้ไร ๆ เลย ตลอดภายใน
ไตรมาสนั้น; เพราะเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนี้. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
พระองค์ก็จะต้องทรงกระทำพระธรรมเทศนา ด้วยสามารถแห่งตันติ-
ประเพณี.
อนึ่ง เพราะพระองค์ได้ทรงมีรำพึงอย่างนี้ว่า เมื่อเราให้ทำโอกาส
หลีกเร้นอยู่ ภิกษุทั้งหลายจักกระทำกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรม, อุปเสนะ
จักทำลายกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรมนั้น, เราจักเลื่อมใส (ขอบใจ) เธอ
แล้วอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายเฝ้า, แต่นั้น พวกภิกษุผู้ประสงค์จะเยี่ยมเรา
เป็นอันมากจักสมาทานธุดงค์ทั้งหลาย และเราจักบัญญัติสิกขาบท เพราะ
สันถัตที่ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งเป็นปัจจัย. ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
อย่างนั้น. ก็ในการหลีกเร้นนี้ มีอานิสงส์มากอย่างนี้แล.
ข้อว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ มีความว่า ได้ยินว่า
พระเถระได้รับการตำหนิในขันธกสิกขาบทนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !

ภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน 10 ไม่พึงให้กุลบุตรบวช, ภิกษุใดพึงให้บวช,
ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ! อย่างไร
กันน๊ะ เธอยังเป็นผู้ที่คนอื่นควรโอวาทควรพร่ำสอน จักสำคัญเพื่อจะ
โอวาท เพื่อจะพร่ำสอนผู้อื่น จึงคิดว่า พระศาสดาทรงอาศัยบริษัท
ของเราได้ทรงประทานการตำหนิแก่เรา, บัดนี้ เรานั้นจักยังพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าให้เปล่งพระสุรเสียงดุจพรหม ด้วยพระพักตร์อันบริบูรณ์ด้วย
อาการทุกอย่าง มีสิริดังพระจันทร์เพ็ญนั้นนั่นแล แล้วจักให้ประทาน
สาธุการ เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ เป็นกุลบุตรผู้มีหทัยงามเดินทาง
ล่วงไปได้ 100 กว่าโยชน์ ได้แนะนำบริษัท เป็นผู้อันภิกษุประมาณ
500 รูปแวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก. เพราะเหตุนั้น
พระธรรมสังคีติกาจารย์จงกล่าวว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ
เป็นต้น. จริงอยู่ ใคร ๆ ไม่อาจจะให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดปราน
ได้โดยประการอื่นนอกจากวัตรสมบัติ.
ข้อว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน มีความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้
หมดความระแวง เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยวัตรสมบัติ จึงนั่งในที่ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจสีหะนั่งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งภูเขาทองฉะนั้น.
บทว่า เอตทโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ เพื่อยก
เรื่องราวขึ้น.
ข้อว่า มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ !
ผ้าบังสุกุลเหล่านี้เป็นที่ชอบใจของเธอหรือ ? คือ เธอถือตามความชอบใจ
ตามความพอใจของตนหรือ ?

ด้วยคำว่า น โข เม ภนฺเต มนาปานิ นี้ ภิกษุนั้นย่อมแสดง
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถือตามความชอบใจตาม
ความพอใจของตน คือ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ถูกอุปัชฌาย์ให้ถือดุจบุคคล
ถูกบังคับให้ถือด้วยการบีบคอ และด้วยการตีที่กระหม่อมฉะนั้น.
บทว่า ปญฺญายิสฺสติ มีความว่า จักเป็นผู้ปรากฏ คือ เป็นผู้มี
ชื่อเสียง. มีคำอธิบายว่า จักปรากฏในกติกานั้น.
ข้อว่า น มยํ อปฺปญฺญตฺตํ ปญฺญาเปสฺสาม มีความว่า เรา
ทั้งหลายชื่อว่าเป็นสาวก จักไม่บัญญัติข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรง
บัญญัติไว้. จริงอยู่ วิสัย คือการบัญญัติสิกขาบทที่มิได้ทรงบัญญัติ หรือ
การถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว โดยนัยว่า ปาจิตตีย์ ทุกกฏ เป็นต้น
นี้เป็นพุทธวิสัย.
ด้วยบทว่า สมาทาย นี้ พระอุปเสนะ แสดงว่า เราทั้งหลาย
จักสมาทานสิกขาบทนั้น ๆ แล้วรับว่า ดีละ โดยดี ดังนี้แล้วจักศึกษาใน
สิกขาบททั้งปวง ตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระหฤทัยโปรดปรานแล้ว ได้ทรงกระทำสาธุการแม้อีก แก่พระ-
อุปเสนะนั้นว่า ดีละ ดีละ.
บทสนธิว่า อนุญฺญาตาวโส ตัดบทว่า อนุญฺญาตํ อาวุโส
แปลว่า (ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว).
บทว่า ปิหนฺตา แปลว่า กระหยิ่มอยู่.
สองบทว่า สนฺถตานิ อุชฺฌิตฺวา มีความว่า ละทิ้งสันถัตทั้งปวง
แล้ว เพราะเป็นผู้มีความสำคัญในสันถัตว่า เป็นจีวรผืนที่ 5.

ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ มีความว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตรเห็นสันถัตทั้งหลายเกลื่อนกลาด แล้วทรง
ดำริว่า ไม่มีเหตุในการที่จะยังศรัทธาไทยให้ตกไป, เราจักแสดงอุบายใน
การใช้สอย แก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วทรงกระทำธรรมีกถาตรัสเตือนภิกษุ
ทั้งหลาย.
ข้อว่า สกึ นิวตฺถํปิ สกึ ปารุตํปิ ได้แก่ นั่งและนอนแล้ว
ครั้งเดียว.
บทว่า สามนฺตา มีความว่า พึงถือเอาโดยประการที่ที่ตนตัดเอา
เป็นวงกลม หรือเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสจากชายข้างหนึ่ง จะมีประมาณคืบหนึ่ง.
แต่ภิกษุเมื่อจะลาดพึงลาดลงในเอกเทศ หรือชีออกแล้วลาดให้ผสมกัน
โดยนัยดังกล่าวในบาลีนั่นเทียว. สันถัตที่ภิกษุหล่อแล้วอย่างนี้ จะเป็น
ของมั่นคงยิ่งขึ้น. คำทีเหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. สมุฏฐานเป็นต้น แห่ง
สิกขาบทนี้ เป็นเช่นเดียวกับเทวภาคสิกขาบท เพราะเป็นทั้งกิริยา
ฉะนี้แล.
นิสีทนสันถตสิกขาบทที่ 5 จบ

ก็ในสันถัต 5 ชนิดเหล่านี้ สันถัต 3 ชนิดข้างต้น ผู้ศึกษาพึงทราบ
ว่า กระทำวินัยกรรมแล้วได้มา ไม่ควรใช้สอย, 2 ชนิดข้างหลังทำ
วินัยกรรมแล้วได้มา จะใช้สอย ควรอยู่.

โกสิยวรรค สิกขาบทที่ 6


เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง


[97] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถี แถบโกศลชนบท ขนเจียม
เกิดขึ้นแก่เธอในระหว่างทาง จึงภิกษุนั้นได้ผ้าเอาผ้าอุตราสงค์ห่อขนเจียม
เหล่านั้นเดินไป
ชาวบ้านเห็นภิกษุนั้นแล้วพูดสัพยอกว่า ท่านเจ้าข้า ท่านซื้อขนเจียม
มาด้วยราคาเท่าไร กำไรจักมีสักเท่าไร
ภิกษุรูปนั้นถูกชาวบ้านพูดสัพยอกได้เป็นผู้เก้อ ครั้นเธอไปถึง
พระนครสาวัตถีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่นั่นแล ได้โยนขนเจียมเหล่านั้น ลง
ภิกษุทั้งหลายจึงถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า อาวุโส ทำไมท่านจึงโยน
ขนเจียมเหล่านั้นลงทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่เล่า
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ก็เพราะผมถูกชาวบ้านพูดสัพยอก เหตุขนเจียม
เหล่านี้ขอรับ
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ก็ท่านนำขนเจียมเหล่านี้มาจากที่ไกล
เท่าไรเล่า
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า เกินกว่า 3 โยชน์ ขอรับ
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ
ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้นำ
ขนเจียมมาไกลเกิน 3โยชน์ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า