ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้สันถัตผืนนี้แก่ภิกษุมี
ชื่อนี้
เสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่ง
กระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่าน สันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ทำแล้ว
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่าน
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ
พึงคืนสันถัตที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
จตุกกนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[80] สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
สันถัดคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ เป็นนิสสัคคีย์
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกกฏ
ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[81] ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี
เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ 2 จบ
โกสิยวรรคที่ 2 สิกขาบทที่ 2
พรรณนาสุทธกาฬกสิกขาบท
สุทธกาฬกสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:- ในสุทธกาฬกสิกขาบทนั้น บทว่า สุทฺธกาฬกานํ ความว่า
ดำล้วน คือ ดำไม่เจือด้วยขนเจียมอย่างอื่น. คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับโกสิยสิกขาบทนั่นเอง.
พรรณนาสุทธกาฬกสิกขาบทที่ 2 จบ