เมนู

[พรเถระแสดงให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นจริงอีก 6 คน]


คราวนั้น พระเถระ ก็แสดงชน 6 คนแม้นอกนี้. พระราชาทอด
พระเนตรเห็น (ชนทั้ง 6 นั้น) แล้ว จึงทรงรับสั่ง (ถาม) ว่า คนเหล่านี้
มาเมื่อไร ?
พระเถระ. มาพร้อมกับอาตมภาพนั่นแล มหาบพิตร !
พระราชา. ก็บัดนี้ สมณะแม้เหล่าอื่น ผู้เห็นปานนี้ มีอยู่ในชมพูทวีป
บ้างหรือ ?
พระเถระ. มีอยู่ มหาบพิตร ! บัดนี้ ชมพูทวีป รุ่งเรืองไปด้วย
ผ้ากาสาวพัสตร์ สะบัดอบอวลไปด้วยลมฤษี, ในชมพูทวีปนั้น
มีพระอรหันต์พุทธสาวกเป็นอันมาก
ซึ่งเป็นผู้มีวิชชา 3 และได้บรรลุฤทธิ์
เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ สิ้นอาสวะแล้ว.

พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากันมา
โดยทางไหน ?
พระเถระ. มหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลายไม่ได้มาทางน้ำและทาง
บกเลย.
พระราชา. ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้มาทางอากาศ.
[

พระเถระถามปัญหาเพื่อหยั่งทราบพระปัญญาของพระราชา

]
พระเถระ. เพื่อจะทดลองดูว่า พระราชา จะทรงมีความเฉียบแหลม
ด้วยพระปรีชาหรือหนอแล ? จึงทูลถามปัญหาปรารภต้นมะม่วง ซึ่งอยู่ใกล้ว่า
มหาบพิตร ต้นไม้นี้ชื่ออะไร ?

พระราชา. ชื่อต้นมะม่วง ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! ก็นอกจากต้นมะม่วงนี้แล้ว
มะม่วงต้นอื่น มีอยู่หรือไม่ ?
พระราชา. มีอยู่ ท่านผู้เจริญ ! ต้นมะม่วงแม้เหล่าอื่นมีอยู่มากหลาย.
พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! ยกเว้นมะม่วงต้นนี้ และ
มะม่วงเหล่าอื่นเสียแล้ว ต้นไม้ชนิดอื่น มีอยู่หรือหนอแล ?
พระราชา. มีอยู่ ท่านผู้เจริญ ! แต่ต้นไม้เหล่านั้น มิใช่ต้นมะม่วง.
พระเถระ. ยกเว้นต้นมะม่วง และมิใช่ต้นมะม่วงเหล่าอื่นเสีย ก็ต้นไม้
ชนิดอื่น มีอยู่หรือ ?
พระราชา. มี คือ มะม่วงต้นนี้แหละ ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ดีละ มหาบพิตร ! พระองค์ทรงเป็นบัณฑิต, ก็พระ-
ประยูรญาติของพระองค์ มีอยู่หรือ ? มหาบพิตร !
พระราชา. ชนผู้เป็นญาติของข้าพเจ้า มีอยู่มากหลาย ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ยกเว้นชนผู้เป็นพระประยูรญาติ ของพระองค์เหล่านี้เสีย
แล้ว ชนบางพวกเหล่าอื่น แม้ผู้ที่มิใช่พระประยูรญาติมีอยู่หรือ ? มหาบพิตร !
พระราชา. ชนผู้ที่มิใช่ญาติ มีมากกว่าผู้ที่เป็นญาติ ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ยกเว้นผู้ที่เป็นพระประยูรญาติของพระองค์ และผู้ที่มิใช่
พระประยูรญาติเสียแล้ว ใคร ๆ คนอื่น มีอยู่หรือ ? ขอถวายพระพร ;
พระราชา. มี คือ ข้าพเจ้าเอง ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ดีละ มหาบพิตร ! ขึ้นชื่อว่าตน ไม่จัดว่าเป็นญาติของตน
ทั้งจะไม่ใช่ญาติ (ของตน) ก็หามิได้.

[พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์]


ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า พระราชาเป็นบัณฑิต จักทรงสามารถ
รู้ธรรมได้ ดังนี้แล้วจึงแสดงจูฬหัตถิปโทปมสูตร*. ในเวลาจบกถา พระราชา
พร้อมด้วยข้าราชบริพารประมาณสี่หมื่น ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์แล้ว
ก็ในขณะนั้นนั่นเอง พนักงานห้องเครื่อง ก็นำพระกระยาหารมา
ทูลถวายแด่พระราชา. ส่วนพระราชากำลังทรงสดับพระสูตรอยู่ ได้ทรงเข้า
พระหฤทัยดีแล้วอย่างนี้ว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้ ไม่ควรจะฉันในเวลานี้.
แต่ท้าวเธอ ทรงดำริว่า ก็การที่เราไม่ถามแล้วบริโภคไม่ควร ดังนี้แล้ว จึง
ตรัสถามว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านจักฉันหรือ ?
พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! พวกอาตมภาพ ไม่ควรฉัน
ในเวลานี้.
พระราชา. ควรฉันในเวลาไหนเล่า ? ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. ควรฉันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไป จนถึงเวลาเที่ยงวัน ขอ
ถวายพระพร !
พระราชา. พวกเราไปสู่พระนครกันเถิด ท่านผู้เจริญ !
พระเถระ. อย่าเลย มหาบพิตร ! พวกอาตมภาพจักพักอยู่ในที่
นี้แหล.
พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! ถ้าพวกพระคุณเจ้า จะพักอยู่
(ในที่นี้) ไซร้, ขอเด็กคนนี้ จงมาไปกับข้าพเจ้า.
พระเถระ. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! เด็กคนนี้บรรลุผลแล้ว
รู้แจ้งพระศาสนาแล้ว เป็นปัพพัชชาเปกขะ (คือผู้มุ่งจะบรรพชา) จักบรรพชา
ในบัดนี้.
* ม. มู. 12/336.